[Interview] Take That พร้อมสู้บอยแบนด์รุ่นใหม่ด้วยโชว์สุดอลังและพลัง social media
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เราในฐานะสื่อ จะได้พูดคุยอย่างเป็นกันเอง และใกล้ชิดกับศิลปินระดับตำนานชนิดที่ว่า “เลนส์ซูมไม่ต้อง ไมโครโฟนไม่จำเป็น” ขนาดนี้ แถมเริ่มเวลาสัมภาษณ์ก็เป๊ะแบบไม่ต้องรอนาน เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว สามหนุ่ม Gary Barlow, Mark Owen และ Howard Donald ก็เดินเข้ามาในห้อง ทักทายทุกคนอย่างร่าเริง แวะแซวน้องๆ นักข่าวอย่างอารมณ์ดี (แซวผมสีฟ้าอร่ามของน้องนักข่าวในทีม Sanook! Music ของเราด้วยว่าไปทำที่ไหน พอน้องตอบว่าทำเอง ทุกคนประหลาดใจและบอกว่ามาไทยครั้งหน้าจะให้ทำสีผมให้ ดูความวัยรุ่นของแต่ละคนสิ!)
รู้สึกอย่างไร เมื่อได้กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง หลังจากที่มีคอนเสิร์ตในไทยเมื่อราวๆ 20 ปีก่อน?
Gary : ดีใจมากที่ได้กลับมาที่นี่นะครับ ขอบคุณมากๆ ที่พาพวกเรามาประเทศไทย อีกครั้ง
นอกจากมาทัวร์คอนเสิร์ตแล้ว ก่อนหน้านี้เคยแวะมาเมืองไทยกันบ้างหรือเปล่า?
Howard : ไม่เชิงครับ ผมมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ เพื่อไปเที่ยวต่อที่เกาะสมุย ประทับใจมากครับ
Mark : เพื่อนผมหลายคนมาที่ประเทศไทย เพื่อมาพักผ่อน ฟื้นฟูร่างกาย ประเทศไทยเป็นเหมือนศูนย์รวมการบำบัดสุขภาพเลยนะ เพราะมีทั้งการบริการที่ดี อากาศ อาหาร ผู้คนที่ดี พวกเรามาที่นี่เหมือนไม่ได้มาแค่ทัวร์คอนเสิร์ต แต่เหมือนมาพักผ่อน ชาร์จพลังก่อนลุยงานต่อๆ ไปด้วยครับ
พูดถึงอัลบั้มล่าสุดอย่าง “III” กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
Mark : อัลบั้มนี้เราทำจนเสร็จเรียบร้อยไปเมื่อปีที่แล้ว และเราใช้เวลาทั้งปีในการทัวร์คอนเสิร์ตทั้งในอังกฤษ และยุโรปไปมากกว่า 70 โชว์เลยทีเดียวครับ
Gary : พวกเราชอบทำการแสดงสดมากๆ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่พวกเราตั้งหน้าตั้งตารอคอยทุกครั้งหลังปล่อยอัลบั้มออกมา ยิ่งรู้สึกดีเมื่อเราได้ทัวร์ในต่างประเทศ อย่างในประเทศไทย เหมือนไม่ใช่แค่มาทำงาน แต่ได้พักผ่อน เก็บบรรยากาศดีๆ แสงแดดอุ่นๆ ประสบการณ์ใหม่ๆ แล้วกลับไปแต่งเพลง ทำผลงานใหม่ๆ ต่อที่อังกฤษอีกด้วย
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในบอยแบนด์รุ่นบุกเบิก คิดว่าบอยแบนด์สมัยก่อน กับสมัยนี้ ต่างกันอย่างไร?
Gary : พวกเรามี Twitter แล้วนะ (หัวเราะกันทั้งห้อง) Facebook เราก็มี สมัยก่อนเราไม่มีอะไรแบบนี้หรอก สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจริงๆ คือเรื่องของ social media นี่แหละครับ social media เป็นตัวแปรสำคัญที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ อย่าง เพราะเมื่อมันมีเทคโนโลยีแบบนี้ขึ้นมา ทำให้วงการดนตรีเปลี่ยนไป ทุกอย่างเข้าถึงกันง่ายขึ้น แฟนเพลงเข้าถึงศิลปินได้มากขึ้น ศิลปินเองก็เข้าถึงแฟนเพลงได้มากขึ้นด้วย มีข้อดีมากกว่าข้อเสียครับ
Howard : ข้อดีอีกอย่างหนึ่ง คือเหล่าแฟนเพลงก็ได้รวมตัว พบปะ พูดคุยเกี่ยวกับศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบกันเองง่ายขึ้น เราจึงได้เห็นเหล่าแฟนๆ รวมตัวไปดูคอนเสิร์ตด้วยกัน หรือทำกิจกรรมร่วมกันได้มากขึ้น ซึ่งผมมองว่าเป็นข้อดีของ social media ที่ยอดเยี่ยมมาก
สำหรับศิลปินแล้ว พวกคุณได้แรงบันดาลใจในการแต่งเพลงจากไหน?
Gary : สำหรับตัวผมเอง แรงบันดาลในการแต่งเพลงมาจากทุกที่เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นระหว่างท่องเที่ยว พักผ่อน ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต ระหว่างขับรถ ระหว่างเดินทางไปสนามบิน ระหว่างขึ้นเครื่องบิน ได้เห็นวิวทิวทัศน์อันสวยงามในทุกๆ ที่ที่ได้ไป ทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงได้ทั้งนั้น ผมสามารถใช้เรื่องราวเหล่านี้เขียนเพลงได้ทุกวัน หากคุณได้เขียนเพลงทุกวัน ก็เป็นการฝึกเขียนเพลงให้ดียิ่งขึ้นไปในตัวด้วยครับ
พวกคุณแต่งเพลงกันมานานมาก เริ่มแต่งเพลงครั้งแรกเมื่อไร?
Gary : ของผมน่าจะประมาณอายุ 15 ปี
Mark : ของผมเมื่อวานนี้เอง (หัวเราะ)
Howard : สำหรับผมเริ่มแต่งเพลงจริงจังก็ตอนที่เข้ามาในวงแล้วล่ะครับ แต่ก่อนหน้าที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกในวง Take That ผมก็เคยเป็น DJ ทำ setlist เปิดเพลงมาก่อน สมัยที่ยังใช้เทปคาสเส็ตกันอยู่เลย (หัวเราะ)
มาถึงเมืองไทยแล้ว อยากร้องเพลงไหนให้แฟนเพลงชาวไทยได้ฟังมากที่สุด
Gary : จริงๆ แล้วสิ่งที่ดีที่สุดของการได้ทัวร์คอนเสิร์ตในที่ต่างๆ คือเราได้มีโอกาสหยิบเพลงทั้งเก่า และใหม่ให้แฟนเพลงทุกคนได้ฟัง แฟนเพลงรุ่นเก่าจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ รวมไปถึงแฟนเพลงใหม่ๆ ก็จะได้ฟังเพลงสมัยเก่าด้วย เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องดีที่ทุกคนจะได้ฟังเพลงเพราะๆ ตลอดช่วงระยะเวลากว่า 2 ทศวรรษของพวกเราครับ
พวกคุณวางแผนการทำงานในแวดวงดนตรีในอนาคตอย่างไรบ้าง?
Gary : อนาคต? เรายังมีอนาคตกันอยู่อีกหรือเปล่านะ? (หัวเราะทั้งห้อง) จริงๆ เรากำลังแต่งเพลงสำหรับอัลบั้มใหม่กันอยู่ครับ คิดว่าน่าจะได้ฟังกันปลายปีนี้
ได้ยินมาว่ากำลังจะมีอัลบั้มรวมเพลง ฉลองครบรอบ 25 ปี?
Gary : ใช่ครับ ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนเจรจา พูดคุยกันระหว่างค่ายเพลงกันอยู่ เพราะเพลงของพวกเราอยู่ภายใต้ทั้งสองสังกัด คือ Sony และ Universal ครับ ขอให้ติดตามอัพเดตกันเรื่อยๆ ละกันครับว่าจะมีเพลงใหม่ๆ มาให้ฟังกันอีกหรือเปล่า
พวกคุณทำงานมาด้วยกันยาวนานมาก อะไรที่ทำให้พวกคุณยังคงทำงานด้วยกันมาตลอดกว่า 20 ปี?
Howard : พวกเราต่างก็พักไปใช้ชีวิตส่วนตัวกันมาบ้างนะครับ ทั้งดูแลครอบครัวและลูกๆ (ยิ้ม) แต่สิ่งที่ทำให้พวกเรายังกลับมารวมตัวทำเพลงกันได้ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะพวกเราโชคดีที่ได้มาเจอกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าจะเรื่องส่วนตัว หรือเรื่องงาน ดังนั้นสำหรับผมแล้วเหมือนเป็นงานในฝันที่ได้ทำเพลงที่ชอบ ได้ออกทัวร์ด้วยกัน ได้ไปในที่ๆ ไม่เคยไปหลังจากเวลาผ่านมา 20 กว่าปี
Mark : ผมคิดว่าเรามีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ทำเพลงด้วยกัน เพื่อเป้าหมายสู่ความสำเร็จอย่างเดียวกัน เลยทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันมาได้ยาวนานขนาดนี้
อยากให้แต่ละคนเลือกเพลงที่ชอบมากๆ มาคนละ 2 เพลง
Gary : ผมขอเลือกเพลง Yesterday ของ The Beatles และ Your Song ของ Elton John แล้วกันครับ เพราะสำหรับในหมู่นักแต่งเพลงด้วยกันแล้ว เพลง Yesterday ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในเพลงป็อบที่แต่งได้ดีที่สุด ในความเรียบง่ายของเพลง ยังมีท่วงทำนองที่แตกต่าง หาฟังได้ยากจากในเพลงอื่นๆ และมีความเป็นบริทิชอยู่ในสไตล์ของเพลงอย่างชัดเจน เมื่อไรก็ตามที่ได้ฟังเพลงนี้ในการแสดงสด เราจะรับรู้ถึงความไพเราะ งดงามในเพลงนี้ได้ดีมาก แต่สำหรับเพลง Your Song จะเป็นในทางตรงกันข้าม เพราะเต็มได้ด้วยความซับซ้อน เนื้อเพลงสละสลวย และสามารถสะท้อนถึงสไตล์ของดนตรีในช่วงยุคสมัยก่อนได้ดี ทั้งให้กำลังใจ ทะเยอทะยาน แปลกใหม่ สดใส มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากๆ
Mark : สำหรับผมเพลงที่อยู่ในใจมาตลอด คือเพลง The Whole of The Moon ของ The Waterboys ที่ทำให้ผมนึกถึงช่วงเวลาสมัยเด็กๆ อายุ 16 ที่ได้ไปเที่ยววันหยุดกับครอบครัว เป็นช่วงที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตช่วงหนึ่ง ฟังทีไรนึกถึงช่วงนั้นทุกที ส่วนอีกเพลงหนึ่งจะเป็น Paranoid Andriod ของ Radiohead ผมเป็นแฟนเพลงของ Radiohead มาตลอด ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง เพลงเต็มยาวเกือบ 7 นาทีเลยทีเดียว มิวสิควิดีโอก็เจ๋งมาก สมาชิกในวงแต่ละคนแปรงร่างเป็นการ์ตูนด้วย
Howard : สำหรับผมถ้าให้เลือกเพลงที่ชอบ 2 เพลงตอนนี้ แล้วถามผมใหม่วันพรุ่งนี้ ผมก็คงเลือกเพลงอื่น เพราะเพลงที่ผมชอบมักเปลี่ยนไปเรื่อยๆ บางทีตอบไปวันนี้ พรุ่งนี้ผมอาจคิดว่า “ทำไมตอนนั้นเราไม่ตอบเพลงนั้นไปนะ” ก็ได้ แต่ถ้าถามตอนนี้ผมขอเลือกเพลงที่แว่บเข้ามาในหัว คือเพลง Mr. Blue Sky ของ Electric Light Orchestra (E.L.O) เพราะเป็นเพลงที่ดนตรีสดใส ร่าเริง มีความสุข เต็มไปด้วยความรู้สึกในด้านบวก และทำให้ผมนึกถึงช่วงสมัยเด็ก อีกเพลงคงเป็นเพลง Bohemian Rhapsody ของ Queen เป็นเพลงที่ผสมผสานหลากหลายแนวดนตรีเข้าด้วยกัน ไม่แน่ใจว่าเพลงยาวแค่ไหน อาจจะยาวมากกว่า 6 นาที มีการแบ่งช่วงเพลงออกจากกันด้วยดนตรีที่แตกต่าง สลับช้า สลับเร็วอย่างชัดเจน ซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครแต่งเพลงยาวๆ แบบนี้ออกมาให้ฟังสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามวิทยุก็ไม่เปิดเพลงยาวๆ แบบนี้อีกแล้วเช่นกัน (Mark แซวว่า “เผลอๆ โดนตัดเหลือ 3 นาทีครึ่ง หรือ 2 นาทีครึ่งด้วยซ้ำ)
อยากฝากอะไรถึงแฟนเพลงชาวไทยบ้าง?
Gary : ขอบคุณสำหรับการติดตามผลงานของพวกเรามาตลอดนะครับ และขอบคุณอากาศร้อนๆ ของที่นี่ด้วย เพราะที่อังกฤษหนาวมาก พวกเรากะว่าจะไปอาบแดดสักหน่อย ตอนขึ้นคอนเสิร์ตพรุ่งนี้อาจจะตัวแดงๆ หน่อยนะ (หัวเราะกันครืน)
เป็นยังไงล่ะ ถึงจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อ หรือลุงของเราเข้าไปแล้ว แต่ทั้งสามหนุ่มยังเต็มไปด้วยความสดชื่น แจ่มใส กระตือรือร้น และอารมณ์ดีสนุกสนานเหมือนยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่เลย (นี่ยังไม่นับหนุ่ม Howard ที่ชิลเสียจนลากรองเท้าแตะมาคุยกับพวกเราอีกด้วยนะ)
จบสัมภาษณ์ยังใจดีแจกจ่ายเซลฟี่กับบรรดานักข่าวอีกคนละช็อต รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากใบหน้า ไหนจะดวงตาที่ยังฉายแววตื่นเต้น มีความสุขตลอดการสัมภาษณ์อีกล่ะ เห็นอย่างนี้แล้วไม่สงสัยเลยเนอะว่าทำไม Take That ถึงเป็นบอยแบนด์ระดับโลกที่เป็นที่ชื่นชอบของคนอังกฤษทุกเพศทุกวัย ไล่ตั้งแต่เด็กๆ วัยรุ่น ไปจนถึงรุ่นพี่ป้าน้าอา เป็น UK’s sweetheart ตัวจริงเสียงจริงได้ขนาดนี้
ใครอยากฟังเพลงเพราะๆ ย้อนอดีตไปในช่วงที่เต็มไปด้วยเพลงดีๆ ให้เราฟังไม่หวาดไม่ไหว รวมไปถึงโชว์อลังการในแบบฉบับของ Take That ก็อย่าพลาด Take That Live in Bangkok 2016 ในวันที่ 3 มีนาคม 2559 นี้นะคะ (รายละเอียดคอนเสิร์ต คลิกที่นี่)
ขอบคุณ Contango, Universal Music Thailand
____________________
Story : Jurairat N.
อัลบั้มภาพ 8 ภาพ