อะตอม ชนกันต์ กับความสุขและความเศร้าเบื้องหลังเพลงฮิตร้อยล้านวิว
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ชื่อของศิลปินดาวรุ่งอย่าง อะตอม - ชนกันต์ รัตนอุดม กลายเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงที่น่าจับตามองมาก เพราะผลงานเพลง Please และ อ้าว ของเขาขึ้นอันดับ 1 คลื่นวิทยุเกือบทั่วประเทศ และทำสถิติยอดวิวที่ทะลุหลักร้อยล้านวิวอย่างรวดเร็ว เมื่อทีมงาน Sanook! Music เองได้มีโอกาสพูดคุยกับอะตอมถึงเพลง อยู่นี่ไง งานเพลงล่าสุดของเขา เราจึงถามถึงเรื่องราวและความคิดที่อยู่เบื้องหลังเพลงฮิตของเขา
ผลงานเพลงใหม่ อยู่นี่ไง มีจุดเริ่มต้นอย่างไร
อะตอม : ตอนนั้นทางค่ายติดต่อมาว่า มีแคมเปญทำเพลงเกี่ยวกับความสุขขึ้นมา ผมก็เลยตีว่าความสุขของอะตอมเป็นแบบไหน เพราะคิดว่าเป็นมุมที่ทำให้คนได้เห็นความสุขของอะตอมบ้าง หลังจากช้ำมาหลายเพลงเหลือเกิน ก็เลยเขียนเพลงนี้ขึ้นมาจากความรู้สึกที่อยู่ใกล้ครอบครัว หรือเพื่อนสนิท เพราะช่วงที่ผ่านมาเรามีเวลากับพวกเขาน้อยมาก เลยรู้ว่าพวกเขาสำคัญกับเราขนาดไหน ถ้าความสุขแบบนี้อยู่ตรงหน้าทุกวัน ก็อาจจะดูไม่มีความหมายเพราะเราชิน แต่พอออกมาทัวร์คอนเสิร์ตและไม่ค่อยได้กลับบ้าน ได้กลับแค่เดือนละ 2-3 ครั้ง ก็กลายเป็นคิดถึงบรรยากาศที่อยู่กับคนที่บ้านมาก เลยเป็นที่มาของเพลงนี้ว่าบางทีการออกไปข้างนอกอาจไม่เติมเต็มเหมือนเวลาได้อยู่กับคนที่รัก หรืออะไรที่ใกล้ตัว เพลง อยู่นี่ไง เลยเป็นการพูดถึงความสุขที่อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง
เวลาออกมาเดินทางหรือทัวร์ อะตอมได้คุยกับครอบครัวบ้างไหม
อะตอม : โทรคุยเรื่อยๆ ครับ และมีกรุ๊ปไลน์กับเพื่อนและที่บ้าน แต่มันไม่เหมือนนอนสบายๆ อยู่บ้าน อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ครอบครัว เล่นกับสุนัขที่บ้าน มันเป็นอะไรที่เราคิดถึงมากในช่วงที่ผ่านมาครับ
ช่วงที่ผ่านมา อะตอมทำเพลงเศร้ามาตลอด การแต่งเพลงที่พูดถึงความสุขมีอะไรแตกต่างบ้างไหม
อะตอม : ก็ต่างครับ แต่เราไม่ได้ทำเพลงเศร้ามาตั้งแต่ต้น เพราะมีเพลงที่ไม่เกี่ยวกับความรักและเพลงที่พูดถึงความสุข แต่ช่วงที่ปล่อยเพลง เราอยากนำด้านที่ถนัดไปเจอกับผู้ฟัง เลยนำเพลงเศร้าออกไปก่อน เป็นเซ็ทเพลงที่เตรียมไว้ เพลงนี้ก็จะต่างออกมาหน่อย ส่วนการเขียนเพลงนี้ มันไม่ยากเพราะเราเคยเขียนเพลงแนวนี้มาแล้ว แต่อาจจะต้องเกลา และมีโจทย์กว้างๆ จากความสุข มันไม่ตีกรอบเรามาก เราก็ได้เรื่องจากการห่างจากที่บ้านมานาน ก็เลยเป็นเพลงนี้
ปกติเพลงก่อนหน้านี้ของอะตอมจะเป็นเพลงที่แต่งไว้นานแล้ว เรามีวิธีเลือกอย่างไรว่าจะเอาเพลงไหนออกมาโปรโมท
อะตอม : ใช้ความรู้สึกครับ คือถ้าเราได้อยู่กับตัวเอง เวลาว่างก็จะไปนั่งร้านเอาสมุดและหูฟังไป ถ้านึกอะไรได้ก็จะจด ถ้าคิดไม่ออกก็จะทวนของเก่า บางทีเราจดอะไรซ้ำๆ มันก็จะได้อะไรใหม่ๆ ออกมา การเขียนเพลงนี่มันสำคัญมาก เพราะเป็นเวลาเราได้อยู่กับตัวเอง ส่วนเวลาเลือกเพลงเราก็จะดูว่าเพลงนี้พร้อมหรือยังที่จะออกไปหาคนฟัง บางทีเราก็จะใช้ตัวเองและคนฟังในการเดา ก็จะเอาเพลงที่เป็นตัวเอง แต่ไม่ซับซ้อนเกินไปจนคนฟังเข้าไม่ถึง นี่ก็คือหลักเกณฑ์ในการเลือกเพลงของผมครับ
ทำไมถึงคิดว่า ถ้าเลือกเพลงที่เป็นตัวของตัวเองมากเกินไปแล้วแฟนเพลงอาจจะเข้าไม่ถึงผลงานเพลง
อะตอม : อันนี้คือเป็นบาลานซ์โดยรวม อย่างถ้าทำเพลงออกมา 10 เพลง ก็ตามใจตัวเองได้สุดๆ 5 เพลง ที่เหลือควรเป็นเพลงที่จูนกับคนฟังได้ครับ เราก็อยากจะจูนกับคนฟัง เพราะถ้าปล่อยออกไปแล้วคนไม่เข้าใจก็อาจจะไม่ดี
เพลงที่อะตอมแต่ง มีทั้งเพลงที่ทำออกมาในแง่มุมของตัวเอง และแต่งจากเรื่องราวของคนอื่น มีเพลงไหนที่เป็นเรื่องราวของตัวเองบ้าง
อะตอม : 4 เพลงที่ปล่อยออกมาเป็นเรื่องของผมหมดเลยครับ ถ้าเพลงที่เป็นเรื่องคนอื่น ก็เป็นเพลงที่ทำให้คนอื่น อย่างเพลงที่แต่งให้พี่บุรินทร์ แต่ว่าเขายังไม่ได้ปล่อยออกมา ปีนี้ปีหน้าก็อาจได้ฟังกัน ส่วนเพลงที่แต่งให้คนอื่นอย่าง ปล่อย และ จม ก็เป็นเรื่องของผมเหมือนกัน
เพลงที่แต่งให้คุณบุรินทร์นี่เป็นเพลงเศร้าหรือเปล่า
อะตอม : ก็มีเพลงเศร้าครับ และมีเพลงสนุกด้วย ค่อนข้างจะหลากหลาย เป็นการทำงานที่ได้แชร์ความคิดกับคนอื่น จากที่เคยเขียนเพลงกับตัวเองอย่างเดียว พอได้อยู่กับคนอื่นและแชร์ความคิดก็เป็นอีกบรรยากาศหนึ่ง
การเขียนเพลงให้ศิลปินคนอื่นมีความท้าทายอย่างไรบ้าง
อะตอม : ก็เป็นงานที่มีโจทย์ที่ได้รับ และสิ่งที่ศิลปินเขาต้องการครับ บางทีเราแต่งเพื่อสินค้า เราต้องตอบโจทย์เขา มันก็เป็นความท้าทายอีกแบบ ซึ่งก็ดี แต่มันจะไม่เหมือนเพลงที่เราทำเสียทีเดียว เพลงที่เราทำในอัลบั้มหรือที่เป็นตัวตนเรา ก็จะเป็นเพลงที่เรื่องของเรา
เวลาที่แต่งเพลงจากเรื่องของตัวเอง คนที่อยู่ในเรื่องราวเขาฟังเพลงแล้วรู้ไหมว่าเป็นเขา
อะตอม : ก็น่าจะรู้ครับ แต่ทำอะไรไม่ได้ครับ (หัวเราะ)
ได้ยินว่าอะตอมเป็นคนที่เขียนเพลงมาตั้งแต่อยู่ ม.3 เคยนับไหมว่ามีสมุดจดเพลงกี่เล่ม
อะตอม : ถ้าไม่ใช้หมดเล่มก็จะหายครับ ผมจะไม่ยอมให้หายนอกบ้าน เพราะค่อนข้างหวง ไม่อยากให้คนอื่นเห็น ส่วนใหญ่จะหายในบ้าน คือหาไม่เจอ แต่น่าจะมีสิบๆ เล่ม เพราะเราเป็นคนชอบจด เลยจะซื้อเรื่อยๆ เวลาไปพารากอนก็จะชอบซื้อปากกาและสมุด สมัยก่อนก็จะ 2-3 วันหาย ช่วงหลังจะชอบสมุดเรียบๆ ที่ไม่มีเส้น เพราะเราชอบวาดรูปด้วย พอนึกอะไรออกและเขียนไว้ ถ้าไม่จดหรืออัดไว้ก็จะลืม จะมีสมุดติดตัวไว้ตลอดครับ สำหรับผมเวลาเขียนด้วยปากกามันจะรู้สึกดีครับ
สมัยเรียนเป็นคนที่ชอบจดโน้ตหรือเปล่า
อะตอม : คือไม่เข้าเรียนเลยครับ (หัวเราะ) ชีวิตนักศึกษากฎหมายผมไม่มีเข้าเรียนเลย การเรียนนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์เป็นการสอบปลายภาค 100% ไม่มีมิดเทอม คือไม่ต้องเตรียมสอบกลางเทอมและเช็คชื่อ ตกเป็นตก ผ่านเป็นผ่าน เราเลยไม่เข้าเรียนเลย แต่จะอ่านหนังสือเยอะมากช่วงเดือนสุดท้ายก่อนสอบ ก็ใช้ชีวิตแบบนี้มา 4 ปี โชคดีที่ผ่านมาได้ครับ
การเรียนด้านกฎหมายมีส่วนช่วยในการเขียนเพลงบ้างไหม
อะตอม : ช่วยนะครับ เพราะการเรียนกฎหมายมันจะมีคำเชื่อมและการคิดเป็นขั้นเป็นตอน แล้วมันก็ส่งผลกับการให้เหตุผลในเนื้อเพลง ถ้าฟังเพลงผมจะเห็นว่า เป็นแบบนี้เพราะอะไร อะไรเกิดมาก่อน การใช้เหตุผลมันเข้าไปอยู่ในความคิดโดยไม่รู้ตัว ความคิดแบบนักกฎหมายทำให้กลายเป็นคนที่ละเอียดอ่อนกับการใช้คำมากขึ้น ถ้าอ่านประมวลกฎหมายจะได้เห็นคำโบราณเยอะมาก เพราะกฎหมายมันถูกตราถูกแก้มาหลายยุคหลายสมัย มันทำให้เราละเอียดและลึกซึ้งกับการใช้คำ เราเลยจะให้น้ำหนักกับคำเชื่อมเล็กๆ น้อยๆ มาก
แล้วคำว่า "อ้าว" ที่กลายเป็นเพลงนี่มีที่มาจากไหน
อะตอม : ผมชอบหยิบเอาคำที่คนพูดบ่อยๆ มาใช้ อย่าง ทางของฝุ่น อันนี้มาจากคำแก้ตัวในละคร หรือในยุคพ่อแม่ที่แซวกันเล่นว่า ฝุ่นเข้าตา แต่จริงๆ คือเป็นคำซ่อนคำเจ็บปวด เป็นความรู้สึกที่เจ็บมาก แต่ไม่อยากให้คนที่รักมากังวล เพลง อ้าว ก็เช่นกัน ตอนที่ปล่อยออกมาถึงได้รู้ว่าคนพูดคำว่า อ้าว และตามด้วยคำว่า เฮ้ย เกือบทุกวันในชีวิตจริง คือเราพูดคำนี้บ่อย แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นใช้หรือเปล่า เพลงนี้ก็เป็นเรื่องของคนที่ถูกทิ้งและกลับมา แล้วเราก็รู้สึกว่า “เคยคุยกันแล้วนี่หน่า ทำไมมาแบบนี้แหละ" เลยเป็นเพลง อ้าว ครับ คือคำแบบนี้เราใช้บ่อยมาก อย่างเจอเพื่อนที่ไม่เจอกันนานก็พูดว่า “อ้าวเฮ้ย”
ทั้งที่บุคลิกเป็นคนง่ายๆ สบายๆ แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณถนัดทำเพลงที่บรรยายความเศร้าออกมา
อะตอม : มันเป็นการทำงานที่เราถนัดมากกว่า คือเราเป็นตัวเอง บางทีมันคนละแบบกับการทำงาน มันโฟกัสคนละแบบ เวลาพูดคุยมันสบายๆ แต่พอทำงานสิ่งที่ชอบก็จะเป็นอีกโลกนึง ก็ไม่แน่ใจว่าทำไมชอบเขียนเพลงเศร้า เราเองก็เจอความเศร้ามาระดับหนึ่ง แต่คนอื่นเขาก็เจอมาเหมือนกัน แต่อาจจะไม่อินกับการเขียนเพลงเศร้า มันก็เป็นความชอบของผม พอฝึกฝนบ่อยๆ พัฒนาไปก็เป็นสิ่งที่ชอบทำ แต่ตอนนี้ก็มีเพลง อยู่นี่ไง มาเบรกความเศร้าแล้วครับ
นักเขียนบางคนเวลาเขียนเรื่องเศร้า มันจะกระทบความรู้สึก เวลาคุณเขียนเพลงเศร้า เคยโดนความรู้สึกนี้กัดกินบ้างไหม
อะตอม : คือผมชอบกลับไปอยู่เวลาเศร้าๆ ของตัวเอง คือถ้าคนเพิ่งเจ็บจากความรัก มันจะเปราะบาง แค่แหย่หรือโดนกระทบ มันก็เจ็บได้ ดูทีวีบางทีก็โดนสะกิดอารมณ์ได้ คือมันเหมือนตอนที่รักกันใหม่ๆ ที่หวิวๆ บางทีการกลับไปในความรู้สึกนั้นมันก็ทำให้เราเขียนเพลงได้ คือผมชอบที่จะกลับไปความรู้สึกได้ มันช่วยเราตอนทำงานได้ แต่บางทีการเจออะไรใหม่ๆ ในชีวิตก็ช่วยได้เหมือนกัน
คุณมีวิธีจัดการความเศร้าที่เจออย่างไร
อะตอม : วิธีจัดการกับความเศร้าตอนนี้ก็คือการทำงาน เวลาออกไปก็จะเจอคนเยอะ คนที่หวังดี แฟนเพลงที่เข้าหาด้วยความรักและชื่นชม เราไม่คิดว่าจะได้ความรู้สึกแบบนี้ มันก็เติมเต็มเราได้ แต่ถ้าเป็นสมัยก่อนก็คือเพื่อน อย่างที่บอกว่าการทำงานทำให้เราเจอเพื่อนและครอบครัวน้อยลง แต่ช่วงที่ไม่มีงานการอยู่กับคนที่เรารักมันก็ช่วยได้ครับ
อะไรคือจุดเด่นและลายเซ็นในการแต่งเพลงของอะตอม
อะตอม : ทุกวันนี้ยังไม่รู้เลยครับ (หัวเราะ) ต้องให้คนฟังบอก เพราะเรามีความหลากหลายเยอะ อาจจะการใช้คำหรือการเรียงเหตุผลที่เป็นตัวเรา ผมจะใช้คำที่เรียบง่ายแต่รู้สึกเยอะ เป็นคำที่ผมชอบ และการใช้เหตุผล เพลงของผมจะไม่ซับซ้อน ผมไม่อยากทำเพลงให้มันหรูหรา แต่สุดท้ายข้างในออกมากลวง ก็จะเน้นใช้คำที่ง่าย แต่รู้สึกเยอะ
แฟนเพลงจะเห็นอะตอมมากับเพลงป๊อปตลอดเวลา เคยอยากลองเขียนเพลงร็อก หรือเพลงที่จังหวะเร็วๆ บ้างไหม
อะตอม : ยังไม่แน่ใจครับ ถ้าเป็นตัวผม เพลงร็อกก็อาจจะไม่ใช่ เพลงเร็วนี่ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ คือในตัวผมการเป็นป๊อปมันพ่วงมากับโซลอยู่แล้ว ทั้งอาร์แอนด์บี โซล บลูส์ เป็นดนตรีที่ผมชอบ คือผมผ่านยุคเพลงร็อกและเพลงแดนซ์มาแล้วในฐานะคนฟัง เคยแต่งดำทั้งตัวและเจาะปาก ผ่านช่วงที่เพลงที่ฟังทุกเพลงต้องมีเสียงว้าก แล้วก็ฟังเมทัล จนกระทั่งหาสิ่งที่ชอบเจอและมาอยู่ตรงนี้ ส่วนเพลงร็อกและเพลงแดนซ์ อาจจะมีทำถ้าเป็นฝในลักษณะทำโปรเจ็กต์กับคนอื่น แต่อาจจะไม่เป็นแนวเพลงแบบนั้นไปเสียทีเดียว อาจจะมีผสมๆ ความเป็นตัวผมบ้าง
ทุกวันนี้ยังฟังเพลงแนวเมทัลอยู่บ้างไหม
อะตอม : ไม่ฟังอีกเลยครับ (หัวเราะ) คือฟังจนพอแล้ว เลยหยุดเลยครับ ช่วงนั้นอยู่มัธยมฟังเพลงตามเพื่อนเป็นแฟชั่น แต่พอโตขึ้นมาในยุคที่เป็นนักศึกษาเราก็รู้ว่าชอบอะไร ก็จะเลือกฟังมากขึ้น
แล้วตอนนี้ฟังเพลงแนวไหนเป็นหลัก
อะตอม : ฟังเยอะมากครับ แต่หลักๆ จะฟังเพลงต่างประเทศครับ พอเราทำเพลงได้ลองโปรดิวซ์มากขึ้น การฟังเพลงสากลมันจะทำให้เรากว้างขึ้น คือดนตรีไทยมันก็รับมาจากทุกทาง เพราะถ้าไม่รับมา เราก็จะเล่นแต่ดนตรีไทยอย่างเดียว เราต้องมองให้กว้าง คือไม่ใช่เอาเพลงเขามาตัดแปะ แต่การฟังเพลงสากลทำให้เรามีวัตถุดิบ พอทุกอย่างมารวมกัน การคิดงานก็กว้างขึ้น
นักแต่งเพลงไทยคนไหนที่อะตอมชื่นชอบ
อะตอม : ผมจะมีเพลงที่ชอบของแต่ละนักแต่งเพลงอยู่แล้ว อย่างน้อย 1 เพลง แต่ชอบที่สุดคงเป็นพี่ดี้ - นิติพงษ์ ผมเองก็เพิ่งมารู้ว่าทุกเพลงที่ชอบตั้งแต่เด็กๆ คือเพลงของพี่เขา ล่าสุดพี่ดี้มามอบรางวัลให้ผมที่งานประกาศรางวัล JOOX Awards ผมก็ตื้นตันมาก ถึงขั้นไม่กล้าพูดกับพี่เขาเลย
ก่อนหน้านี้อะตอมเคยพูดว่า การแต่งเพลงนั้นทำให้ได้สัมผัสชีวิตคน อะไรคือเหตุผลที่ทำให้คุณคิดแบบนี้
อะตอม : มันจะมีสักกี่อาชีพที่เรื่องของผมได้เป็นเรื่องคนอื่น มันได้จูนกัน เหมือนผลิตสินค้าแล้วไปได้ทุกที่ คือผลิตขวดน้ำหน้าตาแบบนี้ รสชาติแบบนี้ มาจากไหนไม่รู้ แต่มันได้เข้าไปอยู่ในบ้านคนทั่วไป สำหรับผมมันก็เหมือนกับว่าเราได้แชร์เพลงของเรา ซึ่งก็คือเรื่องของเรา กับคนฟังที่ไม่รู้จักกัน แต่ผมได้เข้าไปอยู่ในชีวิตเขา วันที่เขาอกหักเขาอาจจะฟังเพลงผมแล้วเปิดฝักบัวร้องไห้ในห้องน้ำ มันเป็นความรู้สึกดีที่ได้เข้าไปอยู่ในชีวิตเขาครับ
ได้ยินว่าครอบครัวของอะตอมสอนให้มองโลกในแบบผู้ใหญ่ หมายความว่าอย่างไร
อะตอม : ใช่ครับ ส่วนใหญ่จะเป็นคุณแม่สอน คุณแม่ผ่านอะไรมาเยอะ เลยสอนให้เราไม่ได้มองโลกในแง่ดีจนเกินไป คือไม่ได้มองโลกในแง่ร้ายนะ แต่ให้รู้จักและมีภูมิคุ้มกัน จะได้ไม่โดนทำร้ายหรือโดนหลอก หลายเรื่องที่ได้ยินจากเพื่อน ก็รู้ก่อนเพราะที่บ้านเล่าให้ฟัง มันก็ดีครับ ทำให้เราเข้าใจโลกเร็วกว่าคนอายุเท่ากัน และช่วยในเรื่องของความลึกซึ้งในการเขียนเพลง
เพราะผลงานเพลงที่ผ่านมาจัดว่าประสบความสำเร็จมาตลอด รู้สึกกดดันบ้างไหมเวลาทำเพลงใหม่ๆ
อะตอม : ตอนนี้ไม่ครับ คือผมเอาความรู้สึกและความกดดันออกไปบางส่วน เพราะทุกเพลงที่ทำ เราทำด้วยความรู้สึกสบายๆ คือถ้าความคาดหวังเข้ามาเบียด งานก็จะเปลี่ยน งานจะเอาใจคนฟังและความสุขของผมจะหายไป คืออยากให้คนชอบงาน แต่ถ้าเราชอบและปล่อยออกมา คนไม่ชอบจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เพราะทุกเพลงก็เหมือนคนที่มีบุคลิกคาแรกเตอร์ที่ต่างกัน คนทุกคนจะเข้ากับทุกคนไม่ได้ ทุกเพลงก็มีความต่าง จะหวังให้ทุกคนชอบทุกเพลงเหมือนกันก็ไม่ได้ ทั้งเพลงใหม่และอัลบั้มที่จะออกมาเดือนมิถุนายนนี้ครับ ตอนนี้ก็อยู่ในช่วงเลือกว่าจะเอาเพลงไหนมาใช้โปรโมตเพลงแรก ส่วนเพลงในอัลบั้มเลือกไว้เรียบร้อยแล้ว
ตั้งแต่เป็นศิลปินและแต่งเพลงมา มีเพลงไหนที่เป็น “ลูกรัก” ของคุณไหม
อะตอม : เพลง Please ครับ เพลงนี้เป็นลูกรักผมมาตลอด คือผมแบ่งให้คนฟังแรกๆ ตั้งแต่ตอนเรียนปี 1 ผ่านมา 6-7 ปีแล้ว ก็ยังเก็บไว้ในใจ ไปที่ไหนก็เล่นให้คนอื่นฟัง พอมีโอกาสก็เลยปล่อยเป็นเพลงแรก
ในฐานะที่ฟังเพลงมาตั้งแต่เด็ก เห็นการเปลี่ยนแปลงจากเทป ซีดี สู่ยุคดิจิทัล อะตอมคิดอย่างไรกับการเปลี่ยนแปลงนี้
อะตอม : ผมทันช่วงปลายยุคเทปครับ ได้เห็นเทปค่อยๆ หายไป กลายเป็นซีดี ก็ตื่นเต้นครับ คือมีวันหนึ่งที่โละเทปที่เก็บไว้เพราะไม่มีใครเล่นแล้ว แล้วพอจากซีดีมาดิจิทัล มันเริ่มรู้สึกจากการเปลี่ยนจากอะไรที่จับต้องได้ไปเป็นดิจิทัล คือสมัยก่อนนี่ซื้อบ่อย พวก MP3 ก็เคยซื้อ แต่พอมาทำงานก็รู้สึกว่ามันทำลายกำลังใจคนทำงาน เพราะการเป็นเพลงแต่ละเพลงมันไม่ง่าย มันเจ็บใจจริงๆ ตอนนั้นเด็กมาก ก็อยากขอโทษคนที่อยู่ในแผ่น MP3 นะครับ ยุคนั้นธุรกิจก็เป๋ไป แต่ตอนนี้มันก็เปลี่ยนจากที่โดนบังคับให้เสียเงิน ตอนนี้ก็ฟังฟรีได้ ช่วงฟังฟรีกันหมดแรกๆ ก็แย่ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าที่ทาง เพราะมีแอปฯ ฟังเพลงสตรีมมิ่งอย่าง JOOX และแอปฯ อื่นๆ ก็เป็นช่องทางในการสนับสนุนศิลปินมากขึ้น ทำให้ดีขึ้นมากครับ
ล่าสุดอะตอมได้รางวัล JOOX Awards มา 5 รางวัล ได้รางวัลเยอะขนาดนี้ เอาไปเก็บไว้ที่ไหน
อะตอม : อยู่หน้าทีวีที่บ้านครับ ก็วางบังทุกอย่างหน้าทีวี วันนั้นตื้นตันมาก เพราะเข้าชิง 6 รางวัล เราก็คิดว่า ได้สักรางวัลคงดี ตอนนั้นคิดว่าเพลงฮิตติดผับน่าจะได้เพราะคะแนนเยอะมาก แต่สุดท้ายได้มา 5 รางวัล ตอนรางวัลท้ายๆ คือพูดไม่ถูกแล้ว ก็ขอบคุณผู้ฟัง และขอบคุณ JOOX ที่พาเพลงของผมออกไปเจอผู้ฟังครับ
ประสบความสำเร็จระดับนี้ เคยมีเด็กๆ รุ่นใหม่มาถามเคล็ดลับความสำเร็จบ้างไหม
อะตอม : มีครับ มีถามว่าแต่งเพลงอย่างไร เริ่มอย่างไร บางอย่างเรารู้ บางอย่างไม่รู้ เราก็บอกเขาไปตรงๆ ว่า พี่ไม่รู้เหมือนกัน ก็ดีใจที่เขามาถาม เราเห็นความตั้งใจในแววตาเขา ก็ให้กำลังใจไปครับ
ตอนช่วงแรกที่ยังไม่มีผลงานออกมา เคยรู้สึกลังเลไหมว่าเราอาจจะต้องไปทำอาชีพอื่น
อะตอม : มีครับ แต่ก็มีแผนสองตลอด แผนสองคือไปทำงานกฏหมาย ซึ่งเป็นแผนสองที่เราอยากจะหลีกเลี่ยง แต่เราก็ทำเพลงออกมาได้ด้วยดี คงทรมานถ้าเราต้องไปทำงานกฎหมายครับ
เป้าหมายสูงสุดในการเป็นศิลปินของอะตอมคืออะไร
อะตอม : ผมอยากสร้างบรรยากาศที่ดีในวงการเพลงไทย อยากเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เสน่ห์วงการเพลงไทยกลับมา และสร้างค่านิยมในการฟังเพลงที่ดีของคนรุ่นใหม่ ตอนนี้วงการเพลงไทยคึกคักมาก เพลงใต้ดิน เพลงฮิปฮอป เพลงอินดี้ ก็ขึ้นมา ทำให้ผมยินดีที่ได้มาอยู่ในวงการเพลงยุคนี้ ผมอยากเป็นคนนึงที่ช่วยปรับค่านิยมในการฟังเพลงให้กับเด็กรุ่นต่อไป
เรียกได้ว่าสิ่งที่ทำให้ อะตอม ชนกันต์ ประสบความสำเร็จนั้น ก็คือแนวคิดของเขา ที่ได้รับประสบการณ์และอิทธิพลมากมาย จนทำให้เขาทำผลงานเพลงฮิตออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงอัลบั้มใหม่ที่กำลังจะออกมากลางปีนี้ ซึ่งทาง Sanook! Music จะนำเรื่องราวของอัลบั้มใหม่ของ อะตอม มาอัพเดทให้ทุกคนได้ชมกันแน่นอน
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ