[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Land of The Lost ตั้งใจจะห่วย ใครก็ช่วยไม่ได้

[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Land of The Lost ตั้งใจจะห่วย ใครก็ช่วยไม่ได้

[ขุดหนังเก่ามารีวิว] Land of The Lost ตั้งใจจะห่วย ใครก็ช่วยไม่ได้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

มนุษย์ต่างดาวตุ๊กตายาง ไดโนเสาร์ที่เหมือนได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Jurassic Park ลิงหน้าคน (ที่งานแต่งหน้าเทคนิคห่วยแตก) นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง น่าจะเป็นองค์ประกอบชั้นเยี่ยมของหนังตลกเบาสมองหลุดโลก ซึ่งหนังที่มีชื่อว่า Land of The Lost ก็ “ลอส” สมชื่อจริงๆ เพราะทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญฯ เรื่องนี้ ต้องทำให้สตูดิโออย่างยูนิเวอร์แซลต้องเกิดอาการกุมขมับครั้งใหญ่ เพราะเมื่อสิ้นสุดการเข้าฉายจากทั่วโลกแล้ว หนังทำรายได้อยู่ที่ 68 ล้านเหรียญฯ เรียกได้ว่าขาดทุนไปกว่า 32 ล้านเหรียญหรือมากกว่านั้น

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไม่จบแค่นั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้หนังคว่ำสนิทมาจากคำวิจารณ์และความรู้สึกของผู้ชมที่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ว่ามันเป็นหนังห่วยแตกเรื่องหนึ่งประจำปี 2009 ทำให้หนังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Razzie Awards 2010 ทั้งสิ้น 8 สาขา ก่อนที่จะคว้ารางวัลในสาขา Worst Remake, Rip-Off or Sequel ไปนอนกอดในที่สุด

อันที่จริงแล้ว Land of The Lost เป็นทีวีซีรีส์ที่มีชื่อเสียงในยุค 70 ซึ่งเป็นรายการสำหรับครอบครัวว่าด้วยคุณพ่อนักวิทยาศาสตร์และลูกๆที่หลุดไปในยุคไดโนเสาร์ ทำให้พวกเขาต้องพยายามหาทางรอดชีวิต ความยาวทั้งสิ้น 3 ซีซั่น ส่วนในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้นยูนิเวอร์แซล สตูดิโอเลือกแบรด ซิลเบอร์ลิ่ง มานั่งแท่นกำกับ ซึ่งก่อนหน้านี้เขามีผลงานโดดเด่นอย่าง City of Angels (1998) และ Lemony Snicket's A Series of Unfortunate Events (2004)

 

ความแตกต่างระหว่างสองเวอร์ชั่นนี้อยู่ที่ว่า เวอร์ชั่นทีวีซีรีส์เป็นงานที่ออกแบบมาเพื่อให้ทุกคนในครอบครัวสามารถสนุกไปกับเรื่องราวได้ แต่ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์ ซึ่งมีลักษณะ “ล้อเลียน” งานต้นฉบับแบบเดียวกับหนังอย่าง Starsky & Hutch หรือ The Brady Bunch Movie ที่ “ตั้งใจ” ล้อผลงานในอดีต โดย Land of The Lost ปรับเปลี่ยนทั้งตัวละครในเรื่อง รวมไปถึงใส่บรรดามุกตลกหยาบโลนที่เกี่ยวกับเรื่องเพศ หรือพูดคำหยาบคาย ซึ่งเอาเข้าใจแล้วการที่หนังเรื่องนี้ได้เรตติ้ง PG-13 ส่งผลให้หนัง “ทะลึ่งตึงตัง” ได้ไม่สุดทาง มุกที่ควรจะตลกก็กลายเป็นแป้กกลางทาง

 

กลับมาที่เรื่องงานออกแบบ “เทคนิคพิเศษ” ที่ปรากฏอยู่ในหนังเรื่องนี้ เมื่อพิจารณาจากงบประมาณในการสร้าง 100 ล้านดอลลาร์ ทำให้เราเห็นว่าจริงๆแล้วตัวทีมงาน “ตั้งใจ” จะออกแบบฉากในหนังให้มีลักษณะเป็น “ซีจีไอ” แบบลอยๆ ชนิดให้คนดูดูรู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นฉากปลอมๆที่ถูกสร้างขึ้นในสตูดิโอ เอเลี่ยนที่สวมชุดยาง (และด้านในนั้นเป็นคน) แต่ปัญหาอยู่วิธีการเล่าเรื่องราวในเวอร์ชั่นหนังทำให้ตัวละครดู “ปัญญาอ่อน” เกินลิมิตที่คนดูส่วนใหญ่จะอดทนกับความยาว 102 นาทีได้ แน่นอนเมื่อคนดูที่จำเป็นต้องทนนั่งดูอยู่ในโรงหนังเป็นเวลายาวนานขนาดนั้นย่อมสาปส่งหนังเรื่องนี้ไม่มีชิ้นดี

 

ทว่าเมื่อเรามีโอกาสดู Land of The Lost ในสเกลทีวีจอเล็กแล้ว ระหว่างที่เปิดหนังดูและทำกิจกรรมอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย เราก็จะพบว่ามันเป็นหนังที่ช่วยทำให้ห้องของเราไม่เงียบงันจนเกินไป ขณะเดียวกันหนังก็ไม่ได้เรียกร้อง “ความตั้งใจดู” มาตั้งแต่แรก จนเราอาจจะกล่าวได้ว่าจริงๆแล้ววัตถุประสงค์ของตัวผู้กำกับเอง ก็อาจจะตั้งใจล้อขนบของความเป็นทีวีซีรีส์ในอดีตอย่างสนุกมือ แต่เมื่อมันถูกฉายอยู่บนจอภาพยนตร์ขนาดใหญ่ในช่วงเวลานั้นมันกลับไม่ทำงานกับผู้ชมในโรงหนัง ก็เท่านั้นเอง

Land of The Lost พร้อมให้คุณพิสูจน์แล้วทาง Netflix

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook