"ไบร์ท วชิรวิชญ์" มุมมองความคิดแบบชิคๆ ที่แฝงไว้ในตัว "สารวัตร"
ไหนใครอยู่ทีมเมียสารวัตร มาทางนี้จ้า! ไม่พูดถึงเขาคนนี้ไม่ได้จริงๆ สำหรับ ไบร์ท-วชิรวิชญ์ ชีวอารี ที่กลายเป็นพระเอกเบอร์ล่าสุดที่ฮอตร้อนฉ่ากว่าอากาศเมืองไทย ในบทบาทของ สารวัตร หนุ่มหล่อชื่อมียศแต่จริงๆ แค่มีมาดจากซีรีส์เรื่องดัง เพราะเราคู่กัน 2gether The Series หรือ คั่นกู ที่สาวกรี๊ดทั้งในซีรีส์และชีวิตจริง ด้วยรูปลักษณ์ความหล่อคมเข้มแบบลูกครึ่งที่พอดิบพอดี แสนมีคาริสม่าก็ทำให้เขากลายเป็นที่พูดถึงสนั่นโซเชียลอยู่ในตอนนี้ แถมซีรีส์ คั่นกู ก็กระแสแรงไม่หยุด พุ่งทะยานกันทุกตอนไปเลย!
แบบนี้แล้ว Sanook ก็อยากจะพาตัวหนุ่มไบร์ท ตัวเป็นๆ มาจับเข่านั่งคุยพูดถึงตัวตนให้ได้รู้จักกันมากขึ้นเหลือเกิน แต่ในช่วง Social Distancing ที่ทุกอย่างต้องเว้นระยะห่างแบบนี้ เราก็ทำได้เพียงต่อสายขอพูดคุยสัมภาษณ์แบบเจาะลึกผ่านเสียง เพื่อทำความรู้จักความเป็น ไบร์ท วชิรวิชญ์ กันแบบเต็มที่ เห็นมาดนิ่งๆ จากในซีรีส์แบบนี้แล้ว ตัวจริงหนุ่มคนนี้เรียกว่าพูดเก่งเอาเรื่อง แถมความงานดีไม่ได้มีแค่ที่หน้า แต่ความคิดทัศนคติดีงามแบบที่สาวๆ ต้องหลงรักเขาคนนี้มากขึ้นแน่นอน ...แต่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรบ้างนั้น ไปติดตามบทสัมภาษณ์จากเขาคนนี้ให้เต็มอิ่มแบบจุกๆ ได้เลยจ้า
พูดถึงการมารับบทเป็น สารวัตร ใน คั่นกู หน่อย ก่อนมาเล่นคิดมั้ยว่าผลตอบรับจะมากมายขนาดนี้
"ไม่ได้คิดเลยครับ แค่คิดว่าน่าจะมีคนรู้จักเรามากขึ้น แฟนนิยายก็เยอะอยู่ที่รอดู แต่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนตามเข้ามาดูเยอะขนาดนี้ หมายถึงคนที่ไม่ได้อ่านนิยายด้วย การมาเป็นสารวัตรถือว่าผู้ใหญ่ให้โอกาส ก็คือผู้ใหญ่ก็มาถามนี่แหละว่ามีบทนี้นะ สนใจมั้ย"
ความสำเร็จตอนนี้ สำหรับเราคิดมั้ยว่ากำลังขยับเข้าไปอีกขั้นในวงการนี้แล้ว
"อืม มันก็ไม่ได้เชิงอีกขั้นขนาดนั้น แค่รู้สึกว่าตอนนี้มีงานเยอะขึ้น แต่ก็รู้สึกว่าได้ทำงานกับคนหลากหลายขึ้น ได้เจอคนมากขึ้น มีคนมองเราเยอะขึ้น จะทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น นี่แหละที่มันเปลี่ยนไป"
จริงๆ ไบร์ทก็เข้าวงการมาหลายปีแล้ว แต่พอมาเล่นซีรีส์วาย กระแสเราก็พุ่งขึ้นมาเลย เคยคิดแวบเข้ามาในหัวมั้ยว่า "รู้แบบนี้เล่นแนวนี้ตั้งนานแล้ว"
"ไม่ครับ ผมไม่ได้รู้สึกว่าที่มันพุ่งขึ้นมาเพราะซีรีส์วาย มันเป็นเพราะว่าองค์ประกอบของเรื่องนี้มากกว่า ทั้งตัวนิยายเอง ทั้งเพื่อนนักแสดงทั้งผู้กำกับ มันช่วยส่งให้เพราะเราคู่กันมันดี คนชอบ กระแสมันก็เลยดีขึ้นมา ถ้าสมมุติว่าผมไปเล่นที่ไม่ใช่เรื่องนี้ บทนี้ ก็คงมันก็อาจจะไม่ได้มีคนชื่นชอบมากเท่ากับการที่ผมมาเล่นเป็นสารวัตร"
เคยมีแนวนี้ติดต่อไปก่อนหน้านี้มั้ย
"ไม่มีครับ หรือมีแต่จำไม่ได้ก็ไม่รู้"
"สารวัตร" เปลี่ยน "ไบร์ท" ไปในทางไหนบ้าง
"เปลี่ยนนะ หน้าที่การงานด้วย สารวัตรก็ทำให้เรามีคนรู้จักเพิ่มขึ้นอีก ทำให้เราได้รู้จักตัวละครตัวนึง ที่เขาชอบผู้ชายนะ แล้วเราก็ลองไปรักผู้ชายดู ได้ลองไปสัมผัสกับมุมมองความรักอีกแบบหนึ่ง จากตอนแรกที่เราอาจจะเคยเห็นแต่ไม่เคยเข้าใจเขา วันนี้เราก็ได้เข้าใจเขามากขึ้น ได้ลองไปสัมผัสเขามาด้วย จริงๆ ก็ผูกพันอยู่นะ มันไม่ได้มีตัวตนหรอก แต่มันก็เป็นคนคนนึงที่เวลาเราทำความเข้าใจกับเขา ก็เหมือนเราได้แลกเปลี่ยนความคิดกันเปลี่ยนมุมมองกัน"
ถ้าสารวัตรมีตัวตนจริงๆ คิดว่าเราจะเป็นเพื่อนเขามั้ย
"ด้วยความที่ส่วนตัวเราคล้ายกันมาก เราก็เป็นเพื่อนกันได้นะ แต่คงจะเป็นแนวที่เจอก็เจอ คุยก็คุย ไม่คุยก็ไม่คุย ต่างคนต่างอยู่ เจอหน้าก็มาเจอกัน คงเป็นพวกที่มีโลกส่วนตัวสูง แต่ว่าก็เป็นเพื่อนกันได้ ก็อาจจะมีแบบชวนกันไปเตะบอล ซ้อมดนตรีกัน แต่ทั่วไปก็คงจะไม่ได้มานัดเจอกัน ก็ต่างคนต่างอยู่"
ตอนนี้เราดังจากซีรีส์วาย กลัวคนติดภาพเวลาเรากลับไปเล่นชายหญิงมั้ย
“ไม่ครับ เวลารับบทละครอะไร ผมก็รู้สึกว่าอาชีพของผมคือนักแสดง เราก็ทำให้เต็มที่ในบทบาทที่ได้รับ ส่วนชีวิตข้างนอกผมก็คือไบร์ท วชิรวิชญ์ ที่เป็นนักแสดงนี่แหละครับ พอหมดเรื่องนี้ แล้วมีเรื่องใหม่ ผมก็ไม่ได้เป็นสารวัตรแล้ว ต้องไปเป็นคนอื่นต่ออีก มันก็เป็นคนใหม่ไปเรื่อยๆ ผมรู้สึกว่าถ้าเราเข้าใจงานจริงๆ ในเรื่องใหม่เราเป็นตัวละครใหม่ คนก็จะจำเราในตัวละครใหม่ไม่ติดภาพสารวัตรแล้ว"
มาพูดถึงจุดเริ่มต้นที่เข้าวงการ ไบร์ทเข้ามาในวงการนี้ได้ยังไง
"ก็เริ่มต้นมาจากเป็นพิธีกรรายการสตอเบอรี่ครับเค้กที่มีพี่พัตเตอร์ มีน้ำตาลที่อยู่ค่ายเดียวกันตอนนี้ เหมือนมีคนเห็นผมใน Facebook เขาก็ทักมามีรายการถามพิธีกรใหม่อยู่ สนใจมาแคสดูมั้ย แล้วก็ไปแคส แค่นี้แล้วมันก็ได้เข้ามาแบบงงๆ (หัวเราะ) มีคนยื่นโอกาสมาให้ ไปวิ่งแคสงานบ้าง นู่นนี่นั่น มันก็เหมือนพัดผมมาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้"
พอเริ่มทำมาสักพัก จุดเปลี่ยนที่เราคิดว่า วงการบันเทิงนี่แหละคือที่ของเรา
"มีนะ ก็คงเป็นช่วงตอนที่ดรอปเรียนวิศวะ จริงๆ ผมไม่ได้ซิ่วเลย แต่ผมดรอปก่อน มาทำงานอย่างเดียวปีนึง ตอนแรกผมเรียนที่ (TEPE) วิศวกรรมฯ อินเตอร์ ธรรมศาสตร์ ไม่ใช่ (SIIT) นะ เป็นหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเลย เรียนได้ 1 ปีแล้วตอนนั้นผมถ่ายละครและต้องสอบด้วยซึ่งมันหนักมาก หนักแบบจะตายแบบผมต้องเข้าโรงพยาบาลน้ำหนักลงเหลือแต่กระดูก นอนแทบไม่ได้นอน แล้วอ่านหนังสือมันก็ค่อนข้างหนักสำหรับคณะวิศวะ ก็แบบงานมันเยอะว่ะ เราลองดรอปดูก่อนไหม ตอนนั้นยังไม่กล้าซิ่ว มาลองทำงานทางนี้ก่อนว่าได้ไหม แล้วงานมันก็เข้ามาเรื่อยๆ เริ่มดูมีทางว่าเราน่าจะทำตรงนี้ได้ ถ้างั้นเราก็เลือกเรียนสาขาอื่นดีกว่า ก็รู้สึกว่าเราก็คงไม่ได้เป็นวิศวะแล้วล่ะ ในเมื่อเราอยากทำตรงนี้มากกว่า ก็เลยย้ายที่เรียนมาให้ตรงสาขาที่เราทำงานไปด้วยได้ ที่ม.กรุงเทพ กล้วยน้ำไท สาขา Marketing อินเตอร์ครับ
แต่ที่ทำให้มั่นใจอีกอย่าง คือเราไม่อยากตื่นไปเรียน รู้สึกว่าเป็นวิศวะอาจจะไม่สนุก แต่เราไม่เบื่อเลยเวลาที่เราออกมาถ่ายซีรีส์หรือออกไปถ่ายรายการ ออกไปเจอคน ออกไปเจอแฟนคลับมันไม่ทำให้เราเบื่อเลย มันไม่ได้ขี้เกียจเหมือนจะไปเรียน ผมชอบอันนี้แหละ มีคนเคยบอกว่า ทำงานที่เรามีความสุขก็โอเคแล้ว เออเหมือนเราเจองานที่เรามีความสุข เหมือนที่เขาบอกว่าไม่ต้องรวยมากแต่ตื่นมาแล้วอยากไปทำ ก็คือเจอแล้วครับ ...เราเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ที่เขาชอบพูดว่าทำงานที่มีความสุข ทำงานในสิ่งที่เราชอบ ตอนเด็กๆ เราหาไม่เจอไงเพราะเราเรียนสายวิทย์ แล้วเราเพิ่งมารู้ว่า อ๋อ สิ่งที่เราชอบมันไม่ใช่วิศวะแต่มันคือทางนี้มากกว่า"
เคยมองตัวเองเองเมื่อ 10 ปีก่อน กับตัวเองตอนนี้มั้ย ว่าเรามาถึงจุดนี้แล้ว
"ถ้าไปพูดกับตัวเองเมื่อ 10 ปีก่อนว่าวันนี้เราจะเป็นอย่างนี้มันคงขำกลับมา (หัวเราะ) ไม่มีตรงเลย"
แล้วมองตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าว่ายังไงบ้าง
"ไม่รู้เลยครับ อีก 10 ปีนานมาก ผมไม่ได้มองอะไรไกลขนาดนั้น แล้วรู้สึกว่าตัวเองก็เปลี่ยนไปในทุกปีๆ แพลนที่คิดจะทำมันก็ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามสิ่งที่เราเห็นคนที่เราโตขึ้นด้วย มันคาดเดายากผมว่า 10 ปีนานไป แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากทำในวงการบันเทิงต่อครับ อยากจะเป็นนักแสดงอายุ 33 ที่ยังเล่นละครอยู่ ถ้างานอย่างอื่นในวงการที่อยากจะทำ ก็คงเป็นเกี่ยวกับดนตรีครับ แต่อย่างงานเบื้องหลังเราก็ไม่ได้เรียนทางนี้มาโดยตรงนะ แต่ก็เป็นคนชอบดูหนัง ชอบศึกษา ถ้าตอนนั้นมันมีโอกาสก็อยากจะลองดู ไม่ได้ปิดกั้นครับ"
คนชิคๆ ในมุมมองไบร์ทคือเป็นคนแบบไหน
"คงเป็นแบบเก๋ๆ ป่ะ ไม่รู้อ่ะ คงแบบเก๋ๆ ไม่รู้จะอธิบายอย่างอื่นอะไรเลย (ถ้าแบบไทน์ล่ะ) ไอ้ไทน์มันคิดว่าตัวเองชิคแต่มันไม่ชิคไง (หัวเราะ)"
ลองให้คำจำกัดความกับผู้ชายที่ชื่อ "วชิรวิชญ์" หน่อย
"(หัวเราะ) คำจำกัดความของผมก็คือ จำกัดความไม่ได้ เพราะผมก็ไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ) ผมเป็นคนที่เห็นตัวเองตลอดเวลา เยอะแยะไปหมด ต้องให้คนอื่นจำกัดความผมแล้วแหละว่าเห็นผมมุมไหน ผมไม่รู้จะบอกถึงตัวเองยังไงเลย มันเยอะไปหมด บางวันก็นิ่ง บางวันก็ดีด บางวันไม่ดีด บางวันก็ดี บางวันไม่ดี บางวันชอบกิน บางวันกินเยอะบางวันก็ไม่กิน เราเห็นหลายแบบมากเราเลยไม่รู้ว่าอันไหนเป็นเรา"
จริงๆ แล้วคิดว่าตัวเองเป็นคนที่เข้าถึงง่าย หรือเข้าถึงยาก?
"เป็นคนที่อาจจะดูมีกำแพงเยอะ แต่ถ้าเขาถูกทางก็คือเข้ามาเลย มันมีประตูอยู่ ถ้าเขามาถูกทางก็จะเข้ามาได้ กับบางคนเราก็จะรู้สึกว่าคลิกเลย คุยง่าย แต่บางคนเราก็รู้สึกว่าไม่รู้จะคุยอะไรกับเขา"
คิดว่าเสน่ห์ของตัวเองอยู่ตรงไหน
"ไม่รู้เลยครับ จริงๆ ตอนเด็กๆ ผมโดนว่า "หน้าตาดีว่ะ แต่พอขยับแล้วไม่มีเสน่ห์เลย มึงไม่ต้องพูดดิ อยู่เฉยๆ" พอตอนโตมาผมก็เริ่มเห็น Comment ว่าเราเป็นคนมีเสน่ห์ จริงๆ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเปลี่ยนไปตอนไหน มันมีเสน่ห์ขึ้นมาได้ไงอันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน ต้องให้คนอื่นบอกเหมือนกัน (หัวเราะ)"
ตอนที่มีคนบอก เราไม่มีเสน่ห์ อย่ายิ้มเลยอยู่เฉยๆ เถอะ ตอนนั้นรู้สึกว่ามันเป็นปมในใจเรามั้ย
"ไม่เลยครับ เพื่อนผมเองนี่แหละที่พูด ไม่มีก็ไม่มี ก็แค่รู้ไว้ว่าไม่มี เราไม่ใช่คนที่ชอบคิดอะไรเยอะ เราก็แค่คิดว่าต้องทำยังไง เราถึงจะเป็นคนที่มีเสน่ห์ขึ้นมาได้ ต้องเป็นสุภาพบุรุษขึ้นเหรอวะ หรือว่าต้องบุคลิกดีขึ้น ก็มีคิด แต่ก็ไม่ได้เป็นคนที่เอาอะไรมาเป็นปม จะชอบคิดว่าทำยังไงมันถึงจะดีขึ้นมากกว่า"
จำเหตุการณ์ที่ทำให้ตัวเองรู้สึกแย่ได้มั้ย แล้วเรามีวิธีฮีลตัวเองยังไง?
"คือผมเป็นคนที่เวลามีปัญหา เราจะคิดวิธีแก้ เราต้องแก้ปัญหานี้ยังไง ถ้าเรารู้ทางแก้แล้ว ก็จบไม่ต้องไปคิดมันอีก แล้วลองทำถ้ามันไม่เวิร์คก็คิดหาวิธีใหม่ ไม่ได้เอามานอยด์ต่อ หรือว่าถ้ามันเป็นปัญหาที่มันไม่มีทางแก้ อย่างเช่นมีคนมาว่าผม ว่าหยิ่ง นิสัยไม่ดีอะไรก็แล้วแต่ ที่เราไปแก้เขาไม่ได้ เราก็ต้องปล่อยผ่าน ปัญหาที่แก้ไม่ได้ก็คือเราก็ไม่เอามาคิดครับ"
เคยมีประโยค "ถ้าไม่ดื้อ ก็ไม่ดุ" คิดมั้ยว่าคนจะชอบมากขนาดนี้
"ไม่คิดครับ (หัวเราะ) ผมก็แค่ตอบไลฟ์เฉยๆ คนดูร้อยกว่าคนเองมั้ง มันนานมากแล้วประมาณ 2 ปีครึ่งได้มั้งคลิปนั้น คือผมเล่น IG มาผมไม่เคยไลฟ์เลย ครั้งนั้นครั้งเดียวเลย วันเกิดเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แล้วก็ไม่ไลฟ์อีกเลยเหมือนคนไปขุดกลับมา แล้วเขาก็เจอประโยคนี้เลยเอามาเล่นกัน ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากลับมาได้ยังไง ก็ยังคิดอยู่ว่ามีคนเซฟไว้ด้วยเหรอ (หัวเราะ) (เห็นมีคนเอาทำใส่หน้าไอดอลเกาหลีหลายคนเลย) ไม่ได้เห็นนะ เห็นอันเดียวเองที่มีคนเอาไปใส่หน้าผู้ชายญี่ปุ่นมั้ง แต่รู้แหละว่ามีคนเอาไปพากย์ใส่คนอื่น แต่ไม่ได้เห็นทั้งหมด รู้ว่าเอาไปใส่กันเยอะอยู่ (ขำ)"
ไม่ได้ไลฟ์ IG เลยใช่ไหม แล้วมีสิทธิ์ที่จะไลฟ์เร็วๆ นี้หรือเปล่า
"เนี่ย ดันไปให้คำมั่นสัญญาไว้ว่าถ้ายอดฟอลถึง 2 ล้านแล้วจะไลฟ์ ถ้ามันถึงนะ (ขำ) ถ้ามีโอกาสก็จะมาไลฟ์ครับ ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรนะก็คงนั่งคุยกัน อยากทำอะไรวันนั้นก็คงทำไม่รู้เหมือนกัน (หัวเราะ)"
เห็นว่าเราเป็นคนติดบ้าน ทำอะไรคนเดียวบ่อยๆ แต่ก็ไปทำรายการท่องเที่ยว (โตแล้ว) ที่มันดูต่างจากชีวิตประจำวันของเราเลย
"ต่าง ต่างมากครับ ตอนไปทำรายการครั้งแรก โดยส่วนตัวที่บ้านตอนเด็กๆ ไม่ค่อยมีเวลาไปเที่ยวกันเพราะแม่ทำงาน ไม่ได้เป็นคนเที่ยวบ่อย คือเที่ยวโตแล้วปีนั้นปีเดียว มากกว่าที่เที่ยวทั้งชีวิตอีก แต่สนุก ชอบเลย เหมือนเราได้ทำอะไรที่เราไม่เคยทำ ได้ไปลองอะไรใหม่ๆ อะไรที่เคยทำแล้วไม่ชอบ อ้าว ลองทำอีกที เฮ้ยมันสนุกว่ะ มีเพื่อนไปทำด้วยแล้วสนุกว่ะ ได้ลองกินอะไรใหม่ๆ อะไรที่ไม่เคยกินก็ไปลองกินดู หรือว่ากิจกรรมอะไรที่ไม่มีโอกาสได้ทำก็ได้ไปทำ ยังมีคนออกตังค์ให้อีก แฮปปี้ (หัวเราะ) พวกเราก็มีคุยกันในกลุ่มตลอด ถ้าไปตกปลาก็อยากไปนอนค้างกันสักคืน อยากออกไปตกหมึกกัน อยากจะไปเล่น Flyboard อยากเล่นเจ็ทสกี คือก็คุยกันตลอดแต่คิวมันยากมาก พอมันไม่ใช่เวลางานที่เรานัดกันมันก็ยาก เวลาไม่ตรงกันสักทีอยากไปเที่ยวมากๆ"
จากที่เป็นคนติดบ้านกลายเป็นคนชอบท่องเที่ยวเลย
"กลายเป็นเราเปลี่ยน จากที่เราชอบอยู่บ้านอย่างเดียว กลายเป็นเราชอบอยู่บ้านนะ แต่ถ้าเราจะออกไปเที่ยวเราจะไปเที่ยวที่ไกลๆ เลย แบบเที่ยวจริงจัง ไปให้คุ้ม ไปต่างจังหวัดอะไรอย่างนี้เลย พอได้ทำโตแล้ว เราก็ได้เจอกิจกรรมใหม่ของเราก็คือการถ่ายรูป ตอนแรกไปถ่ายรายการอย่างเดียวเราไม่มีอะไรทำ เราก็เฮ้ยไหนๆ เราก็ได้ไปสถานที่สวยๆ งั้นเราก็ซื้อกล้องไปถ่ายรูปเล่นดีไหม ก็ได้การถ่ายรูปเพิ่มขึ้นมาอีกได้ ทำอะไรใหม่ๆ เยอะมากครับ"
พอได้ก้าวออกจากไปเจออะไรที่ไม่เคยทำ ก็ได้อะไรกลับมาเยอะเลย
"โตแล้วสอนอะไรผมเยอะมากจากคนที่พูดไม่เก่ง ก็ได้ฝึก พี่ๆ ในโตแล้วสอนผมเยอะมากได้เรียนรู้จากพี่เฟย พี่ทอย พี่กันสมาย ไอ้เฟิร์สก็ไม่ได้เรียนรู้หรอก แต่หมายถึงว่า (หัวเราะ) ได้เรียนรู้จากพี่ๆ ได้โตขึ้นทั้งด้านความสามารถในการทำงาน จากที่คิดว่างานพิธีกรไม่เก่ง ตอนอยู่สตอเบอร์รี่ครับเค้กเป็นพิธีกรไม่ถนัดว่ะ แต่พอมาทำโตแล้วก็สนุกดี ก็ได้เปลี่ยนความคิด โตแล้วเป็นปีที่ทำให้ผมโตขึ้นหลายอย่างเหมือนกันนะ ได้ข้อคิด พอเราได้ทำงานกับรุ่นพี่ที่อยู่ในช่องเขาจะสอนเราตลอด พี่เฟย พี่ทอย พี่กัน จะมีคำแนะนำให้เราตลอด ตั้งแต่การใช้ชีวิตยันการตบมุก จากเราเป็นคนตบมุกไม่เป็น ไม่ตลก เป็นคนไม่เล่นมุกไม่เข้าใจ เราก็เริ่มมีสกิลขึ้นบ้าง อาจารย์ผมทั้งนั้นเลย (หัวเราะ)"
ถ้าโดน Stalker โดยแฟนคลับจะทำยังไง
"อืม... จริงๆ มันก็มีแล้วแหละ เราก็ไม่ได้ทำอะไร แค่รู้สึกว่ามีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งที่เคารพกติกา แล้วก็ให้เกียรติเราในพื้นที่ส่วนตัวของเรา เวลาเขามาหาเราในพื้นที่ที่ให้พบได้ เราอยากให้สิ่งดีๆ กับเขา ให้คุย แต่คนอีกกลุ่มไม่มาหาเราตอนนั้น คนที่มาหาเราในพื้นที่ที่เราไม่สะดวก เราก็เลยรู้สึกว่าเราไม่คุยกับเขาดีกว่า ก็ไม่ได้โต้ตอบอะไร เราก็เห็น เราก็มองนะ เราอยากให้เขารู้ว่าเราไม่โอเคนะ อยากให้ไปเจอกันตามงานมากกว่า มันมีคนที่เขาเคารพกฎ ที่คุณทำอยู่มันไม่ได้ถูกนะ แต่เราก็ไม่ได้อยากจะเดินไปว่าเขา แค่ให้เขารู้ว่าที่ทำอยู่เราไม่ได้โอเค แต่ก็ขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับ ว่าไปเจอกันที่งานที่บริษัทได้แจ้งไว้ หรือมาพูดคุยกันในทวิตก็ได้บางทีผมเห็นก็เข้าไปตอบตลอด มาเจอกันข้างนอกมันไม่สบายใจกันทั้งหมด ช่วงนี้ยิ่งมีโควิด-19 ก็อยากให้ดูแลสุขภาพ ไม่อยากให้มารวมกัน อยากให้อยู่บ้านกันก่อน พอหมดช่วงนี้ไปเจอกันเต็มที่แน่นอน ช่วงนี้อดใจไปก่อน เจอกันในทวิตหรือไอจีก็ได้"
ฝากถึงแฟนๆ ที่ชื่นชอบผลงานของเรา ที่ซัพพอร์ตเราและดูจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
"ก็ขอบคุณครับขอบคุณจริงๆ คือดีใจอ่ะ แล้วก็ฝากซีรีส์ด้วยนะครับซีรีส์ยังไม่จบเหลืออีก 7 ตอน อย่าเพิ่งเบื่อกันนะ หลังจากนี้ก็จะมีผลงานให้ได้ติดตามกันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่กับไบร์ทนะ กับวินด้วย ผมว่าเดี๋ยวมีอะไรมาให้อยู่ด้วยกันอีกนาน คงได้เจอไบร์ทกับวินบ่อยๆ แต่ยังไม่บอกว่าเป็นอะไรนะ ก็ฝากทั้งคู่เลยครับ ฝากซีรีส์ด้วยครับ"
อัลบั้มภาพ 26 ภาพ