5 ศิลปินเปลี่ยนแนวเพลงจนแฟนเพลง(เกือบ)จำไม่ได้
เชื่อว่าชีวิตครั้งหนึ่งของแฟนเพลงที่เป็นสาวกตัวยงของศิลปินที่ชอบ จะต้องมีอาการ “ช็อค” กับการเปลี่ยนแปลงของศิลปินตัวเองไปบ้างไม่มากก็น้อย บางคนเปลี่ยนแค่รูปลักษณ์ภายนอก ทรงผม การแต่งหน้าแต่งตัว เปลี่ยนแฟนเปลี่ยนครอบครัว แต่บางคนก็ถึงขั้นเปลี่ยนแนวเพลงจนคนที่ตามมาตั้งแต่อัลบั้มแรกอยู่ดีๆ ก็เกิดอาการ “เคว้ง” จนงงไปหมดว่า เรามาถึงจุดๆ นี้ได้ยังไง
แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป ตัวศิลปินเองก็ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านประสบการณ์ใหม่ๆ ตลอดการเดินทางมากมาย อิทธิพลในการทำเพลงก็อาจจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลาเช่นกัน ดังนั้นผลงานเพลงที่เปลี่ยนไป จึงสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเขาและเธอได้อย่างชัดเจน แต่ในมุมมองของแฟนเพลง บางครั้งเราก็คาดหวังว่าจะได้เสพผลงานในแบบที่เคยทำให้เราหลงรักเหมือนอย่างในอดีต
เธอคนนี้เราขอยกเอาไว้เป็นเบอร์แรกๆ เพราะค่อนข้างชัดเจนพอสมควร จากที่เคยเข้าชิงรางวัลในสาขาเพลงคันทรี่ย์ อยู่ดีๆ อีกปีถัดไปก็ไปเข้าชิงเพลงป็อบเสียอย่างนั้น จนตอนหลังๆ คิดไปแนวป็อบแดนซ์จนจะอิเล็คทรอนิกอยู่แล้วด้วยซ้ำ แต่ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงของเธอเป็นเรื่องที่ดี ดีมากๆ เลยด้วย
แฟนเพลงที่คิดถึงสาวคันทรี่ย์อาจจะเสียดายลุคสาวน้อยบ้านนาใสซื่อ ที่เล่าเรื่องต่างๆ ของชีวิตตัวเองผ่านบทเพลงที่ฟังแล้วเหมือนชีวิตของใครหลายๆ คน อย่าง “You Belong With Me” “Today Was A Fairytale” หรือเพลงฮิตอย่าง “Love Story” และอีกหลายๆ เพลง ทำให้สาวเทย์มี signature ของตัวเองอย่างชัดเจนในภาพลักษณ์สาวน้อยเดรสดอกไม้กับกีต้าร์โปร่ง
คลิกเพื่อฟัง Taylor Swift อัลบั้ม Fearless
แต่แล้วพอเธอโตขึ้น ความเผ็ดร้อนก็พุ่งขึ้นตามดีกรีความเซ็กซี่ของเธอ แน่นอนว่ามันก็มาตามอายุที่โตเป็นสาวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแหละ ไหนจะประสบการณ์ความรักโชกโชนที่เธอได้เพิ่มเติมระหว่างทางอีกล่ะ ทำให้เพลงเริ่มเข้มข้นดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็เป็นตัวแทนของสาวมั่นให้กับวัยรุ่นทั่วโลกได้เป็นอย่างดีเช่นกัน ไม่ว่าจะ “We Are Never Ever Getting Back Together” “I Knew You Were Trouble” “Blank Space” หรือเพลงที่เป็นประเด็นข้ามปีอย่าง “Bad Blood” ที่นอกจากเนื้อเพลงจะเจ็บแบบคันยิบๆ แล้ว สไตล์เพลง ภาพในมิวสิควิดีโอต่างๆ ยังเหมือนหนังคนละม้วนกับอัลบั้มแรกอย่างสิ้นเชิง
คลิกเพื่อฟัง Taylor Swift อัลบั้ม Red
คนนี้ต้องขอบอกว่าการเปลี่ยนแปลงของเขารวดเร็วพอๆ กันกับสาวเทย์เหมือนกัน จากหนุ่มผมแดงหน้าตาไม่ได้หล่อเหลาเอาการอะไร ออกจากเป็น Type ที่คนทั่วไปไม่ได้สนใจมากด้วยซ้ำ แต่เขาสะกดคนทั้งโลกด้วย “Lego House” หรือจะเป็น “The A Team” ที่ไม่ว่าใครฟังก็ต้องหลงรัก เพลงป็อบหนักแน่น กีต้าร์โปร่ง และเนื้อเพลงคมคาย ยิ่งฟังเพลงในอัลบั้มแรกของเขาไปเรื่อยๆ จะยิ่งรู้สึกว่า “คนนี้แหละ ศิลปินตัวจริง”
คลิกเพื่อฟัง Ed Sheeran อัลบั้ม +
แต่เมื่อการเวลาผ่านไป มาถึงอัลบั้มที่ 2 การเปลี่ยนแปลงก็เริ่มต้น จากเพลงแรกอย่าง “Sing” ที่ครั้งแรกที่เราได้ยินถึงขั้นนึกไปถึง Justin Timberlake ไหนจะ “Don’t” ที่แร็พอย่างโหด ซาวนด์เพลงหม่นๆ เศร้าๆ ราวกับอากาศในลอนดอน กลายเป็นเพลงย่านบรู๊คลินในนิวยอร์คแทน เรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว สิ่งที่เยียวยาใจแฟนเพลงเก่าๆ อยู่ได้ คือเพลงรักหวานๆ จากเนื้อเพลงน่ารักๆ ใน “Thinking Out Loud” และ “Photograph” ที่ทำให้แฟนเพลงเก่า และแฟนเพลงใหม่มาเจอกันได้อย่างลงตัว
คลิกเพื่อฟัง Ed Sheeran อัลบั้ม X
แต่ที่กำลังลุ้นตัวโก่ง คืออัลบั้มล่าสุด ที่เปิดตัวแรงด้วยอันดับ 1 ทุกชาร์ตเพลงทั่วโลกอย่าง “Shape of You” ที่... แน่นอน บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยว่าเป็นสไตล์เพลงตามกระแสนิยมมากๆ ลายเซ็นความเป็นศิลปินใต้ดินที่เจียมเนื้อเจียมตัวอย่างในอัลบั้มแรก ได้หายไปจนหมดสิ้น ทดแทนด้วยศิลปินระดับโลกที่พกความมั่นใจมาเต็มกระเป๋า แต่ยังคงเอาใจแฟนเพลงที่ไม่ได้ชอบแนวอเมริกันจ๋ามากด้วย “Castle on the Hill” ที่ยังคงสำนึกรักบ้านเกิดได้ดี
คลิกเพื่อฟัง Ed Sheeran – Shape of You
คลิกเพื่อฟัง Ed Sheeran – Castle on the Hill
ขนาดแฟนเพลงของคุณแม่ยังออกปากพูดเองเลยว่า อัลบั้มล่าสุดของนางแป้กแน่ๆ เพราะความเผ็ดแซ่บ แสบสันต์คันยิบๆ ของนางได้หายไปจนหมด ใครที่ตามปราบปลื้มผลงานของนางเพราะเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยสีสันคัลเลอร์ฟูล การแสดงออกที่ไม่แคร์สื่อ บ้าๆ บอๆ เพี้ยนๆ บ๊องๆ ในบางจังหวะ แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ และความเป็นศิลปิน ทำให้สาวกาก้าขึ้นแท่นเป็นคุณแม่คนโปรดของเหล่าสาวแท้สาวเทียมมากมาย แต่ละเพลงฟังแล้วปลุกความเป็นตัวของตัวเองให้พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไม่น่าอัศจรรย์ ไม่เชื่อลองฟัง “Just Dance” “Poker Face” “Born This Way” หรือ “Bad Romance” ดูสิ
คลิกเพื่อฟัง Lady Gaga อัลบั้ม The Fame Monster
คลิกเพื่อฟัง Lady Gaga อัลบั้ม Born This Way
แต่มาอัลบั้มล่าสุด Joanne ที่ความแซ่บของคุณแม่หายไปจนเกือบหมดเกลี้ยง ลุคบ้าๆ บอๆ หลุดโลกที่เหล่าแฟนเพลงเคยปลาบปลื้มก็หายไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงแต่เพลงป็อบแดนซ์ที่ใส่พริกป่นลงไปแค่ปลายช้อน ความแซ่บแบบพริกขี้หนูที่ยกมาทั้งสวน (รวมถึงสวนข้างๆ) หายไปโดยสิ้นเชิง แม้จะยังพอมีบางเพลงที่พอจะเรียกความเท่ความเปรี้ยวออกมาให้เราได้ดูอยู่บ้างอย่าง “John Wayne” หรือ “A-Yo” แต่เพลงเปิดตัวอย่าง “Perfect Illusion” และ “Million Reasons” เหมือนเป็นเพลงของศิลปินป็อบที่ไม่ได้มีนามสกุลเก๋ๆ ว่า กาก้า เลย
คลิกเพื่อฟัง Lady Gaga อัลบั้ม Joanne
แต่ก็ต้องยอมรับว่าวิญญาณในการเป็นศิลปินของคุณแม่ยังคงอยู่ เพลงแซ่บน้อยลงก็จริง แต่การแสดงสดของเธอยังคงสะกดคนทั้งโลกอยู่ได้เหมือนเดิม บารมีของคุณแม่ยังคงเรียกลมเรียกฝนจนบัตรคอนเสิร์ตใน World Tour ของเธอหมดเกลี้ยงภายในเวลาไม่กี่นาที คราวนี้ก็ต้องดูต่อไปว่าผลงานต่อๆ ไปของเธอจะไปในแนวไหนอีก
แน่นอนว่าเราไม่ได้พูดถึงสมัย Kara’s Flowers หรอก เพราะนั่นยังไม่ใช้ต้นกำเนิดของ Maroon 5 เราขอนับตั้งแต่ “This Love” กับ “She Will Be Love” ดีกว่า ถ้ายังคงจำกันได้ดี เพลงป็อบแสนเท่ของพวกเขาทำเอาสาวๆ ตกลงหลุมรักกันเป็นแถวๆ รวมไปถึงหนุ่มๆ ที่มองว่าวงนี้แหละฮีโร่เลย อยากเป็นให้ได้อย่าง Maroon 5 สุดๆ รวมไปถึงเพลงเท่ๆ อย่าง “Harder to Breathe” และเพลงป็อบฟังสบายผู้หญิงฟังได้ผู้ชายฟังดีอย่าง “Sunday Morning” ทำให้อัลบั้มแรกของพวกเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนกลายเป็นเหมือนอัลบั้มสามัญประจำบ้านของใครหลายคน
คลิกเพื่อฟัง Maroon 5 อัลบั้ม Songs About Jane
การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นขึ้นจากอัลบั้มที่ 2 นี่แหละ ที่แนวดนตรีเริ่มออกแนวแดนซ์เอาใจวันรุ่นอาร์ซีเอมากขึ้น จังหวะโจ๊ะๆ กับดนตรีที่ติดหูง่ายอยู่แล้วของพวกเขา ทำให้แฟนเพลงเก่าที่แม้ว่าจะระแคะระคายอยู่บ้าง แต่ก็ยังพอรับได้ แถมยังได้ขยายฐานแฟนเพลงกว้างขึ้นอีกเยอะ แค่ “Makes Me Wonder” “Wake Up Call” “If I Never See Your Face Again” ก็เปรี้ยวล้ำไปเยอะเกินความเท่ไปแล้ว จากผู้ชายเสื้อยืดกางเกงยีนส์รองเท้าผ้าใบ กลายเป็นผู้ชายเรโทรที่เต็มไปด้วยรอยสักเก๋ๆ เสยผมเป๊ะ แจ๊กเก็ตหนังแบรนด์เนม และรองเท้าหนังไปเรียบร้อย
คลิกเพื่อฟัง Maroon 5 อัลบั้ม It Won’t Be Soon Before Long
สานต่อลุคผู้ชายเมโทรด้วยอัลบั้มที่ 3 ที่เปิดตัวด้วย “Misery” ที่เหมือนภาคต่อของ “Makes Me Wonder” นั่นแหละ เดินหน้าต่อด้วยแนวเพลงป็อบ (ไปทางแดนซ์) และเพิ่มฐานแฟนเพลงได้อย่างต่อเนื่อง และเหมาะเจาะ มาถึงจังหวะนี้ใครที่ยังยึดติดกับอัลบั้มแรก คงโบกมือลากันไป แต่ Maroon 5 หาได้แคร์ไม่ เพราะ ณ วินาทีนี้พวกเขาได้แฟนเพลงหน้าใหม่มาเพียบ จะร้องเพลงเก่าก็ได้ จะร้องเพลงใหม่ก็รอด นั่นทำให้สุดท้ายแล้วเพลงอย่าง “Moves Like Jagger” ตีตลาดนักท่องเที่ยวกลางคืน กลายเป็นเพลงประจำผับไม่ได้ในที่สุด
คลิกเพื่อฟัง Maroon 5 อัลบั้ม Hands All Over
ต่อจากนี้ก็กลายเป็นวิธีแดนซ์อย่างเต็มตัวของ Maroon 5 ทั้ง “One More Night” “Payphone” “Daylight” หาฟังได้ตามสถานบันเทิงทั่วไปในไทย และประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงอัลบั้มต่อมาที่แดนซ์อย่างต่อเนื่องกับ “Maps” “Animals” หรือ “Sugars” แต่ต้องยอมรับจริงๆ ว่า การเปลี่ยนแปลงของ Maroon 5 จะเรียกว่ามาถูกทางสุดๆ ก็คงจะใช่
คลิกเพื่อฟัง Maroon 5 อัลบั้ม V
ปิดท้ายด้วยการเปลี่ยนแปลงชนิดที่ดำเป็นขาวที่สุดในรอบหลายปีของวงร็อคนูเมทัลอิเล็คทรอนิกขวัญใจวัยรุ่นชาวไทยมานานนับสิบปีอย่าง Linkin Park ที่เอาใจวัยรุ่นขาร็อคไปได้อย่างง่ายดายตั้งแต่ซิงเกิลแรก นับจากนั้นไม่ว่าจะปล่อยออกมาอีกกี่เพลงก็ฮอตฮิตติดลมบนจนติดอันดับท็อปๆ ของชาร์ตเพลงในวิทยุทั้งคลื่นเพลงไทย และเพลงสากลไปได้อย่างง่ายดาย จนจะเรียกว่าเป็นปรากฎการณ์ใหม่ในวงการเพลงสากลในบ้านเราขณะนั้นเลยก็ว่าได้ เป็นวงที่เรียกว่าเป็นแนวอัลเทอร์เนทีฟได้อย่างชัดเจน เพราะการผสมผสานดนตรีหนักๆ อย่างร็อค เข้ากับเสียงร้องที่มีทั้งแร็พ ทั้งว๊าก ทั้งเสียงใสๆ ปกติ และยังมีซาวนด์อิเล็คทรอนิกเพิ่มความเก๋เข้ามาอีก ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ของแฟนเพลงไทยในยุคนั้นมาก ต่างคนต่างร้องเพลง “In The End” “Crawling” และ “One Step Closer” โดยแทบไม่ต้องเปิดเนื้อเพลงดูเลยด้วยซ้ำ
คลิกเพื่อฟัง Linkin Park อัลบั้ม Hybrid Theory
หลังจากที่แฟนเพลงไทยครอบครองอัลบั้มแรกกันครบถ้วนแล้ว ก็มาเฮกันต่อที่อัลบั้ม 2 ที่ยังคงความเท่เอาไว้เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีชื่อเสียงโด่งดังแบบคูณสอง ทั้ง “Somewhere I Belong” “Numb” “Faint” และ “Breaking the Habit” เป็นเพลงโปรดของแฟนเพลงทุกคนตั้งแต่ได้ฟังครั้งแรก
คลิกเพื่อฟัง Linkin Park อัลบั้ม Meteora
การเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ แม้ว่าเพลงจะยังคงร็อคหนักแน่นเหมือนเดิม แต่แฟนเพลงหูเทพบางคนเริ่มเห็นถึงความ “ป็อบ” ที่เริ่มเข้ามามีบทบาทในแต่ละเพลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม “What I’ve Done” “Leave Out All The Rest” “Bleed It Out” หรือ “Shadow of the Day” ก็ยังทำได้ดีในมาตรฐานของ Linkin Park คนเดิมที่แฟนเพลงยังคงรับได้
คลิกเพื่อฟัง Linkin Park อัลบั้ม Minutes to Midnight
และแล้วเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง เมื่อการเข้ามาของ “The Catalyst” “Waiting for the End” “Burning in the Skies” และ “Iridescent” ทำเอาแฟนเพลงที่อยากจะโยกหัว ตะโกนร้องเพลงจนคอแตกต้องสะดุดขาตัวเองดังกึ้กใหญ่ๆ เมื่อดนตรีร็อคหนักๆ เบสแน่นๆ แบบที่เปิดแล้วลำโพงสะเทือนหายไปมากกว่า 70% ที่ยังเหลือคือเสียงร้องตะโกนมันๆ กับซาวนด์อิเล็คทรอนิกล้ำๆ เท่ๆ ยังคงอยู่ แต่นั่นทำให้คำจำกัดความว่าร็อคนูเมทัลแทบจะใช้อธิบายวงนี้ไม่ได้เสียแล้ว
คลิกเพื่อฟัง Linkin Park อัลบั้ม A Thousand Suns
อย่าให้ต้องพูดถึงอัลบั้มถัดไปเลย เพราะดูเหมือนว่าความร็อคค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลา ความป็อบเข้ามาแทนที่ บวกเสริมเพิมเติมด้วยซาวนด์อิเล็คทรอนิกที่ดูจะแมสมากกว่าเท่ ลายเซ็นของ Linkin Park ที่ฟังปุ๊บรู้ปั๊บค่อยๆ บางเบาในแต่ละเพลงที่เปิดฟัง มาถึงจุดนี้แฟนเพลงขาจรโบกมือลาไปหลายราย แฟนเพลงพันธุ์แท้ก็ต้องอาศัยความเข้าใจ และยอมรับในการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะเอนจอยกับผลงานจากศิลปินที่พวกเขารักได้ต่อไป ยิ่งซิงเกิลล่าสุดอย่าง “Heavy” ที่ดนตรีบางเบาฟังสบายราวกับเพลงป็อบจากศิลปินหน้าใหม่ที่ไหนก็ไม่รู้ ทำให้เอกลักษณ์ของ Linkin Park หายไปโดยสิ้นเชิง
คลิกเพื่อฟัง Linkin Park – Heavy
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ จากศิลปินที่เราติดตามมาอย่างยาวนาน และเชื่อว่ายังคงมีการเปลี่ยนแปลงของศิลปินที่ช็อคแฟนเพลงมากกว่าทั้ง 5 ศิลปินที่เรายกตัวอย่างมาอีกมากมายแน่นอน ศิลปินย่อมไม่อยากเดินย่ำอยู่กับที่ แต่การเดินก้าวกระโดดที่เป็นก้าวที่ใหญ่เกินไป อาจทำให้แฟนเพลงที่ก้าวตามอยู่ข้างหลังก้าวตามไม่ทัน บางส่วนตั้งสติแล้วพยายามก้าวให้ทัน แต่บางส่วนอาจจะมองว่าเป็นก้าวที่ใหญ่เกินไป และหันกลับไปตามทางเดิม หรือเลือกที่จะก้าวไปข้างซ้ายข้างขวาแทน
คราวนี้ก็อยู่ที่ศิลปินแล้วล่ะ ว่าจะเลือกแบบไหน เลือกตัวเอง หรือเลือกแฟนเพลง
____________________
Story : Jurairat N.