เต็มอิ่มทุกอารมณ์แจ๊ส กับ Diana Krall และบทเพลงรักสุดคลาสสิกที่ทุกคนคิดถึง
คอแจ๊สเต็มอิ่มทุกอารมณ์ ทุกความรู้สึกจริงๆ สำหรับคอนเสิร์ต Diana Krall Wallflower World Tour Live in Bangkok 2016 ที่สาว Diana Krall ทำการแสดงทั้งเล่นเปียโน ร้องเพลงได้ดีเยี่ยมชนิดเต็มสิบให้เกินสิบ ไหนจะเครื่องดนตรีในวงแต่ละชิ้นที่บรรเลงเพลงแต่ละตัวโน้ตได้อย่างกลมกลืน และฝีมือล้ำไม่แพ้กัน จึงทำให้ค่ำคืนวันนั้นเปี่ยมไปด้วยอารมณ์สุนทรีย์ ที่ต่างคนต่างพร้อมใจกันวางมือถือลง แล้วดื่มด่ำกับการแสดงตรงหน้าอย่างพร้อมเพรียง
การแสดงผ่านไปเพลงต่อเพลงอย่างลื่นไหลไม่มีสะดุด สลับกับการทักทายอย่างเป็นกันเอง และพูดโปรยเข้าเพลงสั้นๆ คำที่เราได้ยินจากปากของ Diana Krall บ่อยที่สุดก็เห็นจะเป็น “Thank you so very much” (คือเธอขนมาทั้ง so ทั้ง very เลยทีเดียว) พร้อมกับความประทับใจที่เธอมีต่อ Bangkok และผู้คน ทีมงานที่นี่ ซึ่งเราดูออกว่ามันมาจากใจของเธอจริงๆ ทั้งสีหน้าแววตา และรอยยิ้ม อีกทั้งการได้เห็นฝีมือการเล่นเปียโนระดับโลกของเธอใกล้ๆ ชนิดกล้องซูมที่มืออยู่บ่อยๆ นับเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาดูได้ยาก โดยเฉพาะใครที่รักดนตรีแจ๊ส และเปียโน มีโอกาสได้ดู ได้ฟังในระยะประชิดขนาดนี้ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
Diana Krall เอาใจแฟนเพลงแจ๊ส ทั้งสำหรับผู้คนในฮอลล์ และตัวเธอเอง กับบทเพลงที่ได้แรงบันดาลใจและอุทิษให้กับ King of Jazz อย่าง Nat King Cole ทั้ง Deed I Do, Let’s Fall In Love, So Nice และ Frim-Fram Sauce ที่เธอกล่าวติดตลกว่า เธอชอบอาหารไทยมาก และชอบเพลงนี้ด้วยเพราะมันเกี่ยวกับอาหาร จากนั้นก็ต่อกันที่เพลงคัฟเวอร์แนวถนัดของเธอกับ How Deep Is the Ocean และ Simple Twist of Fate ผลงานเก่าของ Bob Dylan
จากนั้นในเพลง Temptation เธอก็แบ่งปันสปอร์ตไลท์ให้กับนักดนตรีบ็คอัพของเธอแต่ละคน นอกจากจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักพวกเขาแบบเรียงตัวแล้ว ยังปล่อยให้แต่ละคนได้โซโล่เครื่องดนตรีของตัวเองกันอย่างเต็มเหนี่ยว ไม่ว่าจะเป็นกีต้าร์คลาสสิก ไวโอลิน คีย์บอร์ด กลอง และดับเบิ้ลเบส สร้างสีสันให้กับโชว์ครั้งนี้ได้อย่างมาก
และแล้วก็มาถึงเพลงที่หลายๆ คนรอคอยอย่าง The Look of Love และ Angel Eyes เสียงปรบมือดังกระหึ่มตั้งแต่ก่อน และหลังจบเพลง ไม่ทิ้งช่วงห่างกันนานนักก็มาต่อกับ California Dreamin' อีกหนึ่งเพลงเด่นจากอัลบั้มล่าสุด และเพลง Wallflower ชื่อเดียวกับชื่ออัลบั้ม ผลงานเก่าของ Bob Dylan และปิดท้ายด้วย Just You, Just Me ก่อนจะพานักดนตรีมาโค้งขอบคุณ แล้วเดินกลับเข้าหลังเวทีไป
ทิ้งช่วงให้คิดถึงไม่นาน Diana Krall แอนด์เดอะแบนด์ก็กลับออกมาอีกครั้ง พร้อมกับเพลงที่เราได้ยินเสียงกริ๊ดยินดีรอบด้านอย่าง Desperado ผลงานเก่าของ The Eagles และผลงานชั้นเลิศของ Sir Paul McCartney อย่าง For No One กับ If I Take You Home Tonight ก่อนจะส่งทุกคนกลับบ้านด้วย After You're Gone เพลงแจ๊สชั้นเลิศที่พร้อมกล่อมให้ทุกคนหลุดเข้าไปในห้วงของโลกแห่งแจ๊สได้อย่างเต็มที่ Diana Krall จับมือกับนักดนตรี พร้อมกล่าว “ขอบคุณค่ะ” เป็นภาษาไทย ท่ามกลางเสียงปรบมือ พร้อมบรรดาคอเพลงแจ๊สลุกขึ้นยืน standing ovation กันอย่างพร้อมเพรียง
นับเป็นค่ำคืนแห่งดนตรีแจ๊สระดับโลกที่เป็นอีกประสบการณ์ล้ำค่าสำหรับแฟนเพลงชาวไทย ที่ได้สัมผัสกับบรรยากาศอันแสนวิเศษ ฟังเพลงเพราะๆ กับน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ แห่บต่ำแต่หนักแน่น พร้อมกับเครื่องดนตรีบรรเลงได้อย่างล้ำลึก เก่งฉกาจ ประทับใจเสียจนอดปรบมือให้ตลอดทั้งการแสดง คุ้มค่าทุกนาทีที่ได้ฟังจริงๆ ใครว่าเพลงแจ๊สฟังยาก อย่าไปเชื่อ ลองฟังงานของ Diana Krall เสียก่อน รับรองว่าคุณต้องกลับใจเป็นสาวกเพลงแจ๊สอย่างถอนตัวไม่ขึ้นแน่นอน
____________________
Story : Jurairat N.
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ