5 เหตุผล! ที่ทำให้แร็ปเปอร์และศิลปินฮิปฮอปยุคนี้ "รวยมาก"
เชื่อว่าใครที่ติดตามหรือได้ชมไลฟ์สไตล์ของแร็ปเปอร์สัญชาติตะวันตกนั้น ต้องมีคำถามในใจคล้ายๆกันว่าทำไมศิลปินเหล่านี้ถึงมีไลฟสไตล์ที่ดูหรูหราขัดกับจุดเริ่มต้นที่ยากลำบากของพวกเขา จนทำให้หลายคนนั้นก็ถึงขั้นมองว่าเงินเหล่านั้นมาจากการทำสิ่งผิดกฎหมาย ทำให้วันนี้ทีมงาน Sanook! Music นั้นเลยตัดสินใจรวมเหตุผลที่ทำให้ศิลปินฮิปฮอปและเเร็ปเปอร์นั้นประสบความสำเร็จมาให้ทุกคนได้ชมกันครับ
ค่าลิขสิทธิ์เพลงอันมหาศาลจากยอดขายผลงานเพลง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้วงการเพลงฮิปฮอปนั้่นมีเอกลักษณ์ที่ชัดเจนมาก ก็คือการเล่าเรื่องผ่านบทเพลงที่ศิลปินเป็นคนแต่งเอง โดยการที่ศิลปินต้องแต่งเพลงเองนั้นทำให้พวกเขาได้รับส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายเพลงและการสตรีมมิ่งที่เต็มเม็ดเต็มหน่วย จากแฟนเพลงทั่วโลก โดยในปีที่ผ่านมานั้นศิลปินฮิปฮอปหลายๆคนอย่างเช่น เดรก ก็มีทรัพย์สินสูงถึง 60 ล้านยูเอสดอลลาร์ หรือ 2,000 พันล้านบาทเลย ซึ่งเกือบทั้งหมดมาจากผลงานเพลงของเขา
และนอกจากการขายอัลบั้มแล้ว ศิลปินเหล่านี้ยังได้ค่าลิขสิทธิ์จากการที่เพลงของพวกเขาถูกนำไปใช้เชิงพาณิชย์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ตามรายการทีวีหรือซีรี่ย์ รวมถึงการใช้ในงาน Event และการทำเพลงรีมิกซ์ เรียกได้ว่าถึงแม้จะไม่ได้มีผลงานใหม่ แต่ค่าลิขสิทธิ์และส่วนแบ่งยอดขายของผลงานในอดีต
คลิกฟังผลงานเพลงของ Drake ได้ที่นี่ (สำหรับผู้ฟัง JOOX VIP)
รายได้จากการร่วมทำเพลงให้ศิลปินท่านอื่น
ความสำเร็จของแนวเพลงฮิปฮอปนั้น ทำให้ศิลปินแนวอื่นๆมักจะนำซาวด์และสไตล์ดนตรีฮิปฮอปไปผสมในเพลงของเขา และสิ่งนี้ก็ทำให้ศิลปินฮิปฮอปหลายๆคนได้ร่วมทำเพลงให้ศิลปินแนวป๊อป, อาร์แอนด์บี หรือ แม้แต่ EDM ในรูปแบบการ Featuring หรือแม้แต่การร่วมแต่งเพลง อย่างเช่นแร็ปเปอร์ ฟาร์เรล วิลเลี่ยม ที่อยู่เบื้องหลังผลงานของศิลปินแนวป๊อปมากมายหลายร้อยเพลง
ฟาร์เรล วิลเลี่ยม เคยร่วมเขียนเพลง Sing ของ เอ็ด ชีรัน
ความสำเร็จจากการออกคอนเสิร์ต
สำหรับศิลปินตะวันตกแล้ว การออกทัวร์นั้นก็เป็นรายได้สำคัญของพวกเขาไม่ต่างจากศิลปินไทย จึงไม่แปลกว่าทำไมศิลปินที่จัดเวิลด์ทัวร์ มักจะถูกจัดอันดับในโพลศิลปินทำเงินของปี และนอกจากงานทัวร์คอนเสิร์ตแล้ว ศิลปินหลายคนก็ทำรายได้จากงานจ้างด้วย โดยในปี 2554 นั้นศิลปินฮิปฮอปอย่าง เจย์ซี และ คานเย เวสต์ ก็เคยรับทรัพย์ 6 ล้านเหรียญยูเอสดอลล่า หรือประมาณ 200 ล้านบาท เพื่อขึ้นแสดงในปาร์ตี้วันเกิดของหลานสาวมหาเศรษฐีชาวตะวันออกกลางด้วย
การต่อยอดรายได้จากธุรกิจเพลง สู่ธุรกิจด้านอื่น
หลังจากที่ศิลปินฮิปฮอปหลายคนได้สร้างชื่อเสียงจากผลงานเพลงแล้ว พวกเขาก็มักจะถูกทาบทามโดยสินค้าแบรนด์ต่างๆ เพื่อให้ทำสินค้ารุ่นพิเศษออกมา โดยสินค้าหลายๆชิ้นนั้นก็ประสบความสำเร็จอย่างมากในวงกว้าง อย่างเช่นการร่วมงานของ 50 cent และ แบรนด์เครื่องดื่ม Vitamin water หรือการร่วมงานของ คานเย เวสต์ กับแบรนด์กีฬาและสตรีทแวร์ Adidas ที่กลายเป็นเรื่องฮือฮาของวงการแฟชั่นทั่วโลกเมื่อปีที่ผ่านมา และศิลปินเองก็จะได้ส่วนแบ่งรายได้จากยอดขายสินค้าเหล่านี้ด้วย
คลิกฟังเพลงของ 50 cent ได้ที่นี่ สำหรับผู้ฟัง JOOX VIP
แต่ทว่าความสำเร็จทางธุรกิจของศิลปินฮิปฮอปหลายๆคน ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น เพราะหลายๆคนก็ได้นำชื่อเสียงและแบรนด์ของตัวเองไปต่อยอดเป็นธุรกิจของตัวเองด้วย อย่างเช่น Dr Dre ศิลปินฮิปฮอปยุค 90s ทำสร้างเเบรนด์หูฟังและเครื่องเสียง BEAT ขึ้นมาจนเป็นกระแส Talk of the town ก่อนที่จะขายกิจการให้บริษัท Apple เป็นจำนวนเงินสูงถึง 3 พันล้านยูเอสดอลลาร์ ซึ่งเท่ากับ 1 แสนล้านบาทไทยในปี 2557
คลิกฟังเพลงของ Dr Dre ได้ที่นี่ สำหรับผู้ฟัง JOOX VIP
ศิลปินฮิปฮอปอย่าง โจอี้ บอย ก็เป็นอีกแร็ปเปอร์ที่ทำธุรกิจควบคู่กับงานเพลง
ผลงานในวงการบันเทิง ที่นอกเหนือจากธุรกิจเพลง
ถึงแม้ว่าศิลปินตะวันตกส่วนใหญ่มักจะยึดมั่นในการทำงานเส้นทางดนตรีที่ตัวเองรัก แต่ก็มีศิลปินหลายๆคนที่ตัดสินใจนำชื่อเสียงของตัวเองไปต่อยอดในการทำงานด้านอื่นในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นผลงานการแสดงหรือเรียลลิตี้โชว์ จนทำให้ศิลปินหลายๆคนได้แฟนคลับกลุ่มใหม่ และได้รายได้ที่คาดไม่ถึง อย่างเช่นศิลปินฮิปฮอปอย่าง ลูดาคริส ที่ได้รายรับจำนวนมากจากการแสดงภาพยนตร์ชุด Fast and Furious
คลิกฟังเพลงของ Ludacris ได้ที่นี่ สำหรับผู้ฟัง JOOX VIP
เรียกได้ว่าการเป็นศิลปินฮิปฮอปนั้น นอกจากจะเป็นงานที่สนุกแล้ว ยังสร้างรายได้ที่เปลี่ยนชีวิตศิลปินหลายๆคนให้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือด้วย แต่กว่าที่ศิลปินเหล่านี้จะประสบความสำเร็จนั้นพวกเขาก็ต้องทำงานหนักและค้นหาตัวเองเป็นเวลานาน จนสามารถสร้างตัวและประสบความสำเร็จทุกวันนี้ และกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังได้สร้างความสำเร็จของตัวเอง
Story : LEGENDARYPEPPER
ขอบคุณภาพจาก Getty images
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ