ฉาว! เมื่อยุคทองของ Hollywood อาจจะไม่ "สวย" อย่างที่คิด ซีรีส์ตะกายฝันเรื่องใหม่ โป๊ เด็ด เผ็ด แซ่บ

ฉาว! เมื่อยุคทองของ Hollywood อาจจะไม่ "สวย" อย่างที่คิด ซีรีส์ตะกายฝันเรื่องใหม่ โป๊ เด็ด เผ็ด แซ่บ

ฉาว! เมื่อยุคทองของ Hollywood อาจจะไม่ "สวย" อย่างที่คิด ซีรีส์ตะกายฝันเรื่องใหม่ โป๊ เด็ด เผ็ด แซ่บ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

What If You Could Rewrite the Story? (จะเป็นอย่างไร ถ้าหากคุณมีโอกาสเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่? ) คือคำโปรยของลิมิเต็ดซีรีส์ Hollywood ผลงานการสร้างของไรอัน เมอร์ฟีย์และเอียน เบรนแนน ที่จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสำรวจแวดวงฮอลลีวูดในยุคทองช่วงปี 1939 ด้วยการแต่งเติมเสริมแต่งเรื่องราวเข้าไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาลองเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เกี่ยวกับวงการมายาที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันว่า นี่คือดินแดนแห่งชื่อเสียงเงินทอง

ถ้าหาก Once Upon a time in Hollywood คือจดหมายรักของผู้กำกับเควินติน ทารันติโน่ มีต่อวงการฮอลลีวูดยุค 70 ซีรีส์ Hollywood ก็คือจดหมายรักจากไรอัน เมอร์ฟีย์และเอียน เบรนแนนมีให้ต่อวงการนี้ในยุคทอง เช่นกัน ทว่าเป็นมุมมองที่ผู้สร้างทั้งสองคนเลือกจะสะท้อนมุมมอง “ด้านมืด” ของวงการมายามีต่อบรรดาคนหน้าใหม่ ผู้พยายามเข้ามาในวงการมายา ด้วยการ “เขียนเรื่องราว” บางส่วนขึ้นมาเอง แต่ยังอ้างอิง บุคคลหรือสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จริง มาประกอบซีรีส์

 

หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง แจ็ค คาสเตลโล (เดวิด โคเรนสเวท) หนุ่มหล่อหน้ามนจากรัฐบ้านนอก ตัดสินใจเดินทางมายังแคลิฟอร์เนีย อันเป็นสถานที่ตั้งของหลายสตูดิโอชื่อดัง ซึ่งผลิตผลงานภาพยนตร์มากมาย เขาใฝ่ฝันจะมีชื่อเสียงและเป็นนักแสดงค้างฟ้า จุดเริ่มต้นของเขาคือการต้องมายืนคอยหน้าประตูเอซสตูดิโอ เพื่อให้บรรดาแคสติ้งที่ต้องการตัวประกอบเข้าฉาก จะมาเลือกคนที่เหมาะกับบทเข้าไปร่วมแสดงหนัง แม้ในหนึ่งวันจะมีคนได้รับเลือกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แจ็คเฝ้ารอว่าสักวันจะถึงคิวของตัวเอง แต่เวลาผ่านไปหลายวันจะเป็นเดือน เขาก็ยังไมได้เป็นคนที่ถูกเลือก มิหน้ำซ้ำเงินเก็บก็ร่อยเหรอไปทุกวัน ทางด้านภรรยาของตัวเองก็ตั้งท้อง ทางเดียวที่พอจะยาไส้ได้คือการที่เขาจะไปเป็น เด็กปั้มของเออร์นี (ดีแลน แมคเดอมอตต์) ซึ่งปั้มน้ำมันเป็นแค่เพียงฉากบังหน้า เพราะความเป็นจริงแล้วหน้าที่หลักๆของพนักงานที่นี่คือการเป็น “ผู้ชายป้ายเหลือง” ผู้ให้บริการความสุขทางเพศให้กับบรรดาแขก ระดับกระเป๋าหนักที่มีทุกเพศสภาพตั้งแต่ผู้หญิงและเหล่า LGBT

 

อาร์ชี่ โคลแมน (เจเรมี โพ๊ป) เกย์หนุ่มผิวสี ที่มีความฝันจะเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ เขาพยายามหาหนทางในการก้าวเข้าไปเสนอบทกับสตูดิโอ แต่ในยุคสมัยนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ “คนดำ” จะได้ร่วมงานกับบริษัทที่บริหารงานด้วยคนผิวขาว แต่เมื่ออาร์ชี่ได้พบกับแจ็คที่ได้ชักชวนให้เขาไปร่วม “ขายน้ำ” ให้ลูกค้ากลุ่มชายรักชาย นั่นเปิดโอกาสให้อาร์ชี่ได้พบกับร็อค ฮัดสัน (เจค พิกกิ้ง) เกย์หนุ่มหน้าหล่อประสาหนุ่มชาวไร่ ที่มีความฝันจะเป็นนักแสดงชื่อดังเช่นกัน

 

อาชีพผู้ชายขายน้ำเปิดโอกาสให้แจ็คหาเงินก้อนใหญ่ แถมยังทำให้เขาเจอกับบรรดา “ผู้ใหญ่” ในสตูดิโอที่ช่วยเบิกทางให้เขาได้ร่วมงานในฐานะตัวประกอบ ขณะเดียวกันเรย์มอนด์ (ดาเรน คริส) ผู้กำกับไฟแรงที่อยากจะทำหนังที่พูดถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติ กลับถูกเบรกจากสตูดิโอเพราะกลัวว่าทำแล้วหนังจะเจ๊งและขายไม่ออก  ส่วนแฟนสาวผิวสีของเขาอย่างคามีล (ลอร่า ฮาร์ริเออร์) ก็พยายามเหลือเกินที่จะเป็น “นักแสดง” ที่ไม่ได้เป็นแค่ตัวประกอบคนผิวดำที่เล่นได้แค่บท “คนรับใช้” ของคนผิวขาว จนกระทั่งเรย์มอนด์ได้รับบทของอาร์ชี่ ที่เขียนเรื่อง “Peg” ซึ่งหยิบเอาประวัติจริงของนักแสดงหญิง “เพ็ก เอนวิสเทิ้ล” ผู้ปลิดชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดป้าย Hollywood อันตั้งตระหง่านบริเวณภูเขาในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งแนวคิดในสร้างหนังเรื่องนี้ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการทำหนังในยุคสมัยนั้นเลยก็ว่าได้

 

ระหว่างทางซีรีส์ Hollywood จะพาเราไปสำรวจ “ระบบ” การสร้างภาพยนตร์ในยุค 40S’ ไม่ว่าจะเป็น การแคสติ้งนักแสดง วิธีการเทสต์หน้ากล้อง วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ค่านิยมของคนในสังคม วิถีของดาราฮอลลีวูดที่จะกลายเป็นซุปตาร์ การแลกตัวตนกับชื่อเสียงและเงินทอง ผู้จัดการดาราที่แอบล่วงละเมิดทางเพศนักแสดงในกัดเพื่อแลกกับการผลักดันให้เขาสามารถได้รับการทดสอบหน้ากล้องกับสตูดิโอ เป็นต้น

 

อย่างที่เราได้เขียนไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกว่า เหตุการณ์ในซีรีส์ Hollywood นั้นเป็นแค่เพียงจินตนาการที่เกิดขึ้นในโลกคู่ขนาน เราจึงได้เห็นแง่มุมความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กๆ ที่อยากจะมีพื้นที่ได้ยืนอยู่ในแสงไฟ หรืออย่างน้อยคือการกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ได้ปรากฏตัวอยู่บนจอหนัง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาจะยากลำบาก เต็มไปด้วยรอยด่างพร้อยในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายบริการทางเพศ ตัวประกอบคนใช้ คนเขียนบทที่เป็นทั้งคนผิวสีแถมยังเป็นเกย์ ผู้หญิงในตำแหน่งเมียของผู้บริหารสตูดิโอซึ่งมีหน้าที่เป็นได้แค่ “เมีย” โง่ๆ เท่านั้น โดยตลอดทางพวกเขาจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และแน่นอนเมื่อมันเป็นความแฟนตาซีตามแบบฉบับหนังฮอลลีวูด ฟีลลิ่งกู๊ด บทสรุปของซีรีส์ (อันเป็นความจงใจและตั้งใจของผู้สร้าง) จึงต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง คนที่มีฝันและความพยายามย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม

 

ทว่าเมื่อซีรีส์เรื่องนี้จบลงและเราเริ่มค้นหาข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์แล้ว ทุกอย่างที่เกิดในหนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นแค่ “ประวัติศาสตร์เสมือนจริง” ที่ผู้สร้างอยากจะให้มันเป็น เพราะเรื่องจริงนั้น นอกจากจะ “ยิ่งกว่านิยาย” แล้ว ยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ยุคสมัยนั้นเห็น “เพื่อนมนุษย์” ที่มีค่านิยมแตกต่างจากตัวเอง ไม่ต่างอะไรจากคนนอกและควรกำจัดไปให้พ้นทาง

 

ถ้าใครรับชมแล้วอยากจะทราบว่าสิ่งไหนคือ “เรื่องจริง” ตามประวัติศาสตร์บ้าง สามารถอ่านได้จากคอนเทนท์ “ดาราอีแอบ ผู้จัดการอมนกเขา นักแสดงหญิงปลิดชีพ อันไหนคือเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในซีรีส์ Hollywood” ที่จะตามมาในลำดับต่อไป (ถ้าหากมีการเผยแพร่แล้วจะเห็นได้ทันทีในส่วน “เรื่องที่เกี่ยวข้อง” ด้านล่าง)

 

Hollywood สามารถรับชมได้แล้วทาง Netflix ความยาวทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 47 นาที (7 Episodes)

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook