"อุ๋ย Buddha Bless" เคยล้มเลิกอาชีพนักร้อง ลุกขึ้นสู้เพราะเพลงเปลี่ยนชีวิต!
แร็ปเปอร์หนุ่มที่มาแรงในช่วงนี้ จากกระแสเพลง เพื่อนหายเพราะขายตรง ซิงเกิ้ลเดี่ยวเพลงแรกของ กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless ก็เจอกระแสดราม่าซะแล้ว จากกระแสที่มีทั้งด้านบวกและลบ จนต้องเปลี่ยนชื่อเพลงเป็น เพื่อนหายเพราะขายอ้อม เพื่อยุติปัญหาจากทุกฝ่ายในประเด็นดังกล่าว ซึ่งวันนี้คุณอุ๋ยได้เปิดใจพูดคุยกับทีมงาน Sanook! Music เรื่องราวเพื่อไขข้อสงสัยจากหลายๆ กรณี
คลิกชมคลิปเปิดใจ กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless
ทำไมคุณอุ๋ยถึงตัดสินใจทำผลงานเพลงเดี่ยวออกมา
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : เพื่อนเขาทำนู่นทำนี่กันครับ ก็ไม่ว่างมาทำเพลง ซึ่งผมทำเพลงอย่างเดียวเลยทำเพลงเก็บสะสมไว้ ก็เริ่มคิดทำอัลบั้มและค่อยๆปล่อยเพลงออกมาครับ
การทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยว ต่างจากตอนเป็นวงไหม
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ไม่ต่างเลยครับ เพราะตอนเป็นวงก็ทำคนเดียวหมดเลย เวลาทำเพลงก็ต้องทำดนตรีเอง แบบตัวติดกับโปรดิวเซอร์เลย เวลาเขียนก็เขียนเนื้อเองและแบ่งให้เพื่อนร้อง คือเหมือนเดิมเลย
กลับมาครั้งนี้ ทำไมถึงชวนแร็ปเปอร์รุ่นน้องอย่างคุณ โปรโตซัว มาฟีทในซิงเกิ้ลเพลง "เพื่อนหายเพราะขายอ้อม"
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : เพลงนี้ทำตอนรู้จักน้องใหม่ๆ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว และเขาบอกเรื่องเพื่อนหายเพราะไปทำขายตรง ก็อยากผลักดันน้อง เพราะเขาลาออกจากงานมาทำเพลง เห็นเขามีไฟเลยชวนมาทำเพลงด้วยกัน
เพลง เพื่อนหายเพราะขายอ้อม มีการทำงานอย่างไร
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ทำดนตรีขึ้นมาก่อนครับ แล้วถึงทำเนื้อเพลงขึ้นมาครับ ตอนที่ทำเพลง เพื่อนหายเพราะขายอ้อมก็ทำเป็นเพลงแรกๆ ตั้งแต่สามปีที่แล้ว เลยตัดสินใจปล่อยเพลงนี้ออกมาก่อนครับ
มิวสิควีดีโอเพลง เพื่อนหายเพราะขายอ้อม มีเนื้อหาพูดถึงเรื่องอะไร
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ในมิวสิควีดีโอ ผมเป็นเจ้าของธุรกิจและโปรโตซัวเป็นดาวไลน์ ก็ทำโฆษณาชักชวนให้คนมาเปลี่ยนชีวิต และมีน้องคนนึงตามเรามา เลยพาไปสัมมนาและชวนเพื่อนจนเพื่อนรำคาญ พอเขาเดือดร้อนก็ไม่มีเพื่อนมาช่วย เพราะเพื่อนเขาหายหมดแล้ว เสร็จแล้วตัวละครผมก็ไปบอกให้น้องขายต่อไป อย่ายอมแพ้ น้องเขาก็โกรธและชกผมเลย
ใครคือผู้กำกับมิวสิควีดีโอเพลงนี้
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : เป็นน้องที่เจอใน Facebook ตอนแรกผมทำเพลงนี้เป็น lyric video แล้วก่อนจะปล่อยเพลงผมไปเจอน้องคนหนึ่งในเฟสบุ๊ค เขาทำคลิปออกมาดีมาก สนุกและมีคติสอนใจตอนจบ ตอนนั้นผมก็ไปชมน้องๆ น้องเขาก็บอกว่าอยากทำเอ็มวีให้ ก็เลยตัดสินใจชวนมาทำเอ็มวีเพราะจะปล่อยเพลงอยู่แล้ว พอคุยกันผมก็นัดเจอน้องเขาเลย นั่งมอไซค์ออกไปเจอ หลังจากนั้นเริ่มทำเลย น้องเขาอยู่ฉะเชิงเทราก็บอกว่าสถานที่ที่นั่นของ่ายเพราะคนต่างจังหวัดใจดี ผมก็ขับรถไปหาและถ่ายที่นั่นเลย เอ็มวีนี้ใช้เวลาถ่ายแค่ 6 ชั่วโมง และตัดต่ออีกแค่สี่วัน รวมกับภาพ Footage ของผมที่มีครับ
กระแสตอบรับเพลง "เพื่อนหายเพราะขายตรง" แรงมาก คุณมีวิธีการรับมือกับกระแสนี้อย่างไร
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ตอนนั้นมีคนขายตรงเข้ามาด่า มีประธานเครือข่ายขายตรงอะไรซักอย่าง ใช้คำไม่สุภาพ ตอนนั้นผมก็ไม่สนใจเลย จริงๆมองเป็นเรื่องตลกด้วย คืออาจจะเป็นเพราะผมผ่านการปรับทัศนคติมาแล้วว่าการมุ่งสู่ความสำเร็จต้องมองโลกในแง่บวก แต่ผมก็รับฟังนะครับ เขาไปออกทีวีผมก็นั่งดูย้อนและคิดตามนะ ว่าสิ่งที่เขาพูดมันก็จริงบางส่วน คนที่ทำดี ทำธุรกิจมีมารยาื ทำธุรกิจสีขาวไม่หมดเม็ด และคนกลุ่มนี้เขาก็เดือดร้อนเพราะชื่อเพลงผม คือไม่กลัวจะโดนฟ้องครับ เพราะคิดว่าสิ่งที่ผมทำไม่ผิด แต่ตอนนั้นก็คิดว่า ถ้าผมเปลี่ยนชื่อ ผมต้องเสียอะไรไหม พอโทรไปที่คนดูแลด้านดิจิตอลดาวน์โหลด เขาก็บอกว่า ไม่มีปัญหาครับ เลยเปลี่ยนชื่อเพราะผมไม่อยากทำร้ายความรู้สึกคนทำขายตรงดีๆ ที่มีจรรยาบรรณ
ทำไมคุณถึงตัดสินเปลี่ยนชื่อเพลงว่า "เพื่อนหายเพราะขายอ้อม"
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : คำว่าขายตรง มันเป็น พรบ. ครับ เป็นชื่อวิชาชีพของเขา ตรงนั้นมันมีปัญหา เลยใช้ชื่อขายอ้อม เพราะมันคือสิ่งที่ผมเจอคือ อ้อมไปอ้อมมา ชวนไปทานข้าวหรือชวนไปลงทุน ไม่ยอมบอกว่าเป็นธุรกิจขายตรง คืออ้อมไปอ้อมมา เลยเอาตรงนี้มาเป็นชื่อเพลงครับ ผมเปลี่ยนชื่อเพราะไม่อยากเลี้ยงกระแส ไม่อยากรอให้มันดราม่ากว่านั้น ผมไม่ใช่คนที่ขายความขัดเเย้งแบบพวกแกนนำม็อบ หรือนักการเมือง จริงๆอยากให้คนรู้ทันกลโกง และใส่ใจประเด็นขายตรงไร้จรรยาบรรณมากขึ้น สำหรับผมความสำเร็จของเพลงนี้ไม่ได้อยู่ที่ยอดวิวหรือชื่อเสียง แต่อยากให้เพลงนี้เปลี่ยนสังคมได้
คิดว่าสิ่งที่ได้รับจากเหตุการณ์นี้ผลดีและผลเสียคืออะไร
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ข้อดี คือมันทำให้คนที่จะไปสมัครธุรกิจขายตรง ฉุกคิดมากขึ้น แบบธุรกิจนี้มีมานาน จากขายของเป็นบริการจ่ายเงินหรือท่องเที่ยว เปลี่ยนจนหลายคนตามไม่ทัน และมีโอกาสที่จะเสียเงิน คือเพลงของผมทำให้คนคิดตาม ว่าไม่มีอะไรได้มาง่าย ผมไม่ได้แอนตี้คนรวยนะ คือรู้ว่าทุกคนอยากประสบความสำเร็จและดูแลพ่อแม่ แต่ต้องคิดด้วยว่ามันไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ ถ้ามันง่ายทุกคนต้องไปทำกันหมดแล้ว
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ข้อเสีย ที่ได้ก็คือ ผมทำเพลงสะท้อนสังคม คนที่ไม่เห็นด้วยก็มี คือตอนทำเพลงก็ต้องคิดว่าจะมีคนรู้สึกแย่หรือเสียผลประโยชน์ไหม เหมือนกับประเด็นการเมืองที่มีคนได้ประโยชน์และเสียประโยชน์เวลามีการเปลี่ยนแปลง นี่เป็นข้อเสียที่ผมเจอ แต่ข้อเสียที่เป็นของสังคมผมว่ามันไม่มี เพราะผมทำเพลงให้คนเก็บไปคิดมากกว่า ว่าสิ่งที่ทำมันถูกไหม
วงการเพลงแนวเร็กเก้กับฮิปฮอปทุกวันนี้เปลี่ยนไป คุณคิดอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงในวงการเพลง
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : มันพัฒนามากขึ้นครับ คือแนวเพลงนี้มันเล็กมาก เลี้ยงครอบครัวยาก สมัยก่อนมีแค่ โจอี้บอย และมี Thaitanium กับวงอื่นๆ แต่ที่ต่างประเทศอย่างในเกาหลีคือเเนวเพลงนี้เยอะมาก มันดีที่คนยอมรับมากขึ้น ถึงจะไม่เหมือนเพลงป๊อป ร็อค หรือ ลูกทุ่ง อีกอย่างเดี๋ยวนี้เพลงฮิปฮอปก็จะแบ่งแยกมากขึ้นทั้งเพลงรัก หรือเพลงสะท้อนสังคมแรงๆ
คุณเป็นศิลปินที่มีแนวทางชัดเจนมาก มีศิลปินคนไหนเป็นไอดอลหรือเปล่า
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ผมเป็นสายเนื้อเพลง ก็ชอบคนที่เขียนเนื้อเก่งนะครับ อย่างพี่บอย โกสิยพงษ์ พี่กบ Big Ass และทีม Mango ที่ทำเพลงให้วงบอดี้สแลม รวมถึงโจอี้บอยครับ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เขียนเนื้อเพลงเก่ง
การทำงานในค่ายใหญ่ กับการเป็นศิลปินอิสระแตกต่างกันไหม
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ไม่ต่างเท่าไหร่ครับ เพราะตอนเป็นศิลปินผมก็อยู่ค่ายย่อย ก็ต้องทำอะไรเองเยอะมาก เรื่องแบบนี้มันขึ้นอยู่กับศิลปิน เพราะข้อดีข้อเสียมันอยู่ที่การทำงานอย่าง ค่ายใหญ่เหมือนหน่วยราชการ ทำงานต้องผ่านหลายขั้นตอนหลายคน แต่ผมเป็นคนนิสัยเสียทำอะไรแล้วแต่ตัวเอง อยากปล่อยก็ปล่อย ไม่ได้วางแผนอะไรเลย เวลาทำงานค่ายใหญ่ผมจะมองว่า เวลาจะทำอะไรมันก็ช้าไปหมด แต่ถ้าเราเป็นศิลปินอิสระมีเดียหรือสื่อที่สนับสนุนมันก็จะน้อย
ในยุคนี้การทำเพลงเปลี่ยนแปลงไปมาก มีผลกระทบต่อการทำงานคุณไหม
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : มันอาจจะเปลี่ยนเมื่อเราปล่อยไปแล้ว คนทำเพลงทุกคนรวมถึงผมก็ยังต้องใช้อุปกรณ์ที่มืออาชีพใช้ มีคุณภาพ ผมอยากใช้ของดีเพราะงานที่ทำมันเหมือนลูกที่จะอยู่กับเราไปจนวันตาย แต่ตอนที่เราปล่อยออกมามันเปลี่ยนไป เพราะสมัยก่อนต้องพึ่งสื่อทีวี ที่ใช้เงินเยอะ แต่เดี๋ยวนี้สามารถปล่อยในโซเชี่ยลได้เลย มันจะต่างตรงเป็นวิธีการโปรโมท
เป้าหมายสูงสุดในการเป็นศิลปินของคุณคืออะไร
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : อยากให้เพลงผมมอบความบันเทิงและให้อะไรกับคนฟังได้ ที่ผมมาเลือกทำอาชีพ ผมมีเพลงในดวงใจคือเพลง ฤดูที่แตกต่าง ของ พี่บอย โกสิยพงษ์ และ เพลง ความเชื่อ ของ บอดี้สแลม เป็นเพลงที่เพราะและความหมายดี ชีวิตนี้ผมเปลี่ยนไปเป็นสองเพลงนี้ คือผมเคยอยากจะเลิกจากอาชีพนี้ ตอนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต แล้วตอนที่ไม่มีสตางค์แล้วอยากเป็นแร็ปเปอร์ แต่ผมฟังเพลง ความเชื่อ ของ บอดี้สแลม แล้วมันทำให้ผมสู้ต่อไป และทำเพลงต่อ ผมว่าเพลงที่เปลี่ยนชีวิตคนได้ ให้กำลังใจคนได้ ผมอยากทำเพลงแบบนั้นออกมา
คุณอุ๋ยได้เล่าถึงความประทับใจที่มีต่อเพลง "ความเชื่อ"
ในฐานะที่เป็นรุ่นพี่ในวงการเพลง มีอะไรที่อยากฝากให้ศิลปินรุ่นน้องบ้าง
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : อยากให้น้องๆ สู้ต่อไปครับ คือผมอาจจะไม่รู้เรื่องเยอะแบบเด็กรุ่นใหม่ การได้เงินจากโซเชี่ยลแบบดิจิตอลหรือ YouTube คือไม่ได้อะไรเลย ปล่อยฟรีมาตลอด ไม่ได้จดทะเบียนอะไรเลย ก็อยากฝากให้น้องว่าเราทำงานนี้เพราะอะไร ถ้าเรารักความดังหรือชื่อเสียง เราก็จะอยู่ไม่ได้นาน เพราะของแบบนี้มันมาแล้วก็ไป แต่ถ้าเรารักการทำเพลงจริงๆ เราก็อยู่ได้ตลอดไป อยากให้ไม่ลืมว่าตัวเองต้องการอะไร
แฟนเพลงจะได้ฟังซิงเกิ้ลต่อไปเมื่อไหร่
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ตอนนี้ก็ทำอยู่ อยากปล่อยก็ปล่อยครับ (หัวเราะ) เป็นคนที่ไม่มีแพลนอะไรเลย
แฟนเพลงจะมีโอกาสได้ชมผลงานในนามวง Buddha Bless จะรวมตัวกันอีกไหม
กุ๊ยอุ๋ย Buddha Bless : ยังคุยกันครับ คือบอกไปเลยว่าอยากนัดก็นัดมา ผมเป็นคนที่ทำเพลงจะทิ้งทุกอย่างเลยครับ เพราะถ้าผมมีเวลาว่างผมจะรู้สึกผิดมาก ว่าทำไมเราไม่ทำงาน มันติดมาตั้งแต่ผมลาออกจากงานมาทำเพลงโดยเฉพาะ คือมันจะทำให้เราคิดว่าเราลาออกมาเอ้อระเหย ตอนนี้รอเพื่อนๆว่างอยู่ครับ จากสิ่งที่แต่ละคนทำ
จากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ เห็นได้ว่าหนุ่มมาดกวนคนนี้ เป็นคนที่มีแนวคิดวิสัยทัศน์สร้างสรรค์ในการทำงานดีทีเดียว มีความรับผิดชอบต่อสังคม หากอยากติดตามความเคลื่อนไหวและพูดคุยกับเขา สามารถติดตามได้ที่ FB : Oui Buddhabless แฟนเพจส่วนตัวของคุณอุ๋ยได้เลยครับ
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ