ฉาว! เมื่อยุคทองของ Hollywood อาจจะไม่ "สวย" อย่างที่คิด ซีรีส์ตะกายฝันเรื่องใหม่ โป๊ เด็ด เผ็ด แซ่บ
What If You Could Rewrite the Story? (จะเป็นอย่างไร ถ้าหากคุณมีโอกาสเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นใหม่? ) คือคำโปรยของลิมิเต็ดซีรีส์ Hollywood ผลงานการสร้างของไรอัน เมอร์ฟีย์และเอียน เบรนแนน ที่จะพาผู้ชมย้อนกลับไปสำรวจแวดวงฮอลลีวูดในยุคทองช่วงปี 1939 ด้วยการแต่งเติมเสริมแต่งเรื่องราวเข้าไป ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเขาลองเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ เกี่ยวกับวงการมายาที่คนทั่วโลกใฝ่ฝันว่า นี่คือดินแดนแห่งชื่อเสียงเงินทอง
ถ้าหาก Once Upon a time in Hollywood คือจดหมายรักของผู้กำกับเควินติน ทารันติโน่ มีต่อวงการฮอลลีวูดยุค 70 ซีรีส์ Hollywood ก็คือจดหมายรักจากไรอัน เมอร์ฟีย์และเอียน เบรนแนนมีให้ต่อวงการนี้ในยุคทอง เช่นกัน ทว่าเป็นมุมมองที่ผู้สร้างทั้งสองคนเลือกจะสะท้อนมุมมอง “ด้านมืด” ของวงการมายามีต่อบรรดาคนหน้าใหม่ ผู้พยายามเข้ามาในวงการมายา ด้วยการ “เขียนเรื่องราว” บางส่วนขึ้นมาเอง แต่ยังอ้างอิง บุคคลหรือสถานการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์จริง มาประกอบซีรีส์
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง แจ็ค คาสเตลโล (เดวิด โคเรนสเวท) หนุ่มหล่อหน้ามนจากรัฐบ้านนอก ตัดสินใจเดินทางมายังแคลิฟอร์เนีย อันเป็นสถานที่ตั้งของหลายสตูดิโอชื่อดัง ซึ่งผลิตผลงานภาพยนตร์มากมาย เขาใฝ่ฝันจะมีชื่อเสียงและเป็นนักแสดงค้างฟ้า จุดเริ่มต้นของเขาคือการต้องมายืนคอยหน้าประตูเอซสตูดิโอ เพื่อให้บรรดาแคสติ้งที่ต้องการตัวประกอบเข้าฉาก จะมาเลือกคนที่เหมาะกับบทเข้าไปร่วมแสดงหนัง แม้ในหนึ่งวันจะมีคนได้รับเลือกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แจ็คเฝ้ารอว่าสักวันจะถึงคิวของตัวเอง แต่เวลาผ่านไปหลายวันจะเป็นเดือน เขาก็ยังไมได้เป็นคนที่ถูกเลือก มิหน้ำซ้ำเงินเก็บก็ร่อยเหรอไปทุกวัน ทางด้านภรรยาของตัวเองก็ตั้งท้อง ทางเดียวที่พอจะยาไส้ได้คือการที่เขาจะไปเป็น เด็กปั้มของเออร์นี (ดีแลน แมคเดอมอตต์) ซึ่งปั้มน้ำมันเป็นแค่เพียงฉากบังหน้า เพราะความเป็นจริงแล้วหน้าที่หลักๆของพนักงานที่นี่คือการเป็น “ผู้ชายป้ายเหลือง” ผู้ให้บริการความสุขทางเพศให้กับบรรดาแขก ระดับกระเป๋าหนักที่มีทุกเพศสภาพตั้งแต่ผู้หญิงและเหล่า LGBT
อาร์ชี่ โคลแมน (เจเรมี โพ๊ป) เกย์หนุ่มผิวสี ที่มีความฝันจะเป็นมือเขียนบทภาพยนตร์ เขาพยายามหาหนทางในการก้าวเข้าไปเสนอบทกับสตูดิโอ แต่ในยุคสมัยนั้น เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่ “คนดำ” จะได้ร่วมงานกับบริษัทที่บริหารงานด้วยคนผิวขาว แต่เมื่ออาร์ชี่ได้พบกับแจ็คที่ได้ชักชวนให้เขาไปร่วม “ขายน้ำ” ให้ลูกค้ากลุ่มชายรักชาย นั่นเปิดโอกาสให้อาร์ชี่ได้พบกับร็อค ฮัดสัน (เจค พิกกิ้ง) เกย์หนุ่มหน้าหล่อประสาหนุ่มชาวไร่ ที่มีความฝันจะเป็นนักแสดงชื่อดังเช่นกัน
อาชีพผู้ชายขายน้ำเปิดโอกาสให้แจ็คหาเงินก้อนใหญ่ แถมยังทำให้เขาเจอกับบรรดา “ผู้ใหญ่” ในสตูดิโอที่ช่วยเบิกทางให้เขาได้ร่วมงานในฐานะตัวประกอบ ขณะเดียวกันเรย์มอนด์ (ดาเรน คริส) ผู้กำกับไฟแรงที่อยากจะทำหนังที่พูดถึงความหลากหลายทางเชื้อชาติ กลับถูกเบรกจากสตูดิโอเพราะกลัวว่าทำแล้วหนังจะเจ๊งและขายไม่ออก ส่วนแฟนสาวผิวสีของเขาอย่างคามีล (ลอร่า ฮาร์ริเออร์) ก็พยายามเหลือเกินที่จะเป็น “นักแสดง” ที่ไม่ได้เป็นแค่ตัวประกอบคนผิวดำที่เล่นได้แค่บท “คนรับใช้” ของคนผิวขาว จนกระทั่งเรย์มอนด์ได้รับบทของอาร์ชี่ ที่เขียนเรื่อง “Peg” ซึ่งหยิบเอาประวัติจริงของนักแสดงหญิง “เพ็ก เอนวิสเทิ้ล” ผู้ปลิดชีวิตตัวเองด้วยการกระโดดป้าย Hollywood อันตั้งตระหง่านบริเวณภูเขาในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งแนวคิดในสร้างหนังเรื่องนี้ถือเป็นการปฏิวัติวิธีการทำหนังในยุคสมัยนั้นเลยก็ว่าได้
ระหว่างทางซีรีส์ Hollywood จะพาเราไปสำรวจ “ระบบ” การสร้างภาพยนตร์ในยุค 40S’ ไม่ว่าจะเป็น การแคสติ้งนักแสดง วิธีการเทสต์หน้ากล้อง วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ค่านิยมของคนในสังคม วิถีของดาราฮอลลีวูดที่จะกลายเป็นซุปตาร์ การแลกตัวตนกับชื่อเสียงและเงินทอง ผู้จัดการดาราที่แอบล่วงละเมิดทางเพศนักแสดงในกัดเพื่อแลกกับการผลักดันให้เขาสามารถได้รับการทดสอบหน้ากล้องกับสตูดิโอ เป็นต้น
อย่างที่เราได้เขียนไว้ตั้งแต่ย่อหน้าแรกว่า เหตุการณ์ในซีรีส์ Hollywood นั้นเป็นแค่เพียงจินตนาการที่เกิดขึ้นในโลกคู่ขนาน เราจึงได้เห็นแง่มุมความฝันอันยิ่งใหญ่ของคนตัวเล็กๆ ที่อยากจะมีพื้นที่ได้ยืนอยู่ในแสงไฟ หรืออย่างน้อยคือการกลายเป็นนักแสดงฮอลลีวูดที่ได้ปรากฏตัวอยู่บนจอหนัง แม้ว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาจะยากลำบาก เต็มไปด้วยรอยด่างพร้อยในชีวิตมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นจากการเป็นเด็กขายบริการทางเพศ ตัวประกอบคนใช้ คนเขียนบทที่เป็นทั้งคนผิวสีแถมยังเป็นเกย์ ผู้หญิงในตำแหน่งเมียของผู้บริหารสตูดิโอซึ่งมีหน้าที่เป็นได้แค่ “เมีย” โง่ๆ เท่านั้น โดยตลอดทางพวกเขาจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค และแน่นอนเมื่อมันเป็นความแฟนตาซีตามแบบฉบับหนังฮอลลีวูด ฟีลลิ่งกู๊ด บทสรุปของซีรีส์ (อันเป็นความจงใจและตั้งใจของผู้สร้าง) จึงต้องเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสมหวัง คนที่มีฝันและความพยายามย่อมได้รับแต่สิ่งที่ดีงาม
ทว่าเมื่อซีรีส์เรื่องนี้จบลงและเราเริ่มค้นหาข้อมูลจริงตามประวัติศาสตร์แล้ว ทุกอย่างที่เกิดในหนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นแค่ “ประวัติศาสตร์เสมือนจริง” ที่ผู้สร้างอยากจะให้มันเป็น เพราะเรื่องจริงนั้น นอกจากจะ “ยิ่งกว่านิยาย” แล้ว ยังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและที่เลวร้ายที่สุดคือการที่ยุคสมัยนั้นเห็น “เพื่อนมนุษย์” ที่มีค่านิยมแตกต่างจากตัวเอง ไม่ต่างอะไรจากคนนอกและควรกำจัดไปให้พ้นทาง
ถ้าใครรับชมแล้วอยากจะทราบว่าสิ่งไหนคือ “เรื่องจริง” ตามประวัติศาสตร์บ้าง สามารถอ่านได้จากคอนเทนท์ “ดาราอีแอบ ผู้จัดการอมนกเขา นักแสดงหญิงปลิดชีพ อันไหนคือเรื่องจริงที่ปรากฏอยู่ในซีรีส์ Hollywood” ที่จะตามมาในลำดับต่อไป (ถ้าหากมีการเผยแพร่แล้วจะเห็นได้ทันทีในส่วน “เรื่องที่เกี่ยวข้อง” ด้านล่าง)
Hollywood สามารถรับชมได้แล้วทาง Netflix ความยาวทั้งสิ้น 5 ชั่วโมง 47 นาที (7 Episodes)