"Big Ass" 19 ปีบนเส้นทางดนตรี ที่ต้องนับหนึ่งใหม่เสมอ!!
หากจะพูดถือวงร็อกอันดับต้นๆ ของเมืองไทยแน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือวง Big Ass (บิ๊กแอส) วงดนตรีมากความสามารถที่อยู่บนเส้นทางดนตรีมาอย่างยาวนานถึง 19 ปี กลุ่มคนดนตรีที่ทำงานเพลงเองทุกๆขั้นตอนตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าวง Big Ass มีเพลงฮิตมากมายขนาดนี้ และเพลงเหล่านั้นล้วนถ่ายทอดออกมาจากตัวตน และเรื่องราวชีวิตของพวกเขาอย่างแท้จริง
บนเส้นทางดนตรีเป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อถึงจุดต้องเปลี่ยนแปลง ทุกคนล้วนก็ต้องเดินหน้าในสิ่งที่ตัวเองเลือก ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ การเริ่มต้นใหม่ อีกครั้งกับสมาชิกในวงและนักร้องนำคนใหม่ การตอบรับจากแฟนเพลงจนเกินความคาดหมาย แต่ถึงกระนั้นสิ่งนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จมากแล้ว แต่ทว่ากลับกลายเป็นความกดดัน ที่จะต้องก้าวอย่างไม่ประมาทต้องทำให้มันดียิ่งๆขึ้นไปอีก “ทุกๆ ครั้งที่ขึ้นเวทีก็คือนับหนึ่งใหม่ เริ่มต้นใหม่เสมอ”
Sanook! Music ได้รับเกียรติจากพี่ๆ วงบิ๊กแอส Executive สุดๆ มานั่งพูดคุยแบบเป็นกันเอง เปิดทุกความรู้สึก กระแสกดดัน และผลตอบรับจากงานเพลงอัลบั้มชุดใหม่ “The Lion” ก่อนที่จะขึ้นโชว์ในงาน “คอนเสิร์ตทีเด็จฯ 2” มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ขอขอบคุณสถานที่และผู้จัดงานมา ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
การเปลี่ยนแปลงนักร้องนำคนใหม่ การเดินทางบนเส้นทางดนตรีครั้งใหม่ของ Big Ass ถือว่าประสบผลสำเร็จไหม?
อ๊อฟ Big Ass : ผมว่าสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้มันก็ค่อยๆเรียนรู้กันไป จริงๆมันก็ดีกว่าที่พวกเราคิดไว้ แต่ว่าด้วยระยะทาง 3 - 4 ปี เราเองและเจ๋งเองก็คงยังต้องเรียนรู้กันเพิ่มมากขึ้น ทั้งในเรื่องเพลงที่จะทำกันต่อไป และในเรื่องคอนเสิร์ต คือเรายังไม่รู้สึกว่ามันประสบความสำเร็จมากแล้ว ยังรู้สึกที่อยากจะทำให้มันดียิ่งๆขึ้นไปอีก แต่ก็รู้สึกสนุกและก็ขอบคุณทุกๆอย่าง ที่ทำให้ วงบิ๊กแอส มันยังหล่อเลี้ยงอยู่บนวงการเพลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ
กบ Big Ass : คือจริงๆแล้ว เราตั้งใจว่า เราจะเริ่มต้นใหม่ด้วยการค่อยๆ เล่น ค่อยๆเริ่มไป ผมว่าความที่มันดีจนเกินคาดสุดท้ายแล้ว มันกลายเป็นความกดดัน ณ เวลานี้ กลายเป็นว่าทุกสายตาก็เกิดการคาดหวังเกิดขึ้น มันก็เป็นเหมือนกับแรงผลักดันเราอีกมุมนึงเหมือนกันว่าทุกๆครั้งที่ก้าวขึ้นเวที ก็ต้องทำให้ดีกว่าเดิมทุกครั้งๆ เพราะว่าสุดท้ายแล้วความคาดหวังของแฟนเพลงก็มากขึ้น ตามที่ได้รับการยอมรับ
ทุกอย่างมันมาพร้อมความกดดัน ตอนนี้หน้าที่ของเราก็คือ ต้องบอกกันเสมอว่า…… “ทุกเวทีมันคือการเรียนรู้ ทุกเวทีมันคือการพิสูจน์เสมอ” และเสียงชื่นชม เค้าจะเปลี่ยนเป็นความคาดหวัง แล้วจะทำให้เรากดดัน ฉะนั้นสิ่งที่เราทำได้ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีก็คือนับหนึ่งใหม่ เริ่มต้นใหม่ เรายังไม่สำเร็จอะไรเลย ยังไม่พิสูจน์อะไรเลย ยังไม่ได้ขึ้นชื่อว่าสำเร็จใดๆทั้งสิ้น นี่คือการเริ่มต้นเท่านั้นเอง
โอ๊ค Big Ass : ถ้าพูดถึงเจ๋งเลย ก็น่าจะเป็นเรื่องของความตั้งใจ ที่เค้าไม่กลัวที่จะมายืนอยู่ตรงนี้ เพราะว่ามันค่อนข้างจะกดดันเหมือนกัน ความกดดันของการมาเจอกับคนรอบๆข้าง คอมเม้นท์และอะไรต่างๆ เราก็เลยมองว่าเค้ามีความตั้งใจที่จะสู้ตรงนี้ เราเองถึงอยู่ในวงการนี้มานานมันก็มีบางครั้งที่เราก็ท้อ และรู้สึกว่าทุกอย่างเป็นรูทีน คราวนี้พอเราเจอการกระตุ้นของเจ๋งด้วย เราทุกคนก็รู้สึก ว่าเราตั้งใจที่จะต้องดำเนินสิ่งนี้ต่อไป มันก็เลยทำให้ทุกอย่างมันเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้กับทุกคน ซึ่งก็ดีที่มีตรงนี้อยู่และก็อยากที่จะตั้งใจให้มันดีขึ้นต่อไป
เจ๋งรู้สึกอย่างไร ที่แฟนเพลงให้การยอมรับมากมายขนาดนี้ ทั้งๆที่เราเป็นนักร้องหน้าใหม่เข้ามาเลย แล้วมารวมตัวกับพี่ๆในวง Big Ass ซึ่งเป็นวงดนตรีอันดับต้นๆของเมืองไทย
เจ๋ง Big Ass : การทำงานอย่างแรกก็คือผมอยู่กับวง Big Ass มา 4 ปีกว่าแล้ว จะเข้าปีที่ 5 ก็เรียนรู้หลายอย่างจากที่เราไม่ได้รู้อะไรเลย เรื่องการเข้าห้องอัด ก็ได้เรียนรู้มากขึ้น การทำเพลงก็ได้เรียนรู้ส่วนนึงแต่ส่วนใหญ่แล้วในการออกไปเล่นคอนเสิร์ตเราก็ออกไปด้วยกัน จะเรียนรู้นิสัยใจคอกันมากขึ้นในแต่ละปี ส่วนตัวผมเองคือสิ่งที่เราควรจะทำให้มันดีตลอดคือต้องตามพี่เค้าให้ทัน ให้เยอะ เพราะว่าพี่ๆอยู่ในวงการมาเป็นสิบๆปีฮะ เราพึ่งเข้ามาแล้วยิ่ง อัลบั้ม THE LION คือเหมือนเป็นก้าวใหม่ ถ้าเอาจริงๆก็เหมือนเป็นก้าวแรกของผม เป็นอัลบั้มเต็ม อัลบั้มแรก ยังต้องพิสูจน์ตัวเองอีกเยอะมาก ยังต้องพัฒนาตัวเองอีกครับ
ในการทำงานร่วมกันพี่ๆ ในวง วง Big Ass สอนอะไรให้กับเจ๋งบ้าง?
เจ๋ง Big Ass : เวลาที่ออกไปเล่นดนตรีจริงๆ คือช่วงแรกที่เข้ามา พี่ๆจะบอกตลอดว่า ในวงการนี้เป็นยังไง เวลาเล่นคอนเสิร์ตในงานรูปแบบต่างๆควรเป็นแบบไหนอย่างไร คือพี่ๆจะบอกแค่ระยะทางว่าบรรยากาศเป็นแบบนี้ พอถึงหน้าเวทีจริงๆ มันก็ต้องเป็นตัวผมเองแล้วที่ต้องเอาตัวรอดเอง ว่าจะพาวงไปยังไง
ในยุคนี้คือยุคของโซเชียล ซึ่งวง Big Ass ก็เป็นยุคแรกๆเลยก็ว่าได้ เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการมากมาย มีวิธีการปรับเปลี่ยนอย่างไรให้ทันยุคสมัยของคนฟัง?
อ๊อฟ Big Ass : ผมว่าวง Big Ass โชคดีนิดนึงเหมือนกันที่ได้มีการเริ่มเล่นโซเชียลมาตั้งแต่แรกๆ เลย คือเล่นด้วยความไม่รู้ ว่าเค้าทำอะไรกันเหมือนได้ตั้งลำมาสักพักนึงแล้ว ผมว่าโซเชียลก็ตามหรือว่าโลกดิจิตอลก็ตาม หลายๆคนอาจจะมองว่าวงการเพลงมันได้ตายไปแล้ว ผมว่าด้วยวิวัฒนาการหรืออะไรต่างๆ ทำให้ทุกอย่างมาสมดุลได้ มันกลับมาทำให้ธุรกิจเพลงยังอยู่ได้ วงดนตรียังอยู่ได้ ก็ต้องขอบคุณที่ ณ ตอนนั้นได้เข้าไปเรียนรู้ ทางทีมงาน จีนี่ เรคคอร์ด ก็มีน้องๆที่คอยดูแลเรื่องนี้ ผมว่าเราก็ต้องปรับตัว แต่ผมว่ามันต้องมีความพอดี โซเชียลบางที กินข้าวก็ไม่ถึงกับต้อง Live กับตลอดเวลา (หัวเราะ) เพราะ Big Ass เราจะเน้นเรื่องดนตรีเป็นหลัก ตลกบ้างเล็กน้อย เพื่อให้สนุกสนานกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องข้อมูลข่าวสาร และเบื้องหลัง ครับ
ล่าสุดปล่อยอัลบั้มเต็มออกมาชื่อว่า “THE LION” ซึ่งในยุคสมัยนี้จะไม่ค่อยเห็นแล้ว ส่วนใหญ่จะออกเป็นแบบซิงเกิ้ล?
กบ Big Ass : มันเป็นสิ่งที่เราทำมาโดยตลอดนะครับ ไม่รู้เราอาจจะผิดก็ได้ แต่ว่าสัญชาตญาณเราเป็นในแบบนี้ เราเติบโตมากับการทำงานแบบนี้ เราเติบโตมากับการฟังเพลงของคนรุ่นเก่าๆ วงที่เราชื่นชอบ และเค้าจะทำมาเป็น 10 เพลง จะมีทั้งเพลงที่ดัง และเพลงที่ดี เพลงที่กว้างและเพลงที่ลึก เพลงที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบแต่เราดันชอบ มันมีเสน่ห์ มีเรื่องราวผูกรวมอยู่ในนั้น เราเลยรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสได้ทำอัลบั้มเราจะทำแบบนี้
และตอนเริ่มทำ เราก็ทำแบบนี้มาตลอดจนมาถึงยุคที่เค้าเป็นซิงเกิ้ลกัน เราก็ยังยืนยันว่าจะทำแบบนี้ แต่ก็ไม่รู้จะยืนหยัดแบบนี้อีกนานแค่ไหน เพราะว่ากระแสอะไรมันก็เป็นไปทางนั้นหมดแล้ว แต่ว่าถ้ายังมีโอกาสอยู่ ผมว่าเสน่ห์ของการทำงานเป็นอัลบั้มมันคือการได้บันทึกชีวิตลงไปในแบบหลายมิติ คือก่อนที่จะเจอเพลงที่ 3 เพลงที่ 1 มันจะเล่าเรื่อง ทุกอย่างมันจะโดนร้อยเรียงลงไป ไม่ถึงขนาดเป็นคอนเซปต์อัลบั้ม แต่มันจะอยู่ในสีเดียวกันโทนเดียวกัน ในระยะเวลาเดียวกันที่เราบันทึกชีวิตของพวกเราลงไป ผมว่ามันมีเสน่ห์ของการทำอัลบั้มครับ
ซิงเกิ้ลล่าสุด เพลง “ไม่เดียงสา” เนื้อหาเป็นอย่างไรและอยากสื่อสารอะไรให้กับคนฟัง
เจ๋ง Big Ass : ความจริงแล้วเนื้อหาของเพลงคือ พูดถึงความรักของทุกคนที่มันต้องเกิดขึ้น ในวัยที่เรียกว่าไม่เดียงสา เหมือนชื่อเพลง เพราะฉะนั้นคือทุกคนเวลามันเกิดความรักขึ้นมา จะมีความคิดที่เราอาจจะไม่ได้คิดกว้างในวัยตอนนั้นคือ มีความรักก็มีความสุขดี ดูสดใสทุกอย่างมันโอเคหมด จนวันนึงเกิดปัญหา หรืออาจทำผิดพลาดเกิดขึ้น และต้องเลิกรากันไป พอวันเวลาผ่านไปโตขึ้น ก็มานึกย้อนเรื่องราวที่เกิดขึ้นก็เข้าใจ ก็อาจจะดีแล้วที่เป็นแบบนั้น ครับ
การที่จะเป็นศิลปินที่อยู่ในวงการเพลงอย่างยาวนาน อย่างวง Big Ass มีวิธีการรักษาเอกลักษณ์ และตัวตนของวงได้อย่างไร ซึ่งวงดนตรีรุ่นใหม่ๆก็อยากเป็นอย่างนี้บ้าง
หมู Big Ass : ต้องเท้าความก่อนว่าพวกเราเริ่มเล่นดนตรีด้วยความชอบและความรักก่อน และก็ทำมันด้วยความที่ไม่รู้ว่ามันจะพาเราไปที่ไหน ใช้เวลาว่างตอนวัยรุ่น ซ้อมดนตรีกันทุกอาทิตย์ๆ ไม่รู้ซ้อมทำไม ก็แกะเพลง และเริ่มมีโอกาสได้ไปเล่นตามงานต่างๆ เริ่มแต่งเพลงเอง สุดท้ายก็ลามปามไปถึงอัลบั้มก็ไปยื่น แล้วได้ออกอัลบั้มมา ความรู้สึกที่จับได้อย่างนึงของพวกเราเองก็คือ เป็นเรื่องของความอดทน ดื้อ และรักในสิ่งที่ทำมากกว่า เพราะว่าถ้าชุดแรก พวกเราท้อหรือยอม ชุดสองก็จะไม่เกิด และชุดสองท้อต่อชุดที่สามก็จะไม่มี ซึ่งในยุคนั้นถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ในสองชุดแรก ทั้งในด้านของนายทุนที่เค้าส่ายหัวว่าไม่ได้ แต่เราก็ดื้อที่จะทำ เรายังเชื่อมั่น
และอย่างหนึ่งคือพวกเราทำงานกันเอง ตั้งแต่ตอนจะเสร็จอัลบั้มชุดแรกก็คุยกันแล้วว่า เราเลือกที่จะแต่งเพลงกันเอง เล่นกันเอง อัดกันเอง นะ อีกสิบปีจะเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องมาด่ากัน ไม่ต้องมาโทษกัน และไม่ต้องไปโทษใครด้วยว่าคนนั้นแต่งเพลงให้เราไม่ดี ถ้าจะมีอะไรก็อยู่ที่พวกเราหมด จากวันนั้นจนถึงวันนี้ พวกเราก็ยังทำงานกันแบบนี้อยู่ ก็ฝากถึงน้องๆที่อยากจะเข้ามาตรงนี้ เหมือนที่บอกนะครับว่าทำด้วยใจรัก และเดี๋ยวเพลงที่เราสร้างขึ้นมาด้วยความรัก มันจะพาเราไป ที่ถูกที่ควรเอง ครับผม
ชื่อเสียงที่มาพร้อมกับความกดดัน ความคาดหวังที่ผลักดัน ทำให้ทุกๆ ก้าวของวง Big Ass เป็นก้าวที่ไม่ประมาทและเป็นก้าวที่ไม่หยุดนิ่ง จึงเป็นแรงกระตุ้นให้ทุกๆ เวทีของพวกเขาเป็นเครื่องพิสูจน์ให้เดินต่อไปด้วยหัวใจที่รักในเสียงเพลงอย่างไม่ย้อท้อ เหมือนดังสุภาษิตที่ว่า "ยิ่งสูง ยิ่งหนาว" นั่นเอง
ย้อนชมคลิปสัมภาษณ์ในอดีตของวง Big Ass ถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!!
คลิปเล่นสด (อะคูสติก) ลมเปลี่ยนทิศ - Big Ass
อัลบั้มภาพ 15 ภาพ