สัมภาษณ์ DVICIO วงดนตรีจากสเปนที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา | Sanook Music

สัมภาษณ์ DVICIO วงดนตรีจากสเปนที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา

สัมภาษณ์ DVICIO วงดนตรีจากสเปนที่ไม่ได้มีดีแค่หน้าตา
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ครั้งแรกที่เอ่ยปากพูดถึงชื่อวง DVICIO เราจะได้การตอบรับ 3 แบบ “อ๋อ นักร้องหล่อๆ มาจากสเปนใช่ไหม” “ฝรั่งที่ร้องเพลงของสิงโต นำโชคหรือเปล่า” ไปจนถึง “ใครอ่ะ ไม่รู้จัก” แต่ไม่ว่าคุณจะรู้จัก DVICIO มากน้อยแค่ไหน ถ้าได้อ่านบทสัมภาษณ์นี้คงจะรู้จักตัวตนของพวกเขาได้มากขึ้น (อ่านประวัติของ DVICIO ที่นี่)

เวลา 13.40 น. BEUS production พาเรามาพบหนุ่มๆ ที่โรงแรมดุสิตธานีก่อนงานมิตติ้งอย่างเป็นทางการในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของพวกเขาเพียง 1 วัน 5 หนุ่มเดินเปลี่ยนห้องให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างๆ เป็นว่าเล่น แต่พลังงานยังเหลือเฟือ เดินเข้ามาทักทาย “สวัสดีครับ” พร้อมยกมือไหว้ ร้องเล่นเต้นกันสนุกสนาน เกากีต้าร์อย่างอารมณ์ดี พวกเขาให้สัมภาษณ์มาตลอดทั้งวันตั้งแต่เช้า แต่ใบหน้ายังคงเปื้อนยิ้ม แววตายังฉายความตื่นเต้น และความกระตือรือร้นพร้อมจะให้สัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลา

 

 

จุดเริ่มต้นของการเล่นดนตรีอย่างจริงจัง

นาโช่ : พวกเราชอบฟังเพลง ชอบเล่นดนตรีกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และพวกเราก็อยู่บ้านใกล้ๆ กัน เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ พออายุ 12-13 ปี ก็เลยเริ่มฟอร์มวงด้วยกัน แยกกันเล่นคนละเครื่องดนตรี แรกๆ พวกเราก็เริ่มจากการคัฟเวอร์เพลงต่างๆ จากนั้นจึงเข้าสู่วงการเพลงจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ

 

แนวเพลงที่ชอบฟัง

อังเดรส : ผมกับพี่ชาย (มาร์ติน) เป็นลูกครึ่งบราซิล-อาร์เจนติน่า ซึ่งแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นๆ ดังนั้นแนวทางในการฟังเพลงของพวกเราก็เลยจะแตกต่างกันไปด้วย ผมกับพี่ชายก็จะชอบฟังเพลงสไตล์ละตินอเมริกา และแนวอื่นๆ ที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวนั้น อีกสามคนที่เหลือจะฟังเพลงป็อบ เพลงสากลทั่วไปมากกว่า

 

แนวดนตรีของ DVICIO

ลูอิส : แนวเพลงของวงก็จะเป็นแนวผสมผสานกันระหว่างป็อบร็อค และแนวอื่นๆ เช่นเพลง Paraiso (Paradise) หากมองลึกไปถึงโครงสร้างของเพลงแล้วจะเห็นว่าออกไปทางแนวเร็กเก้ ป็อบ เมื่อแต่ละคนฟังเพลงกันหลากหลายแนว จึงนำมาผสมผสานกันจนกลายเป็นแนวของ DVICIO ครับ

 

 

เอกลักษณ์ที่แตกต่างจากวงดนตรีทั่วไป

ลูอิส : พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ฟอร์มวงกันมาตั้งแต่เด็ก พวกเราจึงเข้าใจกัน สนิทสนมกัน และมีความสัมพันธ์เหนียวแน่นลึกซึ้ง ไม่เหมือนศิลปินสมัยนี้ที่บางวงอาจจะมาจาก reality shows ต่างๆ หรืออาจจะเพิ่งฟอร์มวงไม่นาน โดยที่ไม่ได้รู้จักกันมาก่อน จึงทำให้วงของเราไม่เหมือนวงอื่นๆ ครับ

 

ผู้หญิงที่ทำให้เขา “Enamorate” (ตกหลุมรัก)

อันเดรส : คงไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนเท่าไรครับ เพราะเวลาเราตกหลุมรักใคร เราไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไม หรือเพราะอะไร มันเหมือนเป็นความลึกลับอย่างหนึ่ง ที่กว่าจะรู้ตัวเราก็รักเขาไปแล้ว (ยิ้ม)

 

ครั้งแรกกับกระแสแฟนคลับในเมืองไทย

มาร์ติน : ตอนแรกที่ทราบถึงกระแสของวงตาม social networks และสื่อต่างๆ พวกเราก็ไม่รู้ว่าพวกเราจะเป็นที่รู้จักในเมืองไทยมากแค่ไหน สื่อที่พูดถึงเราจะใหญ่มากแค่ไหน อาจจะเป็นคลื่นวิทยุเล็กๆ ที่พูดถึงพวกเราหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ แต่พอเห็นแฟนคลับมากมายมารับพวกเราที่สนามบินก็ตกใจ และดีใจมาก ที่มีกระแสตอบรับของแฟนคลับชาวไทยมากกว่าที่คิดไว้ นึกไม่ถึงจริงๆ ครับ

 

 

ออกเพลงเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ เพื่อขยายฐานแฟนคลับ?

มิซซิส+อันเดรส :  จริงๆ ตอนที่คลิปวิดีโอที่พวกเราอัดเริ่มเป็นคลิปไวรัลไปทั่ว (Enamorate เวอร์ชั่นในรถยนต์) ยอดวิวตอนนั้นประมาณ 50 ล้านวิว 30 ล้านวิวในนั้นเป็นคนที่รู้ภาษาสเปน พวกเราเลยอยากขอบคุณคนดูในส่วนที่เหลือที่อาจจะไม่เข้าใจภาษาสเปน ด้วยเพลงเดียวกันในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ อยากจะทำเป็นของขวัญมอบให้แฟนๆ เลยทำวิดีโอคลิปอีกตัวหนึ่งที่ร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษให้ฟังครับ (Enamorate เวอร์ชั่นในห้องน้ำ)

 

ก่อนจะเป็น DVICIO เคยชื่อวงอื่นมาก่อน?

ลูอิส : ตอนที่พวกเราฟอร์มวงกันใหม่ๆ ยังไม่มีชื่อวง แต่พอเราต้องไปใช้ห้องสตูดิโออันเสียง แล้วมันต้องใช้ชื่อวงในการติดต่อกัน เราเลยเลือกใช้ชื่อ Tiempo Límite กันไปก่อน (Time Limit) แต่ตอนใช้ชื่อนี้ยังไม่ได้คุยตกลงกับสมาชิกในวงจริงจัง ตอนหลังมานั่งคุยเพื่อตั้งชื่อวงกันจริงๆ สุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นชื่อ DVICIO ซึ่งเป็นชื่อที่พวกเราทุกคนชอบเหมือนกัน

อังเดรส : VICIO คำนี้หมายถึง “นิสัยที่เคยชิน” ปกติคำนี้เวลาเราใช้จะขึ้นต้นด้วย DE เลยกลายเป็น DE VICIO แล้วเราก็ตัด E ออก เป็น DVICIO ความหมายก็เปลี่ยนไป แปลว่า “เจ๋ง” จากนั้นเราก็ลองเอาชื่อนี้ไปเสิร์ชในอินเตอร์เน็ต ก็ปรากฏว่ายังไม่มีใครใช้ชื่อนี้ในการลงทะเบียนอะไรต่างๆ สุดท้ายเราเลยได้เป็นชื่อวงที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ซ้ำใคร (สาวๆ ถ้าอยากอ่านชื่อวงให้ถูก ต้องอ่านว่า เดบิซิโอ นะจ๊ะ)

 

“นิสัยที่เคยชิน” ของแต่ละคน

ลูอิส : กินกับนอนครับ (หัวเราะกันครืน)

อังเดรส : ผมชอบแต่งเพลงครับ (ยิ้ม)

มาร์ติน : ผมชอบเล่นกีฬาครับ พวกว่ายน้ำ สกี ขี่จักรยาน

นาโช่ : ผมชอบสะสมกีต้าร์ครับ ตัวเจ๋งๆ ก็มีประมาณ 5 ตัวแล้ว และแบบอื่นๆ อีก 3 ตัว

มิซซิส : สำหรับผมนี่ ขอเป็นนิสัยของทุกคนรวมกันเลยครับ (หัวเราะ)

มาร์ติน : (ชี้ไปที่มิซซิส) และมือถือ เขาเป็นคนติดมือถือ (มิซซิสพยักหน้า)

มิซซิส : ผมก็เลยเอามาวางข้างหน้าหมดเลย (ชี้ไปที่มือถือนักข่าวที่กองรวมกันเพื่ออัดเสียงสัมภาษณ์บนโต๊ะ) (นักข่าวแซว "ใช่เหรอ?")

 

แต่งเพลงครั้งแรก

อังเดรส : ผมจำรายละเอียดเพลงแรกในชีวิตที่ผมแต่งไม่ค่อยได้แล้วล่ะครับ เพราะนานมากแล้ว ตั้งแต่อายุ 13 ปี ก็ค่อยๆ หัดแต่งเพลงมาตั้งแต่ตอนนั้น แต่เพลงแรกที่ผมแต่งในอัลบั้ม (Justo Ahora = Right Now) คือเพลง Nada ที่ผมแต่งไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมอยู่ลอนดอนคนเดียว พี่ชาย (มาร์ติน) มาเยี่ยมผมแค่อาทิตย์เดียว พอพี่ผมกลับไป ผมก็รู้สึกว่างเปล่า (Nada แปลว่า nothing) เลยเป็นความรู้สึกเหงาๆ ในตอนนั้นครับ (ทุกคนในห้องทำเสียงสงสารหนุ่มอังเดรสกันยกใหญ่)

 

อัพเดตวงการดนตรีในสเปน

อังเดรส :  ตอนนี้ที่สเปนเน้นทำการตลาดผ่านดิจิตอลมากขึ้น พวกบริการ music streaming ต่างๆ และ social networks มีการแข่งขันสูงมาก วงดนตรีที่เกิดใหม่ในสเปนก็มีมาเรื่อยๆ แต่โอกาสที่จะได้เข้าสู่วงการเพลงอาชีพจริงๆ ค่อนข้างเป็นไปได้ยาก ดังนั้นช่องทางดิจิตอลเหล่านี้สำคัญที่สเปนมาก เพราะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะแสดงออกถึงความสามารถที่คุณมี และเพื่อเพลงเริ่มติดหู หรือเป็นที่รู้จักในกลุ่มแฟนเพลง พวกสื่อต่างๆ รวมถึงวิทยุก็จะติดต่อเข้ามาหาเอง

 


ความพิเศษของเพลง “
Be More Barrio (คัฟเวอร์จาก Sheppard)

มิซซิส : เราคัฟเวอร์เพลงนี้ เพื่อประกอบแคมเปญของแบรนด์ Pull & Bear (แบรนด์เสื้อผ้าสัญชาติสเปน) ซึ่งเป็นแคมเปญที่จัดใน 8 ประเทศ พวกเราเป็นตัวแทนจากประเทศสเปน โดยพวกเราได้รับมอบหมายให้ทำเพลงในแบบฉบับของพวกเราครับ

 

จากนั้นก็เป็นช่วงแสดงสดสั้นๆ และ Photo time ที่ทางผู้จัดย้ำมาตั้งแต่ตอนนั่งรอศิลปินแล้วว่า “จะทำอะไรก็ได้เลยนะ กอด หอมแก้ม จับมือ โอบ ได้หมด วงนี้เค้าน่ารัก สบายๆ” แต่หญิงไทยใจงามอย่างเรา ขอแค่ได้ยืนข้างๆ แล้วถ่ายรูปเป็นที่ระลึกก็พอ (ไม่รู้ว่าเขินหนุ่มๆ หรือเขินสต๊าฟคนอื่นๆ ในห้องกันแน่) บอกให้ถือป้าย พูดชื่อสื่อนู้นนี่ พวกเขาจัดให้แบบเต็มที่ รู้สึกว่ายังไม่โอเคก็ขอเทคใหม่ เทคแล้วเทคอีกโดยที่ทีมงานไม่ได้ขอ หลังจากเต็มอิ่มกันไปแล้วก็โบกมือลา ขอบคุณ แล้วก็วิ่งรอบไปสัมภาษณ์กับสื่ออื่นในห้องถัดไป

 

ด้วยความขี้เล่น สบายๆ ตอบคำถามอย่างตรงไปตรงมา และทุ่มเทให้กับทุกคนไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ทำให้บรรยากาศในการสัมภาษณ์ครั้งนี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย สบายๆ มีทั้งช่วงคุยจริงจัง ยิ้ม หัวเราะ และเล่นกันเองอย่างสนุกสนาน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเพลงสเปนที่เราฟังไม่ออก ร้องตามไม่ได้ ถึงมีเสน่ห์ที่ทำให้เราเปิดฟังได้บ่อยๆ

 

DVICIO เค้าไม่ได้มีดีแค่หน้าตา...จริงๆ นะ

 

 

ขอบคุณ BEUS production สำหรับ exclusive interview ในครั้งนี้ด้วยค่ะ

 

____________________

Story : Jurairat N.

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook