[Interview] Jai Waetford “ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องใช้ social media ให้เป็น” | Sanook Music

[Interview] Jai Waetford “ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องใช้ social media ให้เป็น”

[Interview] Jai Waetford “ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องใช้ social media ให้เป็น”
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ภาพแรกที่เห็นเมื่อก้าวเท้าเข้าไปในห้องสตูดิโอขนาดย่อมๆ ของตึกมาลีนนท์ในช่วงบ่ายแก่ๆ คือเด็กวัยรุ่นหนุ่มหน้าตาดีที่ไม่มีทีท่าแห่งการอิดโรยให้เราเห็น ถึงแม้เราจะทราบดีว่าเขาเพิ่งตะลุยให้สัมภาษณ์ตามสื่อต่างๆ ตั้งแต่ช่วงเช้าตรู่สุดๆ ก็ตาม แม้ว่าทีมงานจะแอบกระซิบมาบอกว่า “น้องอาจจะดูเหนื่อยๆ นะ” แต่ขอบอกเลยว่าเราแทบไม่เห็นแววความเหนื่อยจากความน่ารักสดใสของหนุ่มน้อยคนนี้เลย

Jai Waetford ไอดอลออสเตรเลียที่แจ้งเกิดตั้งแต่อายุ 14 ปีจากเวที The X Factor Australia และอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเด็กปั้นของเจ้าพ่อเพลงบัลลาดชื่อดัง Ronan Keating ก็น่าจะได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นชื่อเสียงของเขามาจากฝีมือทางดนตรีของเขาเอง ความพยายาม เอาใจใส่ และติดต่อสื่อสารกับแฟนๆ ผ่าน social media ต่างๆ ทุกช่องทางอย่างกับมืออาชีพ วิธีการตอบคำถามที่รวดเร็ว และตรงประเด็น คิดไวพูดไวเกินเด็ก จึงทำให้เราลืมไปเลยว่าคนที่เราคุยด้วยตรงหน้าอายุเพียง 17 ปีเท่านั้นเอง

 

ศิลปินรุ่นพี่ที่ชื่นชอบ

- หลากหลายมากครับ ทั้ง Stevie Wonder, Chris Brown, Elvis Presley, Justin Timberlake, Justin Bieber, Bruno Mars และอีกเพียบเลยครับ

 

Elvis Presley? ไม่แก่ไปหน่อยเหรอ?

- ไม่หรอกครับ พ่อผมชอบฟัง ผมก็ฟังตามพ่อ

 

ชื่นชอบศิลปินหญิงบ้างไหม?

- ไม่ค่อยมีที่ชื่นชอบเป็นพิเศษเท่าไรนะครับ เท่าที่นึกออกก็มี Rihanna, Alicia Keys, Tori Kelly, Pink…

 

ดูเหมือนจะชอบฟังเพลงหลายแนวมากๆ

- ใช่ครับ ‘I love, love, love, love, love listening to all kinds of music’ ชอบฟังเพลงทุกแนวจริงๆ

มีแนวดนตรีที่ชื่นชอบเป็นพิเศษไหม?

- ผมชอบฟังเพลงแร๊ป อย่างพวก J. Cole, Drake ทำนองนี้

 

ทำไมไม่ทำเพลงแร๊ปล่ะ?

- ผมชอบฟังครับ แต่มันไม่ใช่ตัวผม เพลงของผมก็ต้องมาจากตัวตนที่แท้จริงของผม ผมเลยทำเพลงที่ผมอยากทำมากกว่า

 

เห็นผลงานก่อนๆ จะทำแต่เพลง acoustic แต่ EP ล่าสุดนี้เป็นแนว electronic pop จะเยอะ ทำไมถึงเปลี่ยนสไตล์?

- เพราะผมไม่ได้อายุ 14 แล้วน่ะสิ (หัวเราะ) ผมรู้สึกว่าชีวิตผมเปลี่ยนไป ดนตรีก็เปลี่ยนตาม ผมจะนั่งอยู่กับกีต้าร์ตัวเดียวไปตลอดไม่ได้อีกแล้ว ถึงแม้เราจะเห็นศิลปินบางคนอย่าง Ed Sheeran ที่นั่งเล่นดนตรีอยู่กับกีต้าร์ตัวเดียว แต่จริงๆ แล้วเบื้องหลังผลงานทั้งหมดของเขาก็มีทีมโปรดักชั่นคอยเสริมเติมแต่งดนตรีให้เขาอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นอายุที่โตขึ้น เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ผมเริ่มหยิบจับเพลงสไตล์อื่นๆ มาผสมรวมกันจนกลายเป็นตัวตนของผมที่เปลี่ยนไป

 

แรงบันดาลใจหลักๆ ในการสร้างสรรค์ผลงาน EP ล่าสุด “Heart Miles”

- แฟนผมครับ (Sanook Music: ว้าว โรแมนติกมากๆ) ขอบคุณครับ เกี่ยวกับ long-distance relationship (รักทางไกล) ที่ผมเลือกเขียนเพลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์แบบนี้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงกับชีวิตผมเอง ผมเลือกที่จะหยิบเรื่องราวในชีวิตจริงขึ้นมาเขียนเพลง และผมก็คิดว่าหลายคนน่าจะเคยมีประสบการณ์อะไรแบบนี้มาบ้างเหมือนกัน อาจจะไม่ใช่ความรักที่ยืนยาวจนถึงปัจจุบัน แต่ในช่วงอายุหนึ่งอาจจะมีใครหลายคนที่เคยประสบการณ์ที่ต้องใช้ชีวิตห่างจากคนที่เรารักมาบ้าง ไม่ว่าเราจะต้องห่างจากเขา หรือเขาห่างจากเราก็ตาม “Heart Miles” เลยจะบอกถึงเรื่องราว และความรู้สึกของคนๆ หนึ่งที่ต้องเผชิญกับความรู้สึกต่างๆ หลังจากที่ต้องไกลห่างจากคนที่รักครับ

 

นอกจากเพลงใน EP นี้จะเกี่ยวข้องกับความรัก ยังมีพูดถึงเรื่องอื่นอีกไหม?

- มีบางเพลงที่ไม่ได้พูดถึงความรักอย่างเดียวเหมือนกันนะครับ เช่น “Living Not Dreaming” เกี่ยวกับการทำตามความฝันของตัวเอง อย่ากลัวที่จะต้องทำผิดพลาด ต้องสู้ และโหยหาเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ หรืออย่าง Waves” ที่ถึงจะเกี่ยวกับความรักก็จริง แต่ก็แอบพูดถึงชีวิตที่มีความอิสระ และมีโอกาสดีๆ เข้ามาเสมอ หากคุณคิดจะไขว่คว้ามันเอาไว้

 

“Living Not Dreaming” ที่พูดถึงการใช้ชีวิตตามความฝัน มีความฝันอะไรที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำบ้างไหม?

- จริงๆ ตอนนี้ผมก็กำลังไล่ทำตามความฝันของผมไปเรื่อยๆ นะ ได้ทำเพลงที่ชอบ ได้ท่องเที่ยวไปตามที่ต่างๆ แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่ผมอยากทำแต่ยังไม่ได้ทำ ก็ไม่เชิงเป็นความฝัน แต่เหมือนเป็นวิสัยทัศน์ของผมมากกว่า ว่าผมวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป ผมอยากทำเพลงต่อไปเรื่อยๆ ยังเป็นผมเหมือนเดิม ไม่ทำตัวเปลี่ยนไปถึงแม้จะมีชื่อเสียงมากขึ้น หรือในอนาคตอาจจะเปลี่ยนแนวเพลงไปอีกก็ได้

 

งั้นผลงานหน้าอยากจะลองสไตล์ใหม่ๆ อะไรบ้างไหม?

- น่าจะเป็นเสียงของผมเองนี่แหละ (ยิ้ม) ผมอยากลองเล่นอะไรใหม่ๆ กับเสียงของผมเองดูบ้าง อาจจะเป็นการใช้เทคนิคเพิ่มเติม หรือเป็นแนวอะไรที่ผมอยากทำในตอนนั้น

 

เพลงแต่ละเพลงที่แต่งออกมา ได้แรงบันดาลใจมาจากไหนบ้าง?

- จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ และอารมณ์ตอนนั้นนะครับ อาจจะเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นใสตอนนั้น ความรู้สึกในตอนนั้น หรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัว แต่มันไม่ใช่ในทำนองว่า “โอเค วันนี้จะแต่งเพลงแบบนี้นะ” มันเป็นอะไรที่จู่ๆ ก็เข้ามาในชีวิต ณ ตอนนั้นมากกว่า

 

แต่งเนื้อเพลง หรือทำนองก่อน?

- ได้ทั้งสองแบบเลยครับ เราสามารถแต่งเพลงได้หลายๆ แบบเลยนะ บางคนก็แต่งรวดเดียวทั้งเพลง มาพร้อมกันหมดทั้งทำนอง และใส่เครื่องดนตรีมาหมด แต่ยังไม่มีเนื้อเพลงสักท่อน บางคนก็แต่งเนื้อเพลงมาจนจบเพลง แต่ยังไม่มีทำนองเลยแม้แต่ท่อนเดียว หรือบางทีก็มาทีละท่อน แล้วแต่ว่าตอนนั้นอะไรในหัวมาก่อน เปลี่ยนได้เรื่อยๆ ครับ

 

ยุคนี้มีทั้งรายการทีวีค้นหานักร้องหน้าใหม่ หรือแม้กระทั่ง social media ต่างๆ ที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงได้ หากคุณเกิดในช่วงเวลาที่ยังไม่มีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น คุณจะไล่ล่าตามความฝันในการเป็นนักร้องอย่างไร?

- คงยากกว่าเดิมแน่ๆ นะผมว่า แต่ก็คงมีหนทางในการนำเสนอผลงานของผมผ่านวิธีอื่นๆ อยู่ดีนั่นแหละ เช่น อาจจะส่งผลงานเพลงไปให้ค่ายเพลงทางจดหมาย หรือว่าเจอกับตัวแทนค่ายเพลงตรงๆ ยังไงผมก็เชื่อว่าไม่ว่าจะหนทางไหน เราก็เป็นในสิ่งที่เราอยากจะเป็นได้ หากมีเชื่อมั่นในสิ่งที่เราเป็น สิ่งที่เราทำได้ เมื่อนั้นเราก็เป็นศิลปินได้อยู่วันยังค่ำครับ

 

แต่ยังไงตอนนี้ social media ก็กำลังมาแรงมากๆ คุณคิดยังไงเกี่ยวกับ social media ที่กำลังเป็นสิ่งสำคัญของศิลปินในยุคนี้ไปแล้ว?

- Social media เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ครับ เพราะ social media เป็นชีวิตของผม เป็นสิ่งที่ทำให้ผมสื่อสารกับแฟนเพลงได้ เพราะผมไม่สามารถออกไปเจอกับทุกๆ คนแบบตัวเป็นๆ ได้ตลอด ผมเลยคิดว่า social media เป็นสิ่งสำคัญจริงๆ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในวงการนี้ ต้องใช้ social media ให้เป็น

 

แล้ว social media มีผลเสียยังไงบ้างไหม?

- แน่นอนครับ คุณก็จะถูกเกลียดจากคนที่คุณไม่รู้จัก วิธีการรับมือของผมก็ง่ายๆ ก็แค่ไม่ดู ไม่เห็น ไม่มอง มันเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้วที่จะมีคนคิดต่างไปจากเรา ถ้าคอมเมนต์อันไหนที่เป็นประโยชน์ เราก็เก็บไว้ปรับปรุง อันไหนไม่น่าจดจำเราก็ปล่อยผ่านไป ไม่ต้องไปตอบโต้อะไรให้ยืดยาว เพราะยังไงในบรรดาคนที่เกลียด ก็ยังมีคนที่รัก และชื่นชอบในตัวเรา ในผลงานของเราอยู่ เราก็ตั้งใจทำงานให้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อคนที่คอยสนับสนุนเราดีกว่า

 

ตอนที่อยู่ในรายการ The X Factor แล้ว Ronan Keating บอกว่า “คุณเป็น Superstar” คุณรู้สึกยังไง?

- ตกใจมากครับ ตอนนั้นยืนอยู่ต่อหน้าคนราวๆ 6,000 คน ผมเลยได้แต่ทำหน้าเหวอ แล้วคิดว่า “ไม่จริงน่า” จริงๆ ผมจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเขาพูดอย่างนั้น มึนงงและตื่นเต้นไปหมดเลย แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่ใช่ Superstar” นะ ผมเป็นแค่ศิลปินธรรมดาๆ Michael Jackson ต่างหากที่เป็น Superstar และผมก็ยังไม่ได้อยู่ในช่วง “เริ่ม” ของการเป็น Superstar ด้วย แต่เป็นช่วง “เริ่ม” ที่จะเป็นอะไรบางอย่างมากกว่า ผมก็ยังไม่รู้ว่าต่อไปผมจะเป็นยังไงหรอกนะ แต่ก็น่าจะเป็นอะไรบางอย่างนั่นแหละ

 

ตอนประกวดร้องเพลง คุณได้ร้องเพลงคัฟเวอร์ไปหลายเพลงเหมือนกัน มีเพลงไหนที่คิดว่าคุณทำได้ดีบ้าง?

- โอ้ ผมไม่รู้จริงๆ ขึ้นอยู่กับคนฟังมากกว่านะ อาจจะไม่ใช่เพลงที่ทำได้ดีที่สุด แต่เป็นเพลงที่ผมชอบที่สุดดีกว่า น่าจะเป็น (คิดสักพักใหญ่ๆ) I Was Made For Loving You” ของ Tori Kelly ที่ผมร้องกับเพื่อนผม Carla Wehbe หรือไม่ก็ Next To You” ของ Chris Brown feat. Justin Bieber ตอนที่ร้องเพลงนี้รู้สึกสนุกดีครับ

 

คลิกเพื่อชม Jai Waetford - I Was Made For Loving You feat. Carla Wehbe (Tori Kelly Cover)

 

คลิกเพื่อชม JAI WAETFORD 'Next To You' (Chris Brown Cover)

 

 เห็นว่าได้ชิมลางในงานแสดงด้วย ในอนาคตจะเน้นไปที่งานเพลง หรืองานแสดงมากกว่า?

- ต้องงานเพลงอยู่แล้วครับ ผมสนุกกับการแสดงมากนะ แต่ยังไงงานเพลงก็ต้องมาเป็นอันดับหนึ่งอยู่แล้ว

 

งานเพลง กับการแสดง แตกต่างกันยังไงบ้าง?

- การแสดงคือการที่เราเล่นตามบทบาทต่างๆ เล่นเป็นคนอื่น และทำตามบทนั้นๆ ให้ดี แต่การทำเพลงของผมคือการทำตามใจของตัวเองให้ดี มันเลยค่อนข้างต่างกันครับ

 

ใน EP ล่าสุด สิ่งที่เปลี่ยนไปนอกจากสไตล์ดนตรีแล้ว ยังรวมถึง “เสียง” ของคุณด้วย มีปัญหาไหมที่เสียงของตัวเองเปลี่ยนไป?

- มีครับ แต่ก่อนก็เสียงแบบ baby  voice เสียงเล็กๆ เด็กๆ ก็เลยร้องเสียงสูงปรี๊ดได้สบายๆ แต่ตอนนี้ไม่ได้เหมือนเดิมแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก “ช่างมัน” (หัวเราะ) ถึงจะหงุดหงิดเวลาร้องเสียงสูงๆ เหมือนเดิมไม่ได้ แต่ผมก็โอเคที่ยังเจอเสียงที่ผมชอบอยู่ดี แล้วผมก็ยังทำเพลงในสไตล์ที่ผมอยากทำได้อยู่ ก็เลยไม่มีปัญหาอะไรขนาดนั้น

 

ระหว่างแต่งเพลง กับร้องเพลง ชอบอันไหนมากกว่ากัน?

- มันมาพร้อมกันเลยครับ ตอนที่แต่งเพลงก็ต้องร้องออกมาก่อน บางคนอาจจะเป็นแค่นักแต่งเพลง แต่ผมเลือกที่จะเป็นนักร้องที่แต่งเพลงเองมากกว่า

 

อยากแต่งเพลงให้ศิลปินคนอื่นร้องบ้างไหม?

- แน่นอนครับ คิดอยู่ตลอดเลยด้วย ถ้าเพลงไหนที่ผมรู้สึกว่ามันไม่เหมาะกับตัวเอง ผมก็อยากจะส่งมอบเพลงนี้ให้กับคนอื่นที่เหมาะกว่า ผมไม่ได้อยากแต่งเพลงให้ใครเป็นพิเศษหรอกนะครับ เพราะเวลาแต่งเพลง ผมก็แต่งออกมาตามที่คิดอยู่ในหัว พอสำเร็จออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ถ้าลองร้องเองแล้วมันดูไม่เวิร์ค แต่จากดนตรีแบบนี้ โทนเสียงแบบนี้ ผมพบศิลปินที่เหมาะกับเพลงนี้มากกว่า ผมค่อยส่งต่อเพลงนี้ให้กับคนๆ นั้น ไม่ใช่ว่า “โอเค ผมจะแต่งเพลงให้กับ Taylor Swift โดยเฉพาะ” อะไรแบบนั้นน่ะครับ ถ้าเพลงออกมาแล้วคุณไม่ชอบ หรือไม่เหมาะกับคุณ เพลงจะเป็นคนเลือกศิลปินเองมากกว่า

 

ทำไมถึงเลือกเพลง “Shy” มาทำใหม่ แล้วใส่ลงไปใน EP ล่าสุด “Heart Miles”?

- เพราะว่าเพลงนี้ได้รับความนิยมมากๆ ในบริการสตรีมมิ่งเพลงครับ คนชอบกันมาก ผมเลยอยากทำเพลงนี้เป็นอีกหนึ่งเวอร์ชั่นขึ้นมา แล้วให้มันคล้องจองไปกับแนวดนตรีใหม่ ใน EP ใหม่ของผมด้วย แล้วคนก็ชอบกันมากครับ

 

เห็นออกแต่ EP เมื่อไรจะมีอัลบั้มเต็มๆ ให้เราได้ฟังกันบ้าง?

- น่าจะอีกนานเลยครับ อาจจะอีกปี หรือปีครึ่ง อัลบั้มเต็มมันเป็นงานที่หนักนะ ทำตลาดยาก คือ 1) อัลบั้มแพงกว่า 2) อัลบั้มเพลงเยอะกว่า และนั่นก็ทำให้อัลบั้มแพงกว่า 3) ตอนนี้ใครๆ ก็อยากฟังเพลงใหม่เร็วๆ คนเริ่มฟังเพลงผ่านระบบสตรีมมิ่ง ไม่มีใครมาคอยซื้อซีดีอัลบั้มเต็มเอาไว้เปิดฟังระหว่างขับรถอีกต่อไปแล้ว ออกมาเป็นเพลงๆ ง่ายกว่า เว้นแต่ว่าคุณมีฐานแฟนคลับที่แน่นพอ เหมือนคุณเป็น Justin Bieber, Drake, Taylor Swift, Ariana Grande, Ed Sheeran อัลบั้มมันไม่เวิร์คจริงๆ

 

ตอนนี้เห็นยุ่งกับตารางทัวร์น่าดู รักษาสมดุลในชีวิตยังไงบ้าง?

- สมดุลเหรอ ตอนนี้ไม่มีเลย (หัวเราะ) work, work, work, work, work (แร๊พเป็นท่อนเพลง “Work” ของ Rihanna) ช่วงนี้ผมไม่มีวันหยุดเลย น่าจะประมาณ (หันหน้าไปทางผู้จัดการส่วนตัว เธอตอบว่า “หลายเดือนแล้ว”) ใช่ หลายเดือนแล้ว ไม่ได้พักเลย แต่ก็เข้าใจนะ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำ ถ้าไม่ทำงานเราก็เป็นในสิ่งที่เราอยากเป็นไม่ได้ คุณจะประสบความสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่ทำงานหนัก จะมานั่งเฉยๆ รอโชครอชื่อเสียงอยู่บ้านไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาแล้วทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

 

หลังจากจบบทสนทนา ก็เป็นเวลาของการถ่ายภาพ แม้เราจะเป็นสื่อสุดท้ายที่ได้สัมภาษณ์ แต่พลังของหนุ่มน้อยคนนี้ยังล้นเหลือ ร้องเพลงเล่น หมุนเก้าอี้เล่น ถือป้ายหมุนเล่นได้ตลอด ดูจากหน้าตาเราพอจะเดาได้ว่าน่าจะเหนื่อย แต่ตลอดระยะเวลาสัมภาษณ์ นอกจากจะกระตือรือร้นในการตอบคำถามตลอดเวลาแล้ว หนุ่ม Jai Waetford คนนี้ยังใช้เวลาคิดก่อนตอบน้อยมาก เหมือนคำตอบทุกอย่างออกมาจากใจ และตัวตนในแบบที่เขาเป็นจริงๆ

ไม่แปลกใจเลยที่แฟนเพลงจะหลงเสน่ห์ของหนุ่มน้อยคนนี้เข้าอย่างจัง ก็น่ารัก เป็นธรรมชาติ เอาใจใส่แฟนเพลง และทำงานหนักตั้งแต่อายุยังน้อยขนาดนี้ บอกได้เลยว่า Jai Waetford ไปได้ไกลกว่าคำว่า Superstar” แน่นอน

 

คลิกฟังเพลงจาก EP "Heart Miles" ที่นี่

 

 

ขอบคุณ Sony Music, BEC-Tero Entertainment

Story : Jurairat N.

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ [Interview] Jai Waetford “ถ้าอยากประสบความสำเร็จ ต้องใช้ social media ให้เป็น”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook