10 เรื่องที่เราขอท้าว่าคุณ "พลาดไปแน่ๆ" จากการดู Avengers: Endgame
แม้ว่าสถานการณ์ตลาดภาพยนตร์ของฮอลลีวูดและของทั้งโลกในปีนี้ จะแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวกับปีที่แล้ว ที่ปี 2020 หนังฟอร์มยักษ์ทั้งหมดต้องใช้คำว่า “แตกกระเจิง” เลื่อนฉายกันไปแบบคนละทิศละทางทั้งข้ามเดือนและข้ามปี แตกต่างจากปีที่แล้วที่หนังเปิดซัมเมอร์ ปี 2019 คือหนังระดับปรากฎการณ์ที่อีก 10 ปี ก็อาจจะไม่มีหนังที่ทำรายได้เปิดตัวและมีผู้ชมเข้าไปชมในโรงมากเท่า ขนาดทำให้กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดตลอดกาลของทั้งโลกได้อย่าง Avengers: Endgame (เว้นแต่ Avatar 2 ที่จะเข้าฉายปีหน้า 2021 เพียงเรื่องเดียวในตอนนี้ที่มีโอกาสน่าจะทำได้)
วันนี้ What the Fact ขอนำเสนอ 10 เรื่องราวที่ “ขอท้า” แฟน ๆ มาร์เวลและคอหนังกับบางฉาก จะพลาดรายละเอียดหลายอย่างที่อาจจะพลาดไป หรือกระทั่งยังไม่เคยรู้มาก่อน (ที่พูดแบบนี้ เพราะเราเชื่อว่าทุกคนน่าจะได้ดูเรื่องนี้กันไปเกือบหมดแล้ว) ลองมาย้อนดูว่า ฉากไหนหรือเรื่องราวไหนที่ “พลาดไปได้ยังไงเนี่ย?”
เราขอท้าว่า: คุณไม่ทันเห็นแดรกซ์สวมเสื้อเป็นครั้งแรก ในงานศพของโทนี สตาร์ค
ในฉาก Assemble หรือฉากรวมตัวครั้งสุดท้ายของเหล่า Avengers ที่ไม่น่ายินดีเอาเสียเลย เพราะเป็นในฉากงานศพของโทนี สตาร์ค สิ่งหนึ่งที่ทุกคนอาจจะพลาดไป ในฉากที่กล้องค่อย ๆ แพนไหลไปเริ่มจากเพปเพอร์พอร์ต เห็นหน้าไปทุกคนจนจบที่นิค ฟิวรี่ นั่นก็คือ แดร็กซ์ (ที่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า มักจะไม่มีใครเห็น เพราะพี่แกก็ได้เป็น “จอมล่องหน” ที่ถูกทุกคนมองข้ามอยู่เสมอ) ที่ในฉากนี้ ผู้ชมจะได้เห็นแดร็กซ์ใส่เสื้อกับเขาเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะทุกคนใส่เสื้อสีดำเพื่อไว้ทุกข์ การจะให้พี่แดร็กซ์ยืนตัวเขียวอยู่โชว์หัวนมอยู่ก็จะไม่ค่อยสุภาพไปสักหน่อย แม้ว่าเขาจะเคยบอกว่า “หัวนมข้าบอบบาง” และอาจจะต้องเสียดสีอยู่บ้างเมื่อต้องใส่เสื้อ
เราขอท้าว่า: คุณจำไม่ได้ว่า เคยได้ยินประโยค”ทางซ้าย” ที่ฟัลคอนเคยพูดกับกัปตันอเมริกามาก่อนแล้ว
แซม วิลสันและสตีฟ โรเจอร์พบกันครั้งแรกในฉากเปิดเรื่องของ Captain America: Winter Soldier (2014) ก่อนที่ความสัมพันธ์ของฟัลคอนและกัปตันอเมริกา จะสานต่อมิตรภาพยาวนานมาอีกหลายภาคจนฟัลคอนได้รับโล่เพื่อเป็นกัปตันอเมริกาในท้ายที่สุดในตอนจบของ Endgame ในฉากเปิดเรื่องที่ว่านั้น แซมที่กำลังวิ่งอยู่แถวรัฐสภาในวอชิงตันดีซีโดนกัปตันอเมริกาซึ่งก็ซ้อมวิ่งอยู่เหมือนกันแซงซ้าย กัปตันจะตะโกนบอกว่า “ระวังทางซ้าย” ทุกรอบที่ถูกแซงไป (เพราะจะขิงว่าวิ่งน็อครอบ)
ใน Endgame ฉากที่สร้างความประทับใจ เพราะผู้สร้างจงใจจะให้ผู้ชมได้ยินประโยคนี้กลับมาอีกครั้ง ก็คือในฉากสุดท้ายที่กัปตันอเมริกาใกล้จะเพลี่ยงพล้ำต่อธานอสเต็มที เหล่าเพื่อน ๆ Avengers ที่ได้กลายเป็นฝุ่นผงในภาคก่อน ล้วนเทเลพอร์ตมาเสริมกำลังประจัญบานด้วยพลังของด็อกเตอร์เสตรนจ์ และฟัลค่อนก็เป็นคนแรกที่เปล่งเสียงมาบอกเพื่อรักว่า “พวกเราอยู่ทางซ้าย (ของนายนะกัปตัน)”
เราขอท้าว่า: คุณไม่ทันเอะใจว่า ทำไมธอร์ถึงคิดว่าร็อกเก็ต “เป็นกระต่ายหรือแร็คคูน?”
ในทีแรกที่เทพเจ้าสายฟ้าอย่างธอร์ได้เจอกับร็อกเก็ตครั้งแรกใน Avenger: Infinity War (2018) แล้วเขาก็เรียกร็อกเก็ตว่า “เจ้าต่าย” ที่อาจเป็นไปได้ว่าา ธอร์ที่ไม่เคยมายังโลก อาจจะเข้าใจว่าสิ่งมีชีวิตบนโลก (หรือดาวดวงอื่น ๆ ทั้ง 9 มิติ) เรียกสิ่งมีชีวิตหน้าตาแบบร็อกเก็ตว่า…กระต่าย หรือกระต่ายบนดาวแอสการ์ดหน้าตาแบบแร็คคูนก็เป็นได้? พอทั้งคู่ได้กลับมาร่วมภารกิจกันอีกครั้งใน Endgame กับการไปชิงอัญมณีแห่งความจริง(หลังจากที่ก็ไปทำอาวุธสตรอมเบรคเกอร์กันมาจนซี้กันมากขึ้นอะนะ) ธอร์ก็ยังเรียกร็อกเก็ตว่าเจ้าต่ายอยู่ดีนั่นเอง ด้วยเหตุนี้จึงพอจะเดาได้ว่า ธอร์ไม่ได้เข้าใจผิด แต่เขาเข้าใจไปจริง ๆ ว่าร็อกเก็ตคือ กระต่าย!
เราขอท้าว่า: คุณไม่รู้ที่มาของประโยค “ข้าคือไอรอนแมน” ในเรื่องนี้
ถือเป็นฉากสำคัญมากที่สุดฉากหนึ่งของ Endgame แต่กับเบื้องหลังที่มาของฉากนี้ต่างหากที่หลายคนอาจไม่รู้หรือพลาดไป ประโยคสุดคลาสสิก “ข้าคือไอรอนแมน” ที่ผู้ชมมาร์เวลได้ยินครั้งแรกในตอนจบของ Iron Man (2008) พอมาถึง Endgame ประโยคนี้ก็ได้ถูกใช้ต่อจากประโยคว่า “ข้าคือชะตาที่มิอาจเลี่ยง” ของธานอส การที่โทนี่ สตาร์ค พูดก่อนกระทำการเสียสละครั้งสำคัญ เป็นการจงใจของทีมสร้างที่อยากให้นึกไปถึงประโยคในภาคแรก เพื่อจะบอกว่า 11 ปีของ Iron Man จะจบลงที่ตรงนี้
เดิมทีฉากนี้ไม่ได้มีอยู่ในบทมาแต่ต้น ต่อมาในขณะที่อยู่ในห้องตัดต่อ พี่น้อง Russo ผู้กำกับก็คิดขึ้นมาว่า โทนี่ควรจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อสั่งลาแต่ก็คิดไม่ออก จน Jeff Ford ทีมตัดต่อมือเยี่ยมที่อยู่กับหนังมาตลอดทั้งสี่ภาคของ Avengers ได้เสนอว่า เมื่อธานอสพูดว่า “ข้าคือชะตาที่มิอาจเลี่ยง” ทำไมไม่ลองย้อนกลับไปแล้วให้โทนี่พูดว่า “ข้าคือไอรอนแมน” บ้างล่ะ จึงได้กลายมาเป็นประโยคสุดเท่และฉากที่น่าจดจำอย่างที่เห็นกัน
เราขอท้าว่า: คุณก็งงว่า ทำไมกัปตันอเมริกาจึงถือค้อนโยเนียร์และสตอร์มเบรคเกอร์ของธอร์ได้ (ในภาคนี้)
ถ้าใครที่ติดตามเรื่องราวของจักรวาลมาร์เวลมาตลอดก็จะรู้ว่า กัปตันอเมริกาเคยพยายามยกค้อนโยเนียร์ของธอร์มาก่อนแต่ก็ยกไม่สำเร็จ เกิดเป็นคำถามว่า เพราะยังไม่ถึงเวลา? หรือเพราะว่าเขายังไม่คู่ควรพอ? กับพลังของเทพเจ้าสายฟ้า แต่ในบทสรุปภาค Endgame เขาก็สามารถจะถือและยกอาวุธทั้งสองอย่างของธอร์ได้แล้ว มีคำอธิบายในเรื่องนี้ไว้ว่าจาก Christopher Markus มือเขียนบทของเรื่องว่า ใน Thor: Ragnarok (2017) ความจริงเกี่ยวกับค้อนโยเนียร์ก็ได้ถูกเปิดเผยไว้ว่า
เมื่อเทพเจ้าโอดิน บิดาของเทพธอร์ได้บอกกับลูกชาย ถึงความสามารถพิเศษที่มีอยู่ของค้อนธอร์นั้น พลังสายฟ้าของธอร์หาได้อยู่ที่ค้อนโยเนียร์ไม่ แต่เป็นพลังที่สถิตย์อยู่ในตัวของธอร์เองต่างหาก ซึ่งมือเขียนบทอธิบายเพิ่มว่านั่นหมายถึง ธอร์ก็สามารถใช้พลังสายฟ้าได้เอง ไม่ว่าจะมีค้อนหรือไม่มีค้อนในมือก็ตาม และกัปตันก็จะสามารถใช้พลังสายฟ้าได้ หากเขามีค้อนอยู่ในมือเช่นกัน (ก็คือทั้งธอร์และอาวุธต่างก็มีพลังสายฟ้าทั้งคู่) และอย่างที่ธอร์พูดกับแก๊งต่างดาวการ์เดี้ยนว่า “ผู้ที่จะยกอาวุธของเขาได้โดยง่าย จะเป็นใครก็ได้ที่ยอมรับไหวกับร่างกายที่แหลกสลาย และหัวใจที่อาจพังทลายจากอานุภาพของมัน”
เราขอท้าว่า: คุณก็งงว่า ทำไมธานอสถึงคู่ควรพอจะถือค้อนโยเนียร์
ยังคงอยู่ที่ประเด็นการถือค้อนโยเนียร์ที่แฟน ๆ มาร์เวลรู้ข้อมูลกันดีมาตลอดว่า คนที่จะถือค้อนได้ไม่ใช่คนที่มีกำลังมากแต่เป็นคนที่คู่ควรพอ (หรือเป็นคนดีมากพอนั่นแหละ) ถึงจะถือค้อนนี้นั่นเอง จากข้อที่แล้วที่เฉลยว่า กัปตันอเมริกาก็สามารถถือค้อนที่เป็นของเทพเจ้าสายฟ้าได้ แต่ถ้าถึงกับขนาดให้ธานอสจอมวายร้ายสามารถถือได้ก็อาจจะเกินไปหน่อย หลายคนอาจจะเถียงว่า ในฉากหนึ่งที่กัปตันอเมริกากำลังต่อสู้กับธานอส มันมีฉากที่เห็นธานอสถือค้อนโยเนียร์ได้จริง ๆ เฉลยก็คือ ถ้ามองกันให้ดีในฉากนี้จะเห็นว่า ธานอสนั้นกำมือของกัปตันที่จับค้อนโยเนียร์เอาไว้อยู่แล้วและยกมือของแคปขึ้นมา ภาพก็เลยดูเหมือนว่า ธานอสยกค้อนขึ้นมาได้นั่นเอง
เราขอท้าว่า: คุณก็สงสัยว่า การต่อสู้บนดาวไททันจะมีไปทำไม ถ้าด็อกเตอร์เสตรนจ์จะทำแบบนี้…ตั้งนานแล้ว
การต่อสู้บนดาวไททันในตอนท้ายของ Avengers: Infinity War ระหว่างที่ไอ้แมงมุมและไอรอนแมนบุกไปช่วยด็อกเตอร์เสตรนจ์จากมือขวาของธานอสอย่างอีโบนี มอว์ ในฉากยานรบของธานอส เสตรนจ์ถามโทนีว่า ถ้าเขาเอายานกลับไปโลกได้ก็คงทำไปแล้ว ก่อให้เกิดคำถามว่า แล้วทำไมเขาถึงไม่เทเลพอร์ตยานไปโลกเสียเลยล่ะ? (และแน่นอน มันจะไม่จำเป็นต้องมีฉากการต่อสู้บนดาวไททันเลย!) ซึ่งเขาก็ทำมาแล้วหลายทีตอนอยู่บนโลก โดยเฉพาะกับฉากประจัญบาน ยกพวกตีกันในตอนสุดท้ายของ Endgame ที่พี่แกเล่นเทเลพอร์ตเหล่าฮีโรมาจากทั่วทุกมุมโลก…อย่างยิ่งใหญ่อลังการ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ตั้งทฤษฎีขึ้นว่า หมอแปลกเทเลพอร์ตได้แค่บนโลกมนุษย์เท่านั้น หรือไม่ก็ระยะทางจากไททันมาโลก มันไกลเกินกว่าหมอจะสามารถ? นั่นเอง
เราขอท้าว่า: คุณสงสัยกับการที่การจะได้มาซึ่งอัญมณีวิญญาณ มีเงื่อนไขที่เปลี่ยนไป
ในภาค Infinity War นั้น ฉากที่สะเทือนใจที่สุดคงหนีไม่พ้นการที่ธานอสเดินทางไปช่วงชิงอัญมณีวิญญาณถึงดาวที่แสนไกล โดยมีเรดสกูลหรือเจ้ากะโหลกแดง ตัวร้ายไฮดราจากภาคแรกของ Captain America: The First Avengers (2011) คอยเฝ้าอยู่ เงื่อนไขก็คือ จะต้องมีการนำวิญญาณของคนที่รักมากมาสังเวยแลกกับอัญมณี ซึ่งธานอสก็ตัดสินใจอย่างเหี้ยมโหด เพื่อจะได้มาซึ่งอัญมณีก็ได้แลกกับชีวิตของลูกสาวที่เลี้ยงมากับมืออย่างกาโมรา จากแก๊ง Guardians of the Galaxy ทำให้ธานอสได้ครอบครองอัญมณีวิญญาณไปในที่สุด
แต่พอมาถึงภาค Endgame ที่นาตาชา โรมานอฟหรือแบล็ก วิโดว์ กับคลินท์ บาร์ตันหรือฮอว์คอาย ต้องมาทำภารกิจนี้ พวกเขากลับไม่ได้เลือกที่จะสังเวยชีวิตอีกคนเพื่อให้ได้มาซึ่งอัญมณี แต่กลับเลือกจะสละชีวิตตัวเองเพื่อให้เพื่อนรักอีกคนได้อัญมณีไปแทนต่างหาก ซึ่งก็อย่างที่ทุกคนได้ดูไปแล้ว ณ ที่นั่นก็ได้กลายเป็นจุดจบของตัวละครตัวหนึ่ง ซึ่งถ้าจะบอกว่าเงื่อนไขการได้มาซึ่งอัญมณีเปลี่ยนไปจากครั้งธานอส เพราะไม่มีการเสียสละแลกชีวิตคนอื่นก็อาจจะไม่ถูกเสียทีเดียว จริง ๆ แล้วเงื่อนไขมีแค่ว่า เอาชีวิตใครมาแลกอัญมณีก็ได้มากกว่า
เราขอท้าว่า: คุณไม่รู้ว่า บัคกี้รู้อยู่แล้วว่า เมื่อกัปตันอเมริกาย้อนเวลาไปแล้วจะไม่กลับมา
เป็นอีกตัวละครที่เป็นเส้นเรื่องหลักของ 11 ปี MCU ซึ่งดำเนินมาจบลงที่ Endgame อีกคู่ สำหรับความสัมพันธ์ของเพื่อนซี้ (ที่กลายเป็นคู่จิ้นในหมู่แฟน ๆ ไปแล้ว) อย่างสตีฟ โรเจอร์และบัคกี้ บาร์น ทั้งคู่เป็นเพื่อนแท้กันมาตั้งแต่ Captain America: The First Avengers (2011) ก่อนที่บัคกี้จะกลายมาเป็นตัวร้ายใน Winter Soldier และกลายเป็นชนวนให้ทีม Avengers เกือบแตกใน Civil War เนื่องจากตอนคุมสติไม่ได้ ดันไปถูกไฮดราชักใยให้ฆ่าฮาวเวิร์ด สตาร์ค พ่อของโทนี สตาร์ค จนฝั่งโทนีโกรธแค้นและหวังจะเอาคืนลูกเดียว ทั้สตีฟและบัคกี้ช่วยกันผ่านความเข้าใจผิดมาได้ตลอดรอดฝั่งจนถึงในภาคนี้ ที่เดิมทีแฟน ๆ เดากันว่า บัคกี้น่าจะเป็นผู้รับไม้ต่อในการเป็นกัปตันอเมริกาต่อ ซึ่งสุดท้ายเป็นฝั่งฟัลค่อนที่บัคกี้ก็สนับสนุนให้รับหน้าที่นั้น
“อย่าทำอะไรโง่ ๆ ก่อนที่ฉันจะกลับมา” บัคกี้เคยพูดกับสตีฟเอาไว้กัปตันอเมริกาภาคแแรก ซึ่งอย่างที่รู้กันว่าเขาไม่ได้กลับมา (เพราะทุกคนคิดว่าตายไปแล้ว) ขณะที่ใน Endgame ก่อนที่กัปตันจะย้อนเวลากลับไปคืนอัญมณี ถ้าสังเกตสีหน้าของบัคกี้ดี ๆ ก็จะเห็นว่า เหมือนเขาจะรู้อยู่แล้วว่า กัปตันจะไม่กล้าใช้ชีวิตร่วมไทม์ไลน์เดียวกันอีก (แต่กลับมาในรูปลักษณ์ของคนแก่เลย) “ฉันคงคิดถึงนายมากว่ะเพื่อน” บัคกี้กล่าวคำลา
เราขอท้าว่า: คุณสงสัยตอนที่ฮัลค์พูดว่า ถูกสร้างมาเพื่อการนี้ เขาพูดถึงอะไร?
หลังจากรวบรวมอัญมณีได้ครบแล้ว ผู้เสียสละใส่ถุงมือและดีดนิ้วเพื่อเรียกเพื่อน ๆ ที่กลายเป็นฝุ่นผงกลับมาก็คือ ฮัลค์ โดย ดร.บรู๊ซ แบนเนอร์ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงควรจะเป็นฮัลค์ที่เป็นคนดีดนิ้ว “มันเหมือนกัน…ฉันถูกสร้างมาเพื่อการนี้” คำพูดนี้ทีมผู้สร้างอยากจะอ้างถึงตอนที่โทนี สตาร์คและแบนเนอร์ใน The Avengers (2012) ภาคแรกว่า โทนีได้ค้นพบรังสีแกมมาชนิดใหม่ที่สร้างฮัลค์ขึ้นมา ในขณะที่ไม่ฆ่าหรือทำอันตรายบรู๊ซ แบนเนอร์ไปด้วย ซึ่งรังสีชนิดนี้เองที่แข็งแกร่งพอจะทำให้ฮัลค์มีพลังต้านทานพลังจากถุงมือพลังอัญมณี “จะพูดยังไงดีละ…ฮัลค์เป็นเหมือนใครอีกคนที่ช่วยชีวิตผม เดี๋ยวนะ ช่วยชีวิตผมจากอะไรวะ?”