มิติสีเทาของผู้ชายเสียงซึ้ง “ป๊อบ-ปองกูล” | Sanook Music

มิติสีเทาของผู้ชายเสียงซึ้ง “ป๊อบ-ปองกูล”

มิติสีเทาของผู้ชายเสียงซึ้ง “ป๊อบ-ปองกูล”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ถ้าเรามองผู้ชายคนนี้ผ่านจอทีวี พิจารณาเขาจากการแสดงบนเวที นอกจากน้ำเสียงอบอุ่นกินใจแล้วสำหรับ “ป๊อบ-ปองกูล สืบซึ้ง” เราจะรู้สึกว่าเขาเป็นหนุ่มบิ๊กไซส์อารมณ์ดี แม้ฝีปากจัดจ้านแต่กลับสร้างความสนุกสนานและความบันเทิงให้เสมอ

ในความเป็นจริงสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น โดยเฉพาะเมื่อ Sanook! Music ได้มีโอกาสพูดคุยถึงเรื่องราวชีวิตนับตั้งแต่การเริ่มต้นเข้าสู่วงการเพลงด้วยการประกวดขับร้องในรายการประกวดร้องเพลง จนมาถึงวันนี้วันที่เขากลายเป็นศิลปินเบอร์ต้นๆ ของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ ที่น่าจะมีค่าตัวไม่ธรรมดา จากการพูดคุยจึงทำให้รู้ว่าเขาอาจเป็นคนสีเทาอย่างที่เขาประกาศตัวชัดเจนก็เป็นได้

คลิกชมคลิป “ป๊อบ ปองกูล” เล่าที่มาเพลง “ปิดประตู”

หลายคนไม่ตัดสินใจเข้าประกวดเวทีต่างๆ เพราะหน้าตาไม่ดี แต่เมื่อกว่า 10 ปีที่แล้วคุณกลับตัดสินใจเข้าประกวดร้องเพลงในรายการFirst Stage อะไรทำให้คุณมั่นใจออกทีวี

ตอนแรกๆผมก็ไม่ได้มั่นใจหรอก อย่างเรามันจะไปประกวดหรือไปให้เค้าตัดสินเนี่ยเอาอะไรไปมั่นใจตอนที่เค้าบอกตอนแรกคือเป็นการไปร้องเพลงในรายการทีวีผมคิดว่าจะเหมือนรายการสี่ทุ่มสแควร์ที่จะมีคนมาร้องกับเราด้วยข้างๆ มันไม่ใช่การประกวด  พอไปถึงมันกลายเป็นการประกวด มันเลยเหมือนตกบันไดพลอยโจร และผลการประกวดครั้งนั้นคือเราได้ทำเพลงกับแกรมมี่ 1 ซิงเกิ้ลมันก็กลายเป็นผลยาวถึงวันนี้ครับ

เสียงคุณนุ่ม ฟังสบาย มันเป็นเพราะพรสวรรค์ของคุณตั้งแต่เด็กเลยหรือมันผ่านการฝึกฝนมาอย่างหนัก

จริงๆ ตอนแรกผมหาเสียงตัวเองไม่เจอนะครับ คือเราก็อปปี้ร้องเป็นศิลปินคนไหนก็ก็อปปี้คนนั้นจนถึงวันนึงที่เราประกวดเสร็จแล้ว และมันต้องอัดเสียง ก็หาเสียงตัวเองไม่เจอ จนเราเข้าไปอยู่ในห้องอัด มันเหมือนคนตาบอดคลำทางไม่ถูก ตอนนั้นพี่ที่คุมร้องอยู่ก็ปล่อยให้เราอยู่กับเพลง ร้องไปกับเพลง จนถึงจุดนึงมันก็ถูก Push ออกมา สิ่งที่หล่อหลอมเป็นตัวเราตั้งแต่เราก็อปปี้อะไรเค้ามาก็ออกมาเป็นเสียงนี้แต่ถ้าถามว่ามันเป็นพรสวรรค์ไหม ผมมองว่ามันไม่ใช่พรสวรรค์ ถามว่าพรแสวงไหมเราก็ไม่ได้แสวงอะไรขนาดนั้นมันอาจจะอยู่ในตัวเรามานานแต่เราไม่ได้ใช้มันออกมา มันก็เลยออกมาในรูปนี้ครับ (ยิ้ม)

คุณไม่ได้มีภาพลักษณ์ภายนอกเป็นอาวุธ มันทำให้การเข้ามาทำงานในวงการของคุณลำบาก หรือต้องฝ่าฟันกว่าศิลปินคนอื่นๆไหม

ผมว่าทุกคนก็ลำบากหมดนะครับต่อให้เค้าหล่อมา หรือทุกอย่างครบครันผมแบ่งว่าในวงการนี้มันต้องใช้ของอยู่ 3 อย่างคือ ความสามารถPerformance  และ รูปลักษณ์ตอนเริ่มต้นผมมีแค่เสียงร้องของผม Performance ผมก็ไม่มี  หน้าตาผมก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นเริ่มต้นมันจำเป็นต้องทำงานหนักกว่าคนอื่น3 เท่า  เรามีอยู่แค่อย่างเดียว  แต่ในเมื่อคนอื่นที่เค้าเริ่มต้นด้วยการมีครบทั้ง 3 อย่าง  แน่นอนว่าเค้าก็ต้นทุนดีกว่าเรา เค้าทำเพลงดี เค้าร้องดี เค้า Performance ดี  เค้าก็สามารถไปได้ไกลกว่าเราแน่นอนครับ

ในอดีตคุณทำงานร่วมวงกับเพื่อนการออกมาทำเพลงแบบศิลปินเดี่ยว สำหรับคุณมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

วิธีการทำงานแตกต่างครับ  ถ้าตอนทำงานแคลอรี่ บลาบลา วินจะเป็นคนดูในเรื่องดนตรี ป๊อบจะดูเรื่องเนื้อร้องและทำงานร่วมกับโปรดิวเซอร์ ซึ่งความชอบมันก็จะหารครึ่งกัน คนนี้ชอบอย่างนี้ คนนั้นชอบอย่างงั้น แต่พอเราทำงานเดี่ยวเราต้องเป็นคนเริ่มเข้ามาดูพาร์ทดนตรี เริ่มต้องศึกษาบางเรื่องไปกับดนตรีบ้าง ดังนั้นความชอบมันจะกลายเป็นเรา 100%  สิ่งที่เราชอบ เราทำออกมา ถ้าคนดูไม่ชอบก็แปลว่าความรับผิดชอบต้องอยู่ที่เรา 100%  แต่ถ้าคนดูชอบมันก็แปลว่าสิ่งที่เราทำมามันก็ Touching  คนกลุ่มที่เราต้องการ

ตอนนี้คุณเป็นศิลปินที่มีค่าตัวสูง มีชื่อเสียงงานเยอะ สำหรับคุณมองว่าสิ่งเหล่านี้มาจากอะไร

ดวงมั้งครับ (หัวเราะ)  คือจริงๆความสามารถมันก็เป็นประเด็นสำคัญ แต่ว่าอย่างหนึ่งที่เราเห็นอยู่ตลอดก็คือตั้งแต่อยู่วงการมา มันมีหลายคนที่เราชอบในเพลงเค้า ชอบในการแสดงของเค้า แต่วันหนึ่งก็เห็นเค้าเฟดตัวเองออกไปเลยมองว่าจริงๆดวงมันก็สำคัญในการที่เราจะได้มีโอกาสทำงานตรงนี้และมัน IMPACT คนได้  หรือไปเจอเพลงดีแต่คนโปรโมทไม่เข้าล็อกก็กลายเป็นทำงานยาก ทำงานลำบาก ซึ่งผมก็ยังรู้สึกว่าดวงผมดี ที่ผมเจอคนที่เข้าใจในการทำงานของผมตลอด และที่ทำให้เรายังทำงานอยู่ตรงนี้ได้ ผมมองว่ามันเป็นเหมือนว่าเราตั้งใจไว้กับสิ่งๆนึงเหมือนกับรูปภาพเราพยายามที่จะให้ได้รูปภาพๆนี้เราต้องการโดยที่เราจะไม่ยอมแม้ว่ามันจะมีหนทางที่ง่ายขึ้นแม้ว่ามันจะมีหนทางที่มันจะดังไปกว่านี้ก็ตาม แต่ว่าเราจะเอาภาพๆนี้ที่เราเห็น ทุกครั้งที่ผมทำงาน ในรูปแบบของการเป็นป๊อบ ผมจะทำงานในรูปแบบนี้เพื่อให้ได้ภาพที่เราต้องการมากที่สุด มันเลยกลายเป็นว่าเวลาคนที่ฟังเพลง คนที่เจอป๊อบ คนที่เห็นเค้าจะเข้าใจว่านี่คือสิ่งที่เป็นป๊อบ ฟังเพลงแล้วเนี่ยะละคือไอ้ป๊อบ หรือว่าเห็นภาพเอ็มวีก็จะรู้สึกว่านี่ละเอ็มวีแบบนี้จะเป็นของป๊อบ ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็นคนทำมันทั้งหมด แต่เราก็มีโอกาสช้อปปิ้งในสิ่งที่เราชอบ และของที่เราชอบชัดเจน

ความเป็นที่นิยม  มีชื่อเสียง สำหรับคุณ มันเป็นเรื่องดีไหม

มันมีข้อดีมากกว่าข้อเสียครับ (ยิ้ม)

ใครที่ฟังเพลงคุณ  ดูคุณบนเวทีและในรายการต่างๆ มักจะคิดว่าคุณเป็นผู้ชายอารมณ์ดี สบายๆ ไม่เครียด มนุษย์สัมพันธ์ดี จริงๆแล้วคุณเป็นแบบนั้นไหม

มีในส่วนนึงที่เป็นครับ และมีในส่วนนึงที่มันไม่เป็น คือผมเป็นพวกมนุษย์ 2 ด้าน เป็นด้านที่แบบเฮฮาก็มี ด้านที่แบบเอาจริงเอาจังซึ่งเป็นด้านที่คนไม่ค่อยได้เห็น หลายๆคนจะเห็นว่าอยู่บนเวทีมันจิกกัดคนโน้นคนนี้ แต่ว่าบางทีมันก็ต้องผ่านกระบวนการคิดที่มันมากพอ ยิ่งยุคนี้เป็นยุคที่คุณไม่สามารถพูดอะไรผิดได้เลย  ถ้าพูดผิดมันสามารถมีการก็อปปี้และก็มาขยาย ซึ่งแปลว่าเราไม่สามารถพูดอะไรที่ผิดได้ จึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อให้มันได้สิ่งที่ดีที่สุดในโมเม้นท์นั้น ถ้าขึ้นไปอยู่บนเวทีหรือทำอะไรที่คิดมาก่อนมันอาจจะมีบางอย่างที่ผิดพลาดและเกิดผลร้ายแรงกลับคืนมากับตัวเรา

คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่า คุณเป็นคนสีเทา ช่วยอธิบายคำว่า คนสีเทา ให้เราฟังหน่อย

ก็คือมีด้านที่อารมณ์ดีและด้านที่จริงจัง ไม่ได้สมบูรณ์แบบมาก ด้วยความที่ผมเป็นคนมีกำแพงสูง สำหรับเรื่องส่วนตัว ทุกวันนี้ผมยังเป็นคนที่ไม่ชินกับการเจอคนภายนอก คือเวลาถ่ายรูปด้วยกัน คือไม่ได้รังเกียจหรืออะไรนะครับแต่เราไม่ชิน  พอเค้าเข้ามาแล้วเราพูดไม่เก่ง บางทีเค้าจะคาดหวังตามแบบที่เห็นเราพูดเก่ง ซึ่งบางทีเรายังวางตัวไม่ถูกเลยกับบางโมเมนท์ที่เราไปเจอคนหรือบางทีก็มีร้องเพลงไม่รู้จะเอามือไว้ไหน หรือถ่ายรูปกับคนไม่รู้ว่าผมจะต้องทำมือยังไงมันมีเรื่องที่เราคิดไปหมด ทำแบบนี้เค้าจะพอใจไหม จะคิดเยอะ

ทุกวันนี้ศิลปินไม่ได้มีรายได้จากการขายเพลงเหมือนก่อน ในมุมของศิลปินคุณคิดว่าจะปรับตัวอย่างไรให้นักร้องยังคงเอาตัวรอดได้ในยุคปัจจุบัน

ถามว่ารายได้เกี่ยวกับตัวเพลงลดลงไหม..ลดลงครับ ผมอยู่ในวงการตั้งแต่ 12-13 ปี เราก็จะเริ่มเห็นตั้งแต่เพลงยอดขาย2 แสน ลดไปเหลือแสนนึง ลดเหลือ 5 หมื่น ลดเหลือ 3 หมื่น จนวันนี้มันก็ค่อยๆลดมาเรื่อยๆ ทีนี้มันส่งผลถึงศิลปินไหม..ผมเชื่อว่าส่งผลแน่นอน ไม่ได้ส่งผลถึงศิลปินอย่างเดียว ส่งผลถึงค่ายเพลง นายทุน และศิลปินใหม่ๆ ที่กำลังจะออกมาถามว่าเลี้ยงตัวเองได้ไหม ผมก็ยังเชื่อว่าเป็นอาชีพที่เลี้ยงตัวเองได้ เพียงแต่ว่ามันก็ต้องอาศัยหลายอย่างหลายคนอาจจะต้องไปพึ่งการเล่นสดทำงานอื่นๆควบคู่ไปด้วยหรืออะไรแบบนี้

ไม่ใช่นักร้องทุกคนที่มีความสามารถบนเวที แต่คุณเป็นคนหนึ่งที่มีงานจ้าง หรือคอนเสิร์ตเยอะมาก ตรงนี้คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับศิลปินคนอื่นๆไหม

ผมคงแนะนำได้ลำบากจริงๆผมว่าน้องๆรุ่นใหม่ก็เก่งแล้ว ยุคนี้เป็นยุคที่เด็กๆเก่ง ทำเพลงดีแถมวิธีการแสดงบนเวทีของเค้าก็จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งมันคงเอาบรรทัดฐานใดไปตัดสินไม่ได้ทางของผมก็จะเป็นเล่นบนเวทีแบบเอ็นเตอร์เทนแล้วก็พูดคุยกับคนดูซึ่งมันเป็นทางของผม แต่คนอื่นเค้าก็จะมีวิธีการที่แตกต่างออกไปก็คงแล้วแต่แต่ถ้าถามว่าจะฝากอะไรก็ขอให้หาวิธีการของตัวเองให้เจอแล้วกันครับและเป็นวิธีการที่เราจะสนุกไปกับงานได้ด้วย สนุกกับสิ่งที่เราทำ สนุกกับคนดูได้ด้วยครับ

คุณเคยคิดจะลดน้ำหนักไหม

คิดนะ คิดเสมอ แต่มันลำบาก (หัวเราะ)  แต่ว่าประเด็นคือเวลาทำงาน เราพยายามจะให้มันแบบแฮปปี้มีความสุขที่สุดเวลาไปกับวงหรือเวลาเล่นคอนเสิร์ตใหญ่  แล้วโมเมนท์ที่แบบลดน้ำหนักบางทีมันเครียดเราก็แบบเอาไว้ก่อนวะแล้วบางทีลดน้ำหนักมีผลต่ออารมณ์บางอย่าง บางครั้งที่ต้องเจองานใหญ่ก็เลยกลายเป็นว่าแฮปปี้ไปกับวงกินๆกลับมา กินๆ กลายเป็นว่ามันก็ยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ

ภาพที่คุณเป็นคนสมบรูณ์ ตลก จึงทำให้ดูเป็นคน Open เข้าถึงได้ไม่ยาก สำหรับตัวคุณเองคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นเหมือนที่คนทั่วไปคิดไหม

บอกยากเหมือนกันครับ บางทีก็เข้ามาได้เลยไม่มีปัญหาอะไรสบายๆ  บางโมเมนท์เข้ามาแล้วแบบเจอคำพูดก็อยากผลักออกจากหมู่คนเราไม่อยากเจอ ซึ่งต้องยอมรับว่าปัจจุบันศิลปินหรือว่าดาราคนไทยเจอกันง่าย ซึ่งพอเจอง่าย เข้าถึงง่าย ข้อดีก็มีเยอะ แต่ข้อเสียก็มีว่าคุณอยากจะพูดอะไรคุณก็พูดมาได้เลย อยากวิจารณ์อะไรก็ทำได้หมด ซึ่งก็เป็นเหตุผลที่หลายๆคนถามผมว่าทำไมผมถึงไม่เล่น IG ผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถคอนโทรลสิ่งเหล่านี้ได้ เช่น พอผมกำลังแฮปปี้อยู่พอเปิด IG มา ไอ้อ้วนนั่นนี่โน้น…. คือผมรู้สึกว่าถ้าผมเปิดมาแล้วผมเจอแบบนี้ ผมไม่สามารถที่จะอยู่กับมันได้ ก็เลยไม่เล่นดีกว่า ใช้วิธีเจอกับโลกที่เราต้องการ เวลาไปกินอาหารก็จะไปกินร้านเดิมๆไปเที่ยวที่เดิมๆ ซึ่งเราก็จะแฮปปี้ของเราแคบๆแค่นี้ครับ

แสดงว่าคุณเป็นคนคิดมากใช่ไหม

มากนะ คือเราเป็นคนมีแผลต้องบอกว่าเราอยู่ในวงการนี้มาเริ่มต้นอย่างที่เห็นกัน ในตอนที่ยังไม่มีแต้ม มันจะเป็นตอนที่เราเจอบาทแผลมาเยอะมาก เจอคนวิจารณ์ เจอคนพูด พูดต่อหน้า พูดใส่หน้า ตะคอก มีมาหมด เพราะฉะนั้นมันไม่สามารถเป็นคนปกติได้  จึงเป็นคนที่มันผ่านการวิจารณ์มาอย่างหนัก ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้รุนแรงมาก แต่บางคำพูดมันเสียดแทง มันก็ทำให้เราเซๆไปได้ในวันนั้น สมมุติว่าเป็นวันที่เราจะต้องมีงาน เราก็ไม่อยากให้มันมารบกวนงานเรา ก็ใช้วิธีปิดทั้งหมดออก พอถึงที่งานก็พุ่งตรงไปที่งาน เพื่อให้งานมันแฮปปี้ 100% ที่สุด

เวลาเครียด คิดมาก คุณมีวิธีแก้ปัญหาอย่างไร

ผมจะดีขึ้นเวลาที่อ่านหนังสือ ดูหนัง หรือคลิปที่พูดเกี่ยวกับธรรมชาติของคน คือบางทีเวลาเรามีอารมณ์ต่างๆที่ไม่ดี มันเข้ามาจนไม่สามารถมองเห็นแก่นของมันได้ แต่พอเวลากลับมาบ้าน นั่งดูคลิปคนที่เราชอบ ดูหนังที่เราชอบ บางครั้งสิ่งที่เค้าพูดมามันเป็นเปลือกของเค้าบางทีใจของเค้าจริงๆคือเค้าอยากเข้าหาเรา อยากพูดจา อยากถ่ายรูปกับเรา อยากทำให้เราจดจำเค้าแค่นั้นแหล่ะหลังๆก็พยายามมองมุมนี้ แต่ก็จำกัดวงให้มันแคบลงเพราะว่าเราก็ไม่สามารถที่จะคอนโทรลคนทั้งประเทศได้

คุณเป็นศิลปินมากว่า 10 ปี สิ่งที่คุณได้รับจากวงการเพลงคืออะไร

แทบทุกอย่างเลยครับ ความมั่นใจ คืออะไรที่มันเป็นตัวผมมันหล่อหลอมมาจากการเป็นศิลปินมาทั้งหมด บ้าน รถ หรือ วิธีการคิด ทุกอย่างมันถูกหล่อหลอมมาโดยการเป็นศิลปินเก็บเล็กผสมน้อยจนมาเป็นตัวเราทุกวันนี้ และสิ่งที่ผมมีทั้งหมดต้องยอมรับว่ามันมาจากอาชีพนี้ครับ

หลังจากนี้คุณวางแผนชีวิตของตัวเองไว้อย่างไรบ้าง

มีวางไว้บ้างครับ แต่ยังไม่ได้เริ่มทำอะไรสักอย่างเพราะว่าตอนนี้เราก็โฟกัสเรื่องงานเพลง เพราะหน้ามันถูกตราด้วยว่าอาชีพคือนักร้อง เพราะฉะนั้นเราก็อยากจะให้สิ่งที่มันเป็นอาชีพเรามันออกมาดีที่สุด ส่วนในเรื่องอื่นๆ มีมองไว้เรื่องครอบครัว เรื่องการทำงานต่อไปว่ามันจะเป็นในรูปแบบไหน ก็มีมองไว้เหมือนกัน

คุณเป็น Idol สำหรับใครหลายๆคน คุณมีคำแนะนำอะไรอยากส่งต่อให้กับศิลปินรุ่นน้อง หรือคนที่อยากเข้ามาเป็นนักร้องบ้างไหม

ผมว่าน้องๆยุคใหม่วิธีการเข้ามามันเปิดกว้างเลยฮะถ้าอยากเป็นนักร้องก็เริ่มทำเพลง เดี๋ยวนี้ผมเห็นน้องๆที่แบบทำ bedroom audioทำห้องอัดเองในบ้านหรือทำ Youtubecover เพลง น้องๆเดี๋ยวนี้ทำเก่งและทำดี บางคนซาวด์ดี พัฒนาจนถึงทำเพลงของตัวเองออกมาได้  ผมว่าจริงๆเด็กสมัยนี้เก่ง และอยากให้คนไทยสนับสนุนสำหรับน้องๆรุ่นใหม่ที่เริ่มต้นทำงานแบบนี้ เชื่อว่าเด็กรุ่นใหม่กล้า  ผมมองว่าตัวเพลงยุคใหม่เป็นตัวเพลงที่ทำให้ความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลของมิวสิคมันลดน้อยลงมันใกล้กันมากขึ้น น้องที่ทำเพลงรุ่นใหม่ในตอนนี้กับพวกที่ทำเพลงอยู่อังกฤษ ทำเพลงอยู่อเมริกา  ผมว่าแตกต่างกันไม่กี่เปอร์เซ็นต์  และเด็กพวกนี้มีความทะเยอทะยาน มีความเก่งกาจพอที่เค้าจะทำให้คนหันมามองพวกเค้าได้ ผมขอฝากถึงคนฟังดีกว่าว่าให้โอกาสกับน้องๆที่เพิ่งเข้ามา ลองเปิดใจฟังผลงานของเค้ากันดูครับ

เข้าใจว่ากว่าคุณจะมาถึงวันนี้ก็คงเหนื่อยและทำงานอย่างหนัก แต่จากนี้ไปคุณจะรักษา position (ตำแหน่ง) แบบนี้ของตัวเองอย่างไรให้อยู่ได้นานที่สุด

ถ้าถามผมถึงข้างหน้าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะ  ต้องถามตัวเองบ่อยๆมั้งครับ  ในตอนนี้ทุกอย่างมันเร็วไปหมดการเสพสื่อเร็ว เสพคลิปเร็ว  เสพเพลงเร็ว เสพหนังเร็ว  เรายิ่งต้องปรับตัวเร็วขึ้น  และถามตัวเองบ่อยขึ้นว่าซ้ายหรือขวาดี ต้องถามบ่อยๆ ไม่งั้นเราจะตอบกับตัวเองไม่ได้ดังนั้นเราต้องมีสติครับ  ผมเป็นคนโชคดีที่เพื่อนกล้าพูด กล้าเตือน ซึ่งถ้าบางคนไม่มีเค้าจะไม่รู้ตัวเอง

อยากให้พูดถึงการทำงานในซิงเกิ้ลล่าสุดเพลงช้า "ปิดประตู" เรามีส่วนร่วมยังไงบ้าง

ในซิงเกิ้ลนี้ผมได้ทำงานร่วมกับคุณรัฐ Tattoo Colour  และคุณบู๊ Skykick Ranger  ที่มาของซิงเกิ้ลนี้ก็คือผมอยากมีเพลงนึงที่มันเป็นเพลงที่พูดถึงบรรยากาศที่ชัดเจนที่เราได้ยินเนื้อเพลง ได้ยินดนตรีที่มันมีบรรยากาศของสิ่งนั้นออกมาชัดเจน อันนี้คือสิ่งที่ผมคุยกับรัฐ  และผมเชื่อว่าถ้าใครฟังงานของรัฐมา  ไม่ว่าจะเป็น Tattoo Colour หรืองานที่รัฐไปทำงานกับคนอื่น ก็จะรู้สึกว่ารัฐเป็นคนที่เวลาทำงานแล้วบรรยากาศเพลงจะชัดเจน  รัฐก็ทำเพลงส่งมาและเขียนเนื้อร่วมกับ คุณบู๊ Skykick Ranger

หลังจากที่ปล่อยซิงเกิ้ลพร้อม MV ไป ผลตอบรับเป็นยังไงบ้าง และคาดหวังกับซิงเกิ้ลนี้แค่ไหน

ดีเลยครับ  มันเป็นช่วงของวาเลนไทน์ และในช่วงนั้นจะมีคน tag ผมมาเยอะมาก สำหรับคนมีคู่เค้าจะนึกถึงคู่ของเค้า  แต่สำหรับที่โสดๆเค้าก็จะนึกถึงวันดีๆ วันเก่าๆ good old days อะไรแบบนี้ ซึ่งจริงๆก็เป็นความตั้งใจของเราว่าเราต้องการทำเพลงๆนึงที่มันออกฤทธิ์คล้ายๆกับ Time machine ทำให้เรานึกถึงวันเวลาดีๆ ที่เก่าๆที่เราเคยได้เจอะเจอมา

มุมมองความรักของคุณเป็นแบบไหน

โตขึ้นครับ หลังจากที่เราเคยมองว่าความรักมันสวยงามมาแล้ว และมองว่าความรักมันเป็นความเจ็บปวดมาแล้ว ในวันนึงที่อายุ 35 แล้วเนี่ยผมจะมองว่ามุมมองความรักเป็นสีเทามีทั้งมุมแห่งความสุขและมุมแห่งความเจ็บปวด ซึ่งผมมองว่ามันเป็นหลักการสำคัญของความรักคือมันมีอานุภาพสูง ใครใช้ในทางที่ดีก็อาจจะได้ผลดี ใครเจอทางที่แย่มันก็หนักหนา

เป็นอย่างไรกันบ้างสำหรับด้านสีเทาของผู้ชายน้ำเสียงอบอุ่นอย่าง “ป๊อบ ปองกูล”

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ

อัลบั้มภาพ 13 ภาพ ของ มิติสีเทาของผู้ชายเสียงซึ้ง “ป๊อบ-ปองกูล”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook