เงียบที่สุด ไพเราะที่สุด “ป๊อด โมเดิร์นด็อก”
ถ้าคุณเกิดทันเมื่อ 22 ปีก่อน “โมเดิร์นด็อก” เป็นวงดนตรีที่สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีให้กับนักฟังเพลง จนหลายคนเรียกสไตล์ดนตรีของพวกเขาว่าเป็นเพลงอัลเทอร์เนทีฟ ลีลาการร้องเพลงไปพร้อมกับการกระโดดโลดเต้นปล่อยอารมณ์สุดเหวี่ยงบนเวทีทำให้ “ป๊อด ธนชัย อุชชิน” นักร้องนำโด่งดังเป็นศิลปินที่มีสไตล์เฉพาะเป็นของตนเอง จนอาจกล่าวได้ว่าเขาคือบุคคลในตำนานเพลงทางเลือก
คลิกชมคลิปสัมภาษณ์ "ป็อด"โมเดิร์นด็อก"
ตลอดระยะเวลาบนเส้นทางดนตรี “ป๊อด” ไม่เคยหยุดที่จะเรียนรู้และยังคงใช้บทเพลงถ่ายทอดความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงขณะนั้นส่งต่อให้คนฟัง ทางหนึ่งเพื่อสำรวจความนึกคิดภายใน อีกทางหนึ่งหากบทเพลงนั้นจะไปกระแทกหรือโดนใจใครก็ถือเป็นผลพลอยได้ วันนี้ผู้ชายคนเดิมที่เคยเต้นไม่ยั้งบนเวทีกลับนิ่งและเลือกธรรมะ ศิลปะเป็นสื่อในการส่งต่อความคิด ชีวิตที่เคยเปรียบเหมือนก้อนหินขรุขระกลับกลายเป็นก้อนหินเกลี้ยงกลมเพราะผ่านการขัดเกลาทางความคิด จิตใจที่เคยฟุ้งซ่านผ่านความโหวกเหวกของบทเพลงในวัยหนุ่ม ถึงวันนี้อาจกลายเป็นความเงียบงัน แบบที่เขาเองก็รู้สึกว่ามันคือสิ่งที่ไพเราะที่สุด
คนรู้จัก “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ในยุคอัลเทอร์เนทีฟครองเมืองซึ่งโด่งดังมากในอดีต เมื่อเวลาผ่านไปคุณเคยคิดบ้างไหมว่าเด็กรุ่นใหม่ไม่สนใจคุณแล้ว แต่ละวงดนตรีแต่ละแนวดนตรีจะมียุคสมัยที่เฟื่องฟูที่สุดของตัวเอง ทุกอย่างเป็นธรรมชาติที่ต้องมีฤดู เหมือนกับมีฤดูใบไม้ผลิแล้วก็มีฤดูใบไม้ร่วงอะไรแบบนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามวัฏจักร แต่สำหรับผมสิ่งที่สำคัญคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน แล้วทำปัจจุบันให้เต็มอิ่มในตัวเอง เราไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความสำเร็จ ตรงนั้นมันเป็นจุดเริ่มต้นมันนำพาเรามาถึงวันนี้ มันเปิดทางอะไรหลายๆ อย่างให้กับชีวิตเรา แต่ว่าการที่เราไปยึดให้อยู่ในระดับนั้นตลอดเวลามันเป็นความทุกข์
จาก 22 ปีที่แล้วกับปัจจุบันการที่จะมาเป็นศิลปินให้โด่งดังมันไม่ง่ายเหมือนก่อน คุณคิดอย่างไรบ้าง
ทุกอย่างที่แอนดี้ วอร์ฮอล (Andy Warhol ผู้นำศิลปะ) เคยพูดไว้น่าจะตอนยุค 70 นะครับว่าในอนาคตผู้คนจะโด่งดังกันคนละ 15 นาที ซึ่งตอนนี้มันปรากฏขึ้นมาในลักษณะคล้ายๆ กัน การมีอินเทอร์เน็ตอาจจะมีปรากฏการณ์อะไรซักอย่าง อาจจะมีคลิปอะไรซักคลิปนึงที่มันอาจจะเปรี้ยงแต่วันรุ่งขึ้นมันอาจจะหายไป แล้วก็เกิดคลิปใหม่และเรื่องราวใหม่ขึ้นมา ทุกวันนี้ทุกอย่างมันดังได้ง่าย แต่บางทีมันผ่านไปเร็วเหมือนกับเวลาที่เราเลื่อนหน้าต่าง facebook เราอาจจะกำลังอ่านข้อความนี้แต่เมื่อเราเลื่อนขึ้นไปมันก็อาจจะหายไปแล้ว แต่บางเรื่องอาจจะอยู่ 2-3 วัน หรือ อาทิตย์นึง แต่สุดท้ายเรื่องใหม่ๆ มันจะทยอยเข้ามา เป็นข้อมูลข่าวสารที่มากมายมหาศาล
คุณเคยให้สัมภาษณ์ว่าเพลงคือการทำความรู้จักตัวเอง ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนอัลบั้มล่าสุด คุณค้นพบอะไรในชีวิตตัวเอง
การทำงานเพลง โดยเฉพาะการเขียนเพลงให้ตัวเองร้องเป็นการสำรวจจิตใจตัวเอง มันจะต้องเอาความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาวิเคราะห์ ทำความเข้าใจ ตอบคำถามให้ตัวเอง มันเกิดการตรึกตรองเยอะมาก แล้วมันจะเกิดคำตอบอยู่ตลอดระหว่างทาง เพราะฉะนั้นในแต่ละชุดของผมมันจะเริ่มตั้งแต่ชุดแรกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์พุ่งพล่าน อาจจะมีคำถาม มีความโกรธหรืออะไรต่างๆ แล้วก็พัฒนาต่อมาเมื่อได้เจอเส้นทางชีวิตที่แตกต่างเกิดคำถามหลากหลาย เพราะฉะนั้นเราจะผ่านช่วงชีวิตที่หลากหลาย ขุดมันออกมาเป็นเพลง ช่วงตาสว่าง ช่วงแดดส่อง ช่วงที่เราเริ่มเห็นว่ามีแสง เริ่มเห็นว่ามันมีคำตอบอยู่เพราะฉะนั้นผมคิดว่าข้อดีของการทำงานตรงนี้มันทำให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เราเริ่มรู้ว่าอะไรสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ อย่างคำถามข้อแรกที่พูดถึงชื่อเสียง ชื่อเสียงมันอาจจะไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ผมเคยแต่งเพลงชื่อ “เงินล้าน” ฉันมีเงินเป็นล้าน เพราะอะไรยังร้อนรน ยังคงสับสนข้างใน เรามีชื่อเสียง เรามีเงิน เงินในแบงค์เรายังเหลืออยู่แต่ทำไมใจเรายังไม่มีความสุขแสดงว่าไอ้ 2 อย่าง มันยังไม่ใช่ความสุข ถ้ามันใช่คำตอบ เราต้องไม่มีความทุกข์ แสดงว่ามันต้องมีอย่างอื่นที่สำคัญกว่านั้น
ถ้าเป็นเช่นนั้นสำหรับคุณคิดว่าในตอนนี้อะไรสำคัญที่สุด
จริงๆ อันนี้เป็นคำถามที่เรียกว่าคนเราค้นหากันทั้งชีวิตเลยนะ ครอบครัวสำคัญที่สุด เพราะสุดท้ายเราอาจจะเห็นชีวิตข้างนอกมันสนุกมันเป็นเรื่องของการท้าทาย สังคม เรื่องของการไขว่คว้า เรื่องของการต่อสู้ แต่สุดท้ายพอถึงจุดนึงวันที่เราเห็นว่าพ่อแม่เราแก่ขึ้น เริ่มป่วย สิ่งที่เรามองว่าข้างนอกสำคัญแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย สิ่งที่สำคัญคือคนที่เรารักที่สุด ทำยังไงให้เราได้อบอุ่น ได้ใช้ชีวิตร่วมกันอย่างดีที่สุด หรือว่าจะเป็นเรื่องของตัวเราเองก็ตามว่าเรากำลังพยายามทำอะไรอยู่ตอนนี้ที่ทำอยู่ทุกวันนี้ เราต้องการอะไรที่นอกเหนือจากหาเงินมาเลี้ยงชีพหรือว่าดำรงชีวิต มีอย่างอื่นที่สำคัญกว่านั้น คือความสุขทางใจ ความสงบ ความสบาย ความเบา มันน่าสนใจสำหรับเราหรือเปล่า อันนี้คือแล้วแต่คน ต้องการความเบิกบาน เฮฮาตามแต่สไตล์ที่แตกต่างกัน
22 ปีในวงการเพลง “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
ผมคิดว่าดนตรีให้อะไรกับผมมาตลอดระยะทาง ให้ประสบการณ์ สอนผมเยอะมากจากการที่ผมไปทัวร์ทั่วประเทศ แล้วต้องเจอกับสถานการณ์ที่ทำให้เราต้องปะทะ เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นอีกจนเราต้องพยายามทำความเข้าใจกับทุกอย่าง มันทำให้เราเห็นโลกและมีมุมมองต่อโลกมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่คนที่โวยวายหรือเรียกร้องฟูมฟาย สำหรับผมๆ ก็จะมองอย่างคนเฝ้าดูสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วหาสมดุลหาความสุขให้ตัวเองให้ได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ใช่ว่าผมจะทำสำเร็จทุกครั้งนะ แต่มันสอนผมในเรื่องเหล่านี้ สอนผมในการที่จะต้องอยู่บนโลกนี้อย่างสงบสุข
สำหรับ “ป๊อด โมเดิร์นด็อก” คิดว่าการมีชื่อเสียงเป็นสิ่งที่ดีไหม
เอาชัดเจนเลยนะ ชื่อเสียงทำให้เรามีเงิน ทำให้เรามีเสียงที่จะนำไปใช้ประโยชน์ได้ ถ้าเราอยากจะพูดอะไรดีๆ ก็จะมีคนฟังเยอะมากขึ้น ขึ้นอยู่กับเราจะเอาชื่อเสียงพูดเรื่องอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นในแง่มุมของประโยชน์ มีมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องรู้เท่าทันชื่อเสียงด้วย แล้วไม่ควรยึดติดกับมัน สิ่งที่เราทำๆ เพราะรักเรามีความสุขในสิ่งนั้น แต่ว่าไม่ใช่ทำเพราะเราอยากมีชื่อเสียง สำหรับผมชื่อเสียงคือสิ่งที่มาจากผลลัพธ์จากการทำงานของเรา
เคยไปบวชเป็นพระนานถึงกว่า 4 เดือนช่วยเล่าประสบการณ์ให้เราฟังหน่อย
จริงๆมันเริ่มมาจากคอนเซ็ปต์ชีวิตเลยนะ สเต็ปการทำงานของผมคือตอนเสร็จชุดแรกตั้งใจจะไปเมืองนอก ก็เลยไปอยู่นิวยอร์ก 2 ปี เราก็เขียนเพลงชุดที่ 2 ที่นั่น พอเสร็จชุด 2 ก็ตั้งใจไปเมืองใน ก็คือการไปบวชในวัดป่า 4 เดือนครึ่ง ช่วงนั้นเป็นการสำรวจตัวเอง สำรวจข้างในตัวเอง สำรวจความรู้สึก สำรวจจิตใจตัวเอง เห็นตัวเอง ทำความเข้าใจ เราเป็นคนยังไง เรามีกิเลสตัวไหน เป็นการเรียนรู้ ซึ่งอันนี้เอามาใช้ทำงานด้วย เอามาเขียนเพลงทีนี้ในช่วงเวลานั้น ก็ต้องทำในสิ่งที่เราอาจจะไม่เคย เราต้องออกไปนอก Comfort โซน พระอาจารย์ที่วัดให้สก๊อตไบท์บางๆ มาอันนึง ให้ไปขัดโถส้วมด้วยมือเปล่า ตอนที่จะเอาล้วงลงไปเราก็เล็งๆ พอลงไปปุ๊บ เราก็เหมือนเรายอมรับมันแล้ว ก็เอ็นจอยกับการขัดเบาๆ แล้วก็ขัดไปทีละห้อง มี 6 ห้อง
มันเหมือนกับว่าเราไม่มีอะไรเหลือแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราไปสัมผัสมาในช่วงชีวิตตอนนั้น หรือว่าเรื่องของการทำสมาธิ ซึ่งเราไม่เคยเราเป็นคนฟุ้งซ่าน เราเหมือนแก้วน้ำที่เต็มไปด้วยตะกอน แต่เราไม่เคยปล่อยให้ตะกอนลงมานอนก้นแล้วเห็นน้ำใสๆเลย เพราะเราจะเป็นตะกอนที่มันฟุ้งอยู่ตลอด แต่พอเราเริ่มฝึกอานาปานสติ หันมาดูลมหายใจตัวเอง พอความคิดมันเริ่มน้อยลงๆ ตะกอนเริ่มมานอนก้นปุ๊บ เป็นน้ำใสๆ ข้างบนทีนี้พอมีอะไรกระแทกเข้ามา เหมือนมีหินกระเด็นเข้าแก้วมันจะฟุ้งเราจะเห็นมันเลย ความโกรธมันเป็นก้อนขึ้นมา สิ่งต่างๆ ทั้งหลายมันทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้น
เท่ากับว่าคุณใช้ธรรมะนำทาง อะไรเป็นจุดเปลี่ยนให้คุณเรียนรู้ชีวิตด้วยธรรมะ
น่าจะเป็นความเป็นคนยึดติดนะ เริ่มแรกหลักๆ เลยคือเป็นคนที่เรียนเก่งตั้งแต่อนุบาล ได้ที่ 1 ป.1- ป.4 จำได้ตอนที่อยู่ ป.4 วันรุ่งขึ้นจะประกาศผลสอบคืนนั้นเรานอนไม่หลับ เป็นเด็ก ป.4 ที่นอนไม่หลับ เพราะกลัวไม่ได้ที่ 1 คือเราเป็นอย่างนั้นตั้งแต่เด็กเรารู้สึกว่าเราจะต้องเป็นคนที่ต้องได้ที่1 ต้องชนะ มันเป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วคือ ตั้งแต่อนุบาลมันเคยได้มาแล้ว มันยึดตรงนั้น เราก็สงสารเด็ก ป.4 คนนั้นมากเลย แล้วพอมาถึงจุดที่เราทำอัลบั้มเพลง พอเราทำชุดแรกมันก็ขึ้นไปในจุดที่เราคาดไม่ถึงทีนี้เราก็ยังเหมือนเด็ก ป.4 คนนั้นที่อยากจะรักษาความสำเร็จตรงนั้น แต่พอไปล้างส้วมเสร็จปุ๊บพอไปออกอัลบั้มชุดต่อมา ก็ทำชุดที่ฟังไม่รู้เรื่องไปเลยเพื่อที่จะไม่แบกอะไรแล้ว จนมีคนมาบอกว่าผมซื้อเทปพี่มาฟังไปครึ่งม้วนแล้วโยนทิ้งไปเลย
ทุกวันนี้คุณยังเขียนเพลงอยู่ไหม หรือว่าเขียนน้อยลงเพราะจิตใจคุณถูกชำระไปจนเกือบหมดแล้ว
เพลงที่เขียนทั้งหมดผมเขียนให้ตัวเองก่อน ไม่ว่าจะเป็นเพลงที่บอกเล่าหรือว่าคลี่คลาย หรือว่าแสดงอารมณ์เป็นเพลงที่ตอบความรู้สึกของตนเอง แต่ว่าเอามาแชร์ได้ แล้วบางคนที่รู้สึกคล้ายเราก็เหมือนหยิบไปใช้ร่วมกันได้ แต่ตอนนี้ผมเขียนเพลงน้อยลง เขียนแต่รูปอาจเป็นเพราะจิตใจเราต้องการชำระน้อยลง บางครั้งความเงียบมันเพราะกว่าเพลง ฟังแล้วมันน่าตกใจเหมือนกันสำหรับคนทำเพลง เพราะความเงียบมันตอบโจทย์แล้ว (ยิ้ม) ที่ผ่านมาเราใช้ดนตรีเป็นการเดินทาง ใช้ดนตรีทำความเข้าใจ มันเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน ถ้าผมจะหวังให้วันนี้เป็นผมเหมือนวันนั้น มันอาจจะไม่ใช่วิถีของผมก็ได้ การที่ผมเหวี่ยง กระโดดไปกระโดดมาสมัยก่อน เมื่อเราผ่านการเรียนรู้ มันต้องมีลักษณะของการกล่อมเกลาถ้าเป็นหินมันต้องผ่านการขัด
นอกจากเพลงแล้ว คุณยังชอบงานศิลปะด้วย งานศิลปะมันทำให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้นอย่างไร
งานศิลปะมันเป็นความชอบตอนเด็กที่อยากจะเรียนจิตรกรรม เป็นนักวาด หลังจากที่ค้นพบว่าเรียนฟิสิกส์ เคมี ชีวะ เลขไม่รู้เรื่องแล้วเลยทิ้งแล้วไปเรียนวาดภาพไปทางศิลปะแต่ว่าหลังจากเรียนมหาลัยจบครุศาสตร์ศิลป์ก็มาเป็นโมเดิร์นด็อก เพราะฉะนั้นความชอบมันยังคงอยู่ในใจเรา พอช่วงนี้ชีวิตมันเริ่มจัดสรรได้แล้ว มันหวนกลับมาเอง เราก็เริ่มเอางานศิลปะกลับมาทำ แล้วข้อดีคือเหมือนเราได้คุยกับตัวเอง การทำเพลงเราคุยกับคนฟัง แต่พอเราอยู่กับกระดาษ เราสามารถสนทนาโต้ตอบกับตัวเอง ซ้ายไหม ขวาหน่อย แดงนิดนึง อะไรประมาณนี้มันรู้สึกว่าได้ใช้ชีวิตกับตัวเองซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่เราแสวงหามานานแล้ว แต่เราไม่ได้สังเกตเพราะมุ่งออกไปข้างนอกตลอดพอเราได้มีโอกาสกลับมาที่ตัวเองมันรู้สึก บางทีความสุขมันไม่ต้องใช้พื้นที่เยอะ มันแค่อยู่ข้างหน้าเรานี่เอง
คุณพอจะรู้ไหมว่าเหตุผลอะไรทำให้คุณเป็นตำนานหรือเป็นไอดอลของคนรุ่นหลัง
จริงๆ ก็ไม่กล้าคิดถึงขนาดว่าเราเป็นตำนาน คือเราแค่รู้ว่าเราชอบดนตรี รักทำเพลง เราอยากทำเพลงที่ดีที่สุด และอยากเอาตัวเราถ่ายทอดออกมาให้คนเห็นว่าตอนที่เรา 20+ เป็นยังไง 30+ เป็นยังไง 40+ เป็นยังไง อย่างวันนี้ เป็นเพลงของ 40+ ถ้าผมยังทำเพลงถึง 50+ ก็มาฟังดูว่ามันจะเป็นยังไง หรือถ้า 60+ 70+ 80+ ผมยังทำเพลงอยู่ ผมก็อยากรู้ว่าเพลงของผมจะเป็นยังไง มันจะเป็นเทปเปล่าหรือเปล่า หรือเป็นเสียงแบบไหน นี่คือหน้าที่หรือสิ่งที่ผมอยากจะทำเอาไว้
เด็กรุ่นใหม่หลายคนอยากดำเนินรอยตาม วันนี้คุณอยากจะพูดอะไรกับพวกเขา
ผมคิดว่าน้องๆ อาจจะไม่ต้องมาเป็นนักร้องกันทุกคน เราอาจจะดูว่าความถนัดของเราคืออะไร ความสุขของเราคืออะไร เราอาจจะเป็นช่างภาพที่ดี เป็นเชฟที่ทำอาหารให้คนกินแล้วมีความสุข ครีเอทเมนูที่มีประโยชน์ หรือคุณอาจจะเป็นครูที่ชอบถ่ายทอดสิ่งดีๆ ให้คนอื่น คุณเป็นอะไรก็ได้ที่เป็นตัวคุณ และมีคุณค่า คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักร้องเหมือนผม ไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรี ไม่จำเป็นต้องเป็นดาราผมคิดว่าทุกอาชีพ ทุกความถนัด ถ้าทำแล้วสร้างสรรค์เกิดประโยชน์แล้วตนเองมีความสุข มันดีทั้งหมด