ยิ้มไม่หุบกับ Valley Girl หนังเพลงรักหวานใส ชวนหวนนึกถึงยุค 80

ยิ้มไม่หุบกับ Valley Girl หนังเพลงรักหวานใส ชวนหวนนึกถึงยุค 80

ยิ้มไม่หุบกับ Valley Girl หนังเพลงรักหวานใส ชวนหวนนึกถึงยุค 80
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สถานการณ์โลกตอนนี้ อะไรอะไรก็ดูจะตึงเครียด น่าเศร้าและน่าหดหู่ไปเสียหมด โชคยังดีที่วงการบันเทิงยังเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อเลี้ยงความสุขเล็กๆน้อยๆของผู้คนทั่วโลก ให้เป็นที่แวะมาพักผ่อนหย่อนใจ

เรื่องราวเบาสมอง ความรักของหนุ่มสาวที่ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ภาพความแฟนตาซีและบทเพลงอันไพเราะลื่นหู สิ่งที่เรากล่าวมาข้างต้นนั้นคือองค์ประกอบของหนังเพลงเรื่องใหม่อย่าง Valley Girl ซึ่งจะพาผู้ชม พักเรื่องราวหนักๆในชีวิตของตัวเองสักสองชั่วโมงและปล่อยใจไปกับเรื่องราวความรักของสองหนุ่มสาวยุค 80

 

 

Valley Girl งานต้นฉบับปี 1983

 

Valley Girl เป็นหนังแนววัยรุ่นโรแมนติกที่ว่าด้วยหนุ่มหล่ออย่างแรนดี้ (นิโคลัส เคจ) จากย่านฮอลลีวูดที่บังเอิญมาเจอสาวไฮโซจากย่านซิลิคอน วัลเลย์ อย่างจูลี่ (เดโบราห์ ฟอร์แมน) ในงานปาร์ตี้ที่เขาไม่ได้รับเชิญ แรนดี้พาจูลี่ไปเที่ยวตามบาร์ดนตรีร็อคแอนด์โรลเพื่อเปิดโลกใบใหม่ซึ่งเธอไม่เคยพานพบมาก่อน สองหนุ่มสาวตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความไม่เห็นด้วยของเพื่อนตัวเองที่พยายามขัดความเส้นทางแห่งความสุขของทั้งคู่ แล้วทั้งสองจะจัดการความรักแสนวุ่นวายครั้งนี้ให้ลงเอยได้อย่างไร

จุดขายประการสำคัญของ Valley Girl คือศิลปินที่โด่งดังอย่างมากในยุคนั้นไม่ว่าจะเป็น Josie Cotton, Men At Work, The Plimsouls, The Clash, Bonnie Hayes with the Wild Combo, Gary Myrick, The Flirts, Bananarama, Payolas, Toto Coelo, Modern English และ The Blasters ซึ่งเพลงประกอบภาพยนตร์นั้นโด่งดังมากในยุคสมัยนั้น จนมีการ รีมาสเตอร์อัลบั้มออกมาวางจำหน่ายอีกครั้งในปี 1994

 

 

Valley Girl เป็นผลงานการกำกับของมาร์ธา คูลิจน์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ถือเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธออย่างมาก แน่นอนมันถือเป็นหนังแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวให้กับพระเอกหนุ่มนิโคลัส เคจ ที่จัดได้ว่าหล่อมาก(กกกกกกกกก……) และยังได้ดาราสาวเดโบราห์ ฟอร์แมน ที่แจ้งเกิดจากหนังเรื่องนี้เช่นกัน แม้ว่าหนังจะได้รับเรท R ในยุคสมัยนั้น แต่ก็ไม่อาจจะหยุดความแรงและความดังของหนังเรื่องนี้ เพราะหนังลงทุนแค่เพียง 350,000 เหรียญฯ แต่สามารถทำเงินในอเมริกาเหนือไปทั้งสิ้น 17 ล้านเหรียญ (หากนำอัตราเงินเฟ้อปัจจุบันคูณเข้าไปแล้วตัวเลขถือว่าสูงมากในยุคสมัยนั้น) ส่วนในประเทศไทยตอนที่เข้าฉายได้ตั้งชื่อแสนกิ๊บเก๋ว่า “อรชร เพี้ยนรัก”

 

 

เมื่อพิจารณาตัวเรื่องราวแล้วเห็นได้ชัดเลยว่า หนังได้รับอิทธิพลมาจากวรรณกรรมเรื่องอมตะของเชคสเปียร์อย่าง Romeo and Juliet แต่มาในคราบของเพลงร็อคแอนด์โรล เซ็กส์ ความคาดหวังของผู้ใหญ่ที่มีต่อวัยรุ่น

แฟชั่นและเสื้อผ้าที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ยิ่งมีความพิเศษมากยิ่งขึ้นถ้าหากเราไปทราบที่มาที่ไป เนื่อฃจากตอนถ่ายทำ หนังเรื่องนี้ได้ทุนสร้างแบบจำกัดจำเขี่ยมาก ทำให้กองถ่ายต้องขอร้องให้นักแสดงหาเสื้อมาใส่เข้าฉากกันเอาเอง ซึ่งมีแค่เพียงโจทย์คร่าวๆว่า ฝั่งนางเอกจะต้องดูเป็นสาวชานเมืองที่มีไลฟ์สไตล์ชิคๆ ชอบเดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ใส่ต่างหูพลาสติก ที่คาดผม กำไลข้อมือ เสื้อที่มีแผ่นเสริมไหล่ และเสื้อโปโล ส่วนฝั่งพระเอกจากฮอลลีวูด เน้นการทำผมไฮไลท์ ใส่แจ็คเกตหนังไบคฺเกอร์ กางเกงยีนส์เดนิม ออกสไตล์พังค์ๆนิดหน่อย แต่เมื่อเสื้อผ้าอาภรณ์มาปรากฏอยู่ในเรื่อง กลับโดดเด่นและสะดุดตาเป็นอย่างมาก

 

 

สู่เวอร์ชั่นรีเมคในปี 2020

กว่า 37 ปี Valley Girl พร้อมกลับมาสร้างความประทับใจให้กับคนรุ่นใหม่อีกครั้ง และยังทำให้พวกเขาเข้าใจความเป็นวัยรุ่นของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ (หรืออาจจะรุ่นปู่รุ่นย่าก็ได้) ซึ่งอันที่จริงแล้ว Valley Girl ที่อยู่ภายใต้การดูแลของสตูดิโอ MGM เคยประกาศว่าจะมีการสร้างหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ปี 2017 แต่ความล่าช้าในหลากหลายด้าน ทำให้กว่าหนังจะเสร็จและได้ออกฉาย ก็ล่วงเลยมาถึงปี 2020

 

 

ความพิเศษในเวอร์ชั่นปี 2020 คือตัวหนังถูกดัดแปลงให้กลายเป็นหนังมิวสิคัล และขนเพลงฮิตจากยุค 80 อาทิ Take On Me และ We Got the Beat เข้ามา (ในตัวหนังน่าจะมีอีกหลายเพลงทีเดียว) ซึ่งได้นักแสดงสาวดาวรุ่งเจสสิก้า รอธ จากหนังเรื่อง Happy Death Day มารับบทเป็นจูลี่ ส่วนบทแรนดี้ได้ (จอร์ช ไวท์เฮาส์) โดยตัวหนังจะเล่าเรื่องราวในยุคปัจจุบันและพาคนดูหสนรำลึกถึงความหลังของจูลี่ (อลิเซีย ซิลเวอร์สโตน) ที่จะเล่าเรื่องราวความรักของเธอให้กับลูกสาวฟัง โดยมี ร๊อบ ฮูว์เบล มารับบทเป็นพ่อของจูลี่

 

 

สำหรับ Valley Girl มีกำหนดฉายแบบ VOD ในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ แต่หนังในเวอร์ชั่นนี้เรทลดลงมาเหลือแค่ PG-13 นั่นหมายถึงความรุนแรงที่ลดลง และนี่เป็นผลงานการกำกับของราเชล ลี โกเดนเบิร์ก ผู้กำกับหญิงที่ผ่านงานกำกับซีรีส์มามากมายตั้งแต่ปี 2008 โดยหลังจากปิดกล้อง Valley Girl ไปเธอก็กำลังสร้างผลงานชิ้นใหม่เรื่อง Unpregnant ที่เล่าเรื่องราวของเด็กสาววัย 17 ที่ต้องท้องในวัยเรียนจนความฝันแทบพังทลาย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook