เมื่อ Netflix ชวนไปสนทนากับ “คริส เฮมส์เวิร์ธ” ตัวเป็นๆ ว่าด้วยเรื่องอภิมหาความระห่ำใน “Extraction”
หลายคนอาจคิดว่า การได้เผชิญหน้าและพูดคุยกับ คริส เฮมส์เวิร์ธ นักแสดงฮอลลีวูดชื่อดังคงเป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันที่เป็นไปได้ยาก แต่จู่ๆ ความฝันนั้นก็กลายเป็นความจริง เพราะชายหนุ่มที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในบทบาทเทพเจ้าธอร์ในจักรวาลมาร์เวลนั้นนั่งอยู่เบื้องหน้าเราในบ่ายวันนั้นที่อากาศร้อนอบอ้าวไม่แพ้ในช่วงนี้
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2018 เกิดคลิปไวรัลในโลกออนไลน์ที่เล่าเหตุการณ์การฟันฝ่าการจราจรอันติดขัดในกรุงเทพมหานครของ คริส เฮมส์เวิร์ธ พร้อมทั้งข่าวคราวการเดินทางมาถ่ายทำภาพยนตร์ของ Netflix เรื่องใหม่ที่ขณะนั้นยังใช้ชื่อว่า Dhaka อีกไม่กี่วันถัดมา Sanook TV/Movies ตอบรับคำเชิญของ Netflix มุ่งหน้าสู่จังหวัดราชบุรี เพื่อไปสอดแนมดูเบื้องหลังการถ่ายทำหนังเรื่องดังกล่าว รวมถึงจะได้สนทนากับ คริส เฮมส์เวิร์ธ ด้วย
ร่างกายอันกำยำภายใต้เสื้อผ้าทหาร ใบหน้าที่เลอะเปรอะเปื้อนและเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ ไม่ได้ทำให้ความเท่ของพระเอกหนุ่มชาวออสเตรเลียผู้นี้ลดน้อยลงแต่อย่างใด เกือบๆ 30 นาทีที่เราได้พูดคุยกับ คริส เฮมส์เวิร์ธ ร่วมกับสื่อไทยและเทศเกี่ยวกับภาพยนตร์แอ็คชั่นที่แปรเปลี่ยนจากชื่อ Dhaka มาเป็น Extraction ซึ่งเขารับบทนำ ออร่าแห่งความเป็นพระเอกสุดระห่ำของเขาก็เปล่งประกายตลอดเวลาอย่างแท้จริง
บทบาทใหม่ของ คริส เฮมส์เวิร์ธ ใน Extraction ระห่ำแค่ไหน? แล้วจริงๆ เขามีความเห็นอย่างไรกับเรื่องรถติดในเมืองไทย? ไปค้นหาคำตอบพร้อมกัน
*** คำเตือน : เพื่ออรรถรส โปรดใส่ที่อุดหูระหว่างการอ่าน เพราะระหว่างการสัมภาษณ์เต็มไปด้วยเสียงปืนและระเบิดมากมาย ***
แน่นอนว่าทั่วโลกคุ้นเคยคุณในบทบาทเทพเจ้าธอร์ มันยากไหมหรือท้าทายอย่างไรกับบทบาทแอ็คชั่นใหม่ใน Extraction?
คริส เฮมส์เวิร์ธ: ตอนนู้นผมก็เคยต้องค้นหาแนวทางในการเล่นเป็นธอร์มาก่อน พอมาเป็น Extraction มันก็เหมือนได้ปรับตัวใหม่ ที่จริงก็รู้สึกเฟรชเหมือนกัน คือถ้าเราต้องอยู่ในตัวละครใดตัวละครหนึ่งเป็นเวลานาน หรือทำอะไรแบบเดิมๆ ตลอดมันก็อาจจะไม่ดี พอมาถึงบท ไทเลอร์ เรค ใน Extraction ผมก็ได้สร้างอะไรใหม่ๆ ขึ้นมา ได้เปลี่ยนตัวเองจากที่ผ่านมา หลุดออกจากโลกของหนังสือการ์ตูนมาเจอหนทางอื่นบ้าง ไม่แน่นะว่า Extraction อาจจะเป็นหนึ่งในหนังแอ็คชั่นอลังการมหาโหดเรื่องหนึ่งก็เป็นได้ (หัวเราะ) ยิ่งคนเขียนบทเป็น โจ รุสโซ ผู้กำกับ Avengers ทั้งภาค Infinity War และ Endgame รวมถึงคนกำกับคือ แซม ฮาร์เกรฟ ซึ่งเคยเป็นสตันท์แมนมาก่อนด้วย
สิ่งที่ยากที่สุดในการสวมบทบาทเป็น ไทเลอร์ เรค?
ผมว่าร่างกายเป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุด มันมีการปะทะกันเยอะ มันเจ็บกว่าที่คิด มีหลายฉากที่ผมต้องศึกษาเพื่อย้อนรอยเหตุการณ์นั้นๆ ทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าเบื้องหลังตัวละครนี้ว่าเขาเคยเป็นอย่างไร ผมรู้สึกเซอร์ไพรส์กับการได้รับบทนี้นะ ทุกอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ทั้งบท ทั้งนักแสดงที่เล่นด้วยกัน และที่สำคัญได้ร่วมงานกับผู้กำกับที่เข้าใจเรื่องอารมณ์อย่างลึกซึ้ง งานก็เลยออกมาราบรื่น แซม ฮาร์เกรฟ เป็นผู้กำหนดทิศทางของหนังที่ยอดเยี่ยม เขาสามารถหาหนทางที่ดีในการร่วมงานกันได้
ช่วยเล่าขั้นตอนการสร้างคาแรกเตอร์ตัวละครตัวนี้ให้ฟังหน่อยได้ไหม?
มันมีบางฉากที่ผมต้องใช้อารมณ์ร่วมค่อนข้างมาก ผมใช้วิธีการคิดถึงช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต เอาตัวเองใส่เข้าไปในนั้นมากๆ แล้วค่อยดึงบางอย่างออกมา บางครั้งพออ่านบทมันก็ให้อารมณ์แบบนั้นได้เลย ตอนที่มีการเล่าเรื่องราวเบื้องหลังต่างๆ มันยิ่งทำให้ผมเข้าใจหัวอกของ ไทเลอร์ เรค ผมพยายามเข้าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวละครตัวนี้โดยไม่จมกับมันจนเกินไป มันคงจะไม่ดีถ้าผมไปทำอะไรแบบนั้นที่บ้าน (หัวเราะ) ตอนอยู่ในกองถ่ายก็มีคนช่วยผม อย่างแซมก็คอยบอกว่าแบบนี้มันมากน้อยเกินไปหรือเปล่า ถ้าเราปล่อยให้ตัวละครที่เราสร้างมาควบคุมเรา ถึงมันจะเป็นธรรมชาติ แต่ก็อาจจะหลุดขอบเขตจนเกินไป ดังนั้นการเตรียมตัวก่อนเข้าฉากจะปลอดภัยกว่า ผมไม่ค่อยปล่อยให้ตัวละครตอบโต้เอง แบบนั้นมันจะดูเอาแต่ใจไปหน่อย
เซอร์ไพรส์ไหมที่สตันท์แมนฝีมือดีอย่าง แซม ฮาร์เกรฟ จะเปลี่ยนบทบาทมาเป็นผู้กำกับ?
แซม ไม่ได้ถนัดแค่เรื่องแอ็คชั่นเพียงอย่างเดียว เขามีความสามารถหลายด้าน ผมว่าคนเราทุกคนก็อยากพิสูจน์ตัวเองกันทั้งนั้น เช่น เราอาจจะไม่ได้เป็นแค่นักแสดงแอ็คชั่นอย่างเดียว เราต้องทำอะไรที่ไม่เคยทำบ้าง แต่ผมแอบหวังว่า แซม จะไม่ไปสายดราม่าเต็มตัว แซมตัวจริงต้องเดินมาพร้อมกับเสียงปืน (หัวเราะ) สิ่งหนึ่งที่ผมคาดไม่ถึงก็คือ นอกจากเรื่องแอ็คชั่นแล้ว เขายังมีความสามารถในการกำกับที่ดี เขามีเซ้นส์ในการจับนู่นมาใส่นี่ บางทีในฉากแอ็คชั่นมันไม่ได้มีแค่ยิงกันอย่างเดียวแล้วก็จบ มันจะต้องมีการเล่าถึงเรื่องราวหรือที่มาเพื่อให้นักแสดงหรือผู้ชมสามารถจับต้องได้มากขึ้นด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะเข้าถึงเรื่องราวได้ลำบาก ทุกคนคาดหวังในตัวแซมนะ แต่สำหรับคนที่ไม่เคยทำงานกำกับมาก่อนก็ต้องมีอุปสรรคบ้างแหละ ผมว่านี่อาจจะเป็นเพราะแซมเห็น เดวิด ไลต์ช ที่เป็นสตันท์แมนมาก่อน แล้วพอมาหยิบจับงานกำกับแล้วดังเป็นพลุแตกทั้ง Atomic Blonde หรือ Deadpool 2
สิ่งที่คุณชื่นชอบใน Extraction ล่ะ?
ผมชอบความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครมาก สิ่งที่เชื่อมโยงจิตใจคน 2 คนเป็นจุดสำคัญที่ทำให้หนังเรื่องนี้ต่างจากหนังแอ็คชั่นเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนออสเตรเลียเลย (หัวเราะ) อันที่จริงก็ไม่ค่อยได้เห็นตัวละครที่เป็นคนออสเตรเลียอยู่ในหนังอยู่แล้วถ้าไม่ใช่หนังของออสเตรเลียเอง โชคดีที่ผมมีคนคอยปรับเรื่องภาษาให้เหมาะสม และช่วยเรื่องฉากบู๊หลายอย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน
มันแตกต่างจากผลงานก่อนๆ หน้านี้ของคุณอย่างไร เพราะคุณก็ผ่านซีนแอ็คชั่นมาเยอะ?
ผมว่าถึงเรานับรวมภาพยนตร์แอ็คชั่นหรือฉากแอ็คชั่นทั้งหมดที่ผมเคยแสดงมา ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับที่ผมทำในเรื่องนี้ (หัวเราะ) แต่ละซีนแอ็คชั่นมันค่อนข้างซับซ้อนและมีชั้นเชิง มันคล้ายเป็นการต่อสู้ในชีวิตจริง ไม่มีพวกสเปเชียลเอฟเฟกต์ช่วยเลย ถ้ามีระเบิด ก็คือระเบิดขึ้นข้างหน้าเราเลย มันค่อนข้างน่ากลัวอยู่เหมือนกัน เพราะผมไม่เคยเล่นฉากแอ็คชั่นในเลเวลนี้ แซม (ผู้กำกับ) บอกว่าอยากให้ผมฝึกหนัก ฝึกให้ฟิตพอสำหรับการแสดงในลักษณะนี้
ต้องฟิตร่างกายเพิ่มเติม?
ผมเริ่มจากการฝึกท่าของทหารต่างๆ เพราะ ไทเลอร์ เรค คือทหารรับจ้างที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใด แล้วผมก็ต้องเข้ายิม ฝึกกล้ามเนื้อ เล่นเพาะกาย ซ้อมกระบวนท่าที่ต้องใช้จริงในกองถ่าย ผมรู้สึกดีนะที่ได้ฝึก เพราะมันช่วยลดอาการเมื่อยล้าและเจ็บปวดได้ ถ้าร่างกายไม่พร้อมผมว่ามีสิทธิ์เจ็บจริงจัง ซึ่งก่อนเริ่มถ่ายทำผมมีเวลาเตรียมตัวไม่มาก แค่ประมาณสัปดาห์เดียวเอง พอเดินทางไปถึงอินเดียพวกเราก็ซ้อมและถ่ายทำไปพร้อมๆ กัน เราใช้เวลาถ่ายทำ 3 สัปดาห์อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งเรื่องการปะทะกันด้วยมือเปล่า เรื่องดินปืน เพื่อฉากหนึ่งในเรื่องที่มีความยาวประมาณ 4-5 นาที (หัวเราะ) คือเบื้องหลังเราต้องเตรียมตัวกันเยอะมาก มีคนจากหน่วยทหารจริงมาช่วยฝึกซ้อมด้วย เขาจะช่วยบอกว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิด ซึ่งผมชอบนะ ทั้งได้เดินทางไปถ่ายทำในหลายสถานที่ พักโรงแรมเดียวกัน ได้ฝึกกับสตันท์แมน สิ่งเหล่านี้มันมอบความเฟรชและจิตวิญญาณที่ดี สนุกดีครับ
โลเคชั่นในทวีปเอเชียให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปไหมสำหรับการถ่ายหนัง?
แน่นอน ผมชอบที่ได้ออกมาทำงานนอกสตูดิโอบ้าง ปกติผมจะอยู่แต่ในสตูดิโอแถวลอนดอนหรือไม่ก็แอตแลนตา บางทีมาเจอกัน ทำงาน แล้วก็กลับบ้านไปทำนู่นทำนี่ต่อ เหมือนไปเข้าค่ายออกกำลังกายของทหารอะไรอย่างนั้น (หัวเราะ) การออกมาอยู่ท่ามกลางสิ่งแวดล้อมจริงทำให้ผมได้รับพลังงานอีกแบบหนึ่ง ได้สัมผัสกับวัฒนธรรมที่ไม่เคยรู้จัก การเป็นนักแสดงทำให้เราได้ออกตามหาสิ่งใหม่ ได้เปิดหูเปิดตาทั้งในโลกของแฟนตาซี และโลกของเราจริงๆ ก่อนหน้านี้เรายังอยู่ที่อินเดีย ซึ่งมีคนมาดูพวกเราทุกวันวันละเป็นพันคน แต่ตอนนี้เรามาอยู่ที่ไทยแล้ว ไม่น่าเชื่อเลย ผู้คนจำนวนมากเป็นมิตรกับเรา ผมรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
แล้วที่เมืองไทยล่ะ เป็นอย่างไร?
ที่นี่วิเศษมาก ผมรักคนไทย ผมรักวัฒนธรรมไทย
แล้วการจราจรในเมืองไทยล่ะ?
ผมไม่ชอบรถติด (หัวเราะ) หมายถึงผมไม่ชอบรถติดทุกที่แหละ ส่วนเรื่องการต้อนรับต้องบอกว่าอบอุ่นมาก ผมได้รับพลังจากผู้คนในประเทศไทย
ขอถามเรื่องส่วนตัวบ้าง เห็นว่าคุณกลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่ออสเตรเลีย?
ใช่ครับ กลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัว แล้วมันสดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ ผมคิดว่าผมหลุดออกจากช่วงที่งานยุ่งที่สุดในชีวิตแล้ว ตอน Avengers: Endgame ใช้เวลาถ่ายทำประมาณ 12 เดือน แต่กับ Extraction อาจจะเสร็จสิ้นภายใน 3 สัปดาห์ ซึ่งการถ่ายทำภาพยนตร์ส่วนใหญ่ก็จะต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ประมาณนี้แหละ ผมพยายามใช้เวลาที่เหลืออยู่บ้านให้มากที่สุด กับภรรยา ลูกสาว และลูกชายอีก 2 คน ตั้งแต่ Thor ภาคแรกเป็นต้นมา ผมก็เหมือนอยู่ในเขาวงกตแห่งการทำอะไรหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน ผมไม่รู้ตัวเลยว่าเวลาล่วงเลยมาเกือบสิบปีแล้ว มันก็ดีแหละที่มีงานให้ทำอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็น่ากลัว เพราะเหมือนกับว่าเวลามันหายไปโดยสิ้นเชิง ผมต้องใช้เวลาอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เวลาทำงานหนักไปมันเหมือนขาดอากาศหายใจ ลำดับความสำคัญของชีวิตมันผิด นั่นเป็นสาเหตุที่ผมออกจากฮอลลีวูดแล้วกลับมาอยู่ที่ออสเตรเลีย
มีแพลนจะทำอะไรกับครอบครัวบ้างไหม?
เราทำงานในหนังเรื่อง 12 Strong ที่ออกฉายเมื่อปี 2018 ด้วยกัน มันก็ลำบากนิดหน่อยที่ต้องมาลุยงานพร้อมกันเป็นเวลา 4 เดือน พวกเราพยายามจะไม่ถ่ายงานในเวลาเดียวกัน เช่น ถ้าช่วงนี้ภรรยาผมรับงานของ Netflix ผมก็จะไม่รับงานที่ต้องถ่ายทำในช่วงเดียวกัน เพราะเราอยากให้มีคนอยู่กับลูก (หัวเราะ) อย่างที่บอกผมอยากหยุดอะไรพวกนี้ไว้ก่อน ผมก็รู้สึกดีที่ไม่ต้องกังวลเรื่องภาพยนตร์มากจนเกินไป ไม่ต้องคอยคิดว่าเสร็จเรื่องนี้แล้วเรื่องต่อไปจะเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่เรื่องนี้อาจจะยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ เราต้องพักไปอยู่กับสิ่งที่เรารักบ้าง แล้วใช้เวลาบนโลกใบนี้อย่างมีความสุข
ทุกวันนี้สิ่งที่สร้างแรงกระตุ้นให้กับคุณคืออะไร?
ความเบื่อช่วยผลักดันผม (หัวเราะ) เวลาเจออะไรซ้ำเดิมบ่อยๆ ผมก็อยากให้มันรีบๆ จบไป จะได้เริ่มทำอะไรใหม่
มีบทบาทไหนที่คุณยังไม่เคยแสดง แล้วอาจสร้างแรงกระตุ้นให้คุณได้?
คุณอาจจะเคยเห็นผมเล่นคอมเมดี้มาบ้าง แต่ผมยังไม่เคยเล่นหนังคอมเมดี้เต็มรูปแบบเลย ก็น่าลองดูนะ อย่างใน Bad Times at the El Royale ผมว่ามันสนุกดี ถึงจะเป็นภาพยนตร์ธริลเลอร์จิตๆ หน่อย แต่มันก็มีส่วนที่ตลกอยู่บ้าง การได้เล่นคอมเมดี้ก็มีส่วนทำให้ผมเข้าถึงตัวละครได้ในอีกรูปแบบหนึ่ง แม้ว่าอดีตของตัวละครจะผ่านอะไรมา การได้แสดงด้านตลกๆ ของตัวละครมันก็ดูขัดๆ แปลกๆ ดี เหมือนตลกหน้าตายน่ะครับ อย่าง Thor ในยุคหลังๆ ก็ช่วยให้ผมได้ประสบการณ์ในอีกรูปแบบหนึ่ง
เตรียมพบกับความระห่ำขั้นสุดของ Extraction ได้ในวันที่ 24 เมษายน นี้ บน Netflix เท่านั้น!
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ