แอมมี่ The Bottom Blues เปิดใจ! ชีวิตที่เกือบพังเพราะข่าว ก่อนประสบความสำเร็จครั้งใหม่
ถึงแม้ว่าจะเจอดราม่าเรื่องความรักกับอดีตภรรยาจนถูกแอนตี้ไปพอสมควร แต่นักร้องหนุ่มพ่อลูกอ่อน แอมมี่ The Bottom Blues ก็ได้กลับมาทำเพลงอีกครั้งจนประสบความสำเร็จอย่างมาก กับเพลง เก็บรัก และ กำแพง ที่มียอดวิวสูงมากและติดชาร์ตเพลงหลายๆชาร์ตด้วย และวันนี้ แอมมี่ ก็ได้มาเยี่ยมทีมงาน Sanook! เพื่อเล่าถึงผลงานเพลง มาม้าบอก ที่เขาทำออกมาจากเรื่องราวในครอบครัวด้วย
สองซิงเกิ้ลที่ผ่านมาของ แอมมี่ ประสบความสำเร็จมาก รู้สึกอย่างไรกับความสำเร็จของเพลงที่ทำ
แอมมี่ : ก็ดีครับ เพราะเราหายไปสองปีจากข่าวที่รุนแรง เราก็หยุดไปนาน พอปล่อยเพลง เก็บรัก และ กำแพง ก็รู้สึกดีมากกับความสำเร็จ และทีมที่เคยทำงานก็กลับมาด้วยครับ
การเป็นศิลปินเดี่ยวมันยากกว่าการเป็นวงในจุดไหนบ้าง
แอมมี่ : คือถึงเป็นศิลปินเดี่ยวแต่เนื้อร้องทำนองก็ยังเป็นเรา แต่การตัดสินใจจากที่เป็นสมาชิกวง The Bottom Blues ที่เลือกเพลงที่ชอบและโหวตกันว่าจะปล่อยเพลงนั้น พลงนี้ แต่พอเป็นศิลปินเดี่ยวเราก็ตัดสินใจเอง คือเราจะตัดสินใจในการทำงานหมด แต่ด้านการทำเพลงทุกอย่างเหมือนเดิม เพราะทุกวันนี้เพื่อนๆในวงก็ยังมาช่วยอัดเพลงอยู่ครับ
ความสำเร็จของสองซิงเกิ้ลแรก ทำให้คุณประหม่ากับงานใหม่บ้างไหม
แอมมี่ : เพลง มาม้าบอก มันเป็นงานทดลองครับ ฟังค์ชั่นมันจะต่างออกไปจาก เก็บรัก และ กำแพง เป็นการทำให้ทุกคนรู้ว่าเรายังมีเพลงสนุกสนานอยู่ ก็อยากให้ตลาดลองฟังกัน คือในตอนนี้การปล่อยเพลงช้ามันง่ายกว่า ติดหู ยอดวิวเยอะ จนคนกลัวที่จะปล่อยเพลงเร็ว เราก็ลองปล่อยเพลงนี้ออกมาให้คนฟังกันครับ
ได้ยินว่าเพลงนี้มีที่มาจากการ ขโมยลูก น้องลัลลาเบล ทำไมถึงนำเรื่องนี้มาทำเพลง
แอมมี่ : มันเป็นกิมมิกของคำตั้งต้นครับ ว่ามาม้าบอก ที่คุณแม่ (ไอด้า) เขาโกรธและไม่ให้เจอลูก เราก็แอบไปเจอที่โรงเรียนอนุบาล วันหนึ่งนึกสนุกเลยพาเขาจากโรงเรียนไปเที่ยวทะเล ก็เป็นเรื่องราวใหญ่โต แม่เขาก็ไม่เห็นด้วย เขาก็โทรมาว่า ไม่อยากให้ลูกเล่นกับป๊ามี่ ไม่ชอบเล่นทะเล เขาก็พูดอ้อมๆเพราะอยากได้ลูกคืนก็เป็นที่มาคำว่า มาม้าบอก ไม่ให้ฉันเล่นกับเธอ แต่จริงๆก็มีเรื่องราวที่พาผู้หญิงที่ชอบไปเที่ยวแล้วเจอพี่ แจ๊บ ริชแมนทอย แล้วพี่แจ๊บถามน้องว่า “มาเที่ยวกับแอมมี่ แม่ไม่ว่าเหรอ” เลยเป็นเพลงว่า แม่ๆคนไหนก็ไม่อยากให้ลูกสาวมาเล่นกับเรา เพราะเราน่ากลัวและลูกเขาอาจจะเจออะไรอันตราย
ก่อนหน้าจะมาเป็นเพลงนี้ คุณเองเปิดออดิชั่นนักร้องหญิงด้วย แต่ทำไมตอนหลังตัดสินใจเลือกสาวๆ MBO มาร้องแทน
แอมมี่ : พอออดิชั่นก็เจอปัญหาว่าร้องเพลงได้ แต่แสดงไม่ได้ บางคนไม่พร้อมเพราะเวลาการทำงาน บางคนอยู่พะเยา การเดินทาง การเดินสายโปรโมตมันยากมาก แต่ MBO นี่เขาเป็นนักร้องวัยใสร้องเพลงได้ตามคอนเซ็ปต์เลย คือไม่ได้เหมือนคนหน้าตาดีร้องเพลง คือเขาร้องประสานเสียง โชว์พลังได้เลยเลือกทำงานกับ MBO และเป็นการสนับสนุนในค่ายด้วย น้องก็เป็นวัยรุ่นใสๆ ทำงานสนุกดีครับ เพราะท่อนของน้องเขาเป็นท่อนฮุคเลย เพลงนี้ก็มีทีมงานอย่างพี่ บอล อพาร์ทเม้นต์คุณป้า และอีกหลายคนมาช่วยงานด้วย มีทีมงาน Sexy pink studio มาช่วยด้วยครับ
เอ็มวีเพลงนี้มีการเปลี่ยนกำหนดการปล่อยด้วย ทำไมถึงถ่ายทำใหม่
แอมมี่ : ตอนแรกที่เขาถ่ายออกมา เรารู้สึกไม่ถูกใจเท่าไหร่ เพราะมันไร้เดียงสาไปนิด พอถ่ายใหม่เราก็เอาลัลลาเบลมาเล่น มีกิมมิก มีแนวคอนเสิร์ต เราไปถ่ายโรงแรมเป็นซีนคอนเสิร์ตแล้ววันต่อมาก็ถ่ายเส้นเรื่อง ลัลลาเบล ก็มีเข้าฉาก เรื่องราวก็วางไว้หลวมๆว่าเป็นปาร์ตี้ครอบครัวครับ น้องลัลลาเบลปกติจะซนแต่ตอนถ่ายก็ให้ความร่วมมือ คือทีมงานทุกคนจะคุ้นเคยกับน้องอยู่แล้ว บรรยากาศการถ่ายทำก็ไม่ได้เป็นเรื่องแปลกของเขาด้วย
กระแสตอบรับเป็นอย่างไรบ้าง
แอมมี่ : ปกติเราจะรู้กระแสเพลงตอนออกไปเล่น หลังจากนี้ก็จะจัดงานมีตติ้งเจอแฟนคลับ และมีคลิปเด็กประถมร้องเพลงออกมาด้วย คือเขาเปิดเพลงและครูถ่ายคลิปมาลง ก็น่าจะดังในกลุ่มเด็กประถมนะครับ (หัวเราะ)
นอกจากงานเพลงแล้วคุณก็เป็นคุณพ่อด้วย คุณแบ่งเวลาหน้าที่อย่างไร
แอมมี่ : ผมจะไปรับเขาทุกวันศุกร์ครับ จริงๆการแบ่งเวลาไม่ยาก เพราะผมทำวง ไมตรี เป็นวง Modern เพื่อชีวิต ก็อยู่ในช่วงทำวงอยู่ มีช่วงวงเกือบแยกด้วย เพราะทุกคนเก่งแต่ไม่มีระเบียบวินัย และไม่มีค่ายด้วย แต่ผู้จัดการวงไมตรีเองมีลูกสาวอายุเท่ากันเป็นฝรั่งชื่อนิกซี่ การไปไหนมาไหนก็ง่ายและสะดวกครับ เพราะเขาก็มีเพื่อนเล่น
ศิลปินหลายๆคน เวลามีลูกก็จะให้ลูกเล่นดนตรีด้วย คุณมีความคิดอยากให้ลูกเป็นศิลปินบ้างไหม
แอมมี่ : จริงๆทุกวันศุกร์น้องลัลลาเบลก็จะเรียนดนตรีอยู่แล้วกับคุณครูที่ผมเตรียมไว้ เป็นเพื่อนที่อยู่ด้วยสอนไว้ทุกอย่าง เป็นการปูพื้นฐาน แต่จริงๆผมไม่อยากให้เขาอยู่วงการตั้งแต่เด็ก เพราะมันเป็นดาบสองคมเพราะอาจดังแต่เด็ก มีชื่อเสียงแต่มันก็จะทำให้เขาไม่มีความเป็นธรรมชาติ
ก่อนหน้านี้คุณเคยเจอเหตุการณ์ดราม่า ที่ทำให้ถูกวิจารณ์เยอะมาก ตอนนั้นคุณรู้สึกท้อกับกระแสไหม
แอมมี่ : ก็มีท้อครับเพราะต้องมองว่า ตัวเราไม่ได้อยู่ในทาร์เก็ตของคนที่ตามดารา คนที่ตามดาราเขาจะมีความคิดอีกแบบในการเสพสื่อ คนที่ฟังเพลงก็อีกแบบ ก็จะมีคนสามแบบ คือคนที่เกลียดไปเลย คนที่คิดตามและงงว่าทำไมต้องไปเกลียดเขาเพราะเขาเป็นศิลปิน จะเป็นปัญญาชน และคนที่ตามกระแสที่ตอนเกลียดก็เกลียด พอเพลงดังก็กลับมารักแล้ว
เหตุการณ์นี้มันทำให้ผมรักคนที่สองมากขึ้น และคิดว่าคนกลุ่มนี้จะอยู่ไปนานๆ เพราะวันนึงก็ต้องแก่และหน้าเหี่ยว แต่เพลงที่เราทำจะอยู่ไปตลอด จริงๆท้อครับว่าก่อนออกเพลง เก็บรัก ว่าอยากเลิกแล้ว เพราะตอนนั้นถ้าออกเพลงก็มีแต่กระแสลบ เป็นการคิดง่ายๆดำขาวว่าคนไม่รักเราแล้ว แต่จริงๆมันเป็นภูมิคุ้มกัน ที่ทำให้เราเรียนรู้คน จนเห็นว่าคนมีสามแบบนี้อยู่บนโลกนี้ครับ
หลังจากปล่อยมาสามซิงเกิ้ล คุณมีแพลนจะออกอัลบั้มเต็มไหม
แอมมี่ : อยากทำครับ เพลงผมมีพอ แต่มันต้องดูเรื่องธุรกิจด้วยว่ามันคุ้มค่าไหม ว่าค่ายอยากทำเป็นซิงเกิ้ลหรืออัลบั้ม แต่ผมก็คิดว่าถ้าผมทำเพลงแล้วคนอื่นไปร้องได้ มันก็อาจมีประโยชน์มากกว่าที่คนไม่เสพอัลบั้ม บางทีเพลง Side B คนไม่ฟัง บางทีเพลง SIDE B ของเราอาจจะเหมาะให้คนอื่นร้อง ผมคิดถึงประโยชน์คนอื่นมากกว่า เพราะการทำอัลบั้มให้เป็นศักดิ์ศรีมันไม่จำเป็น
คือผมมีภาพอัลบั้ม แต่ก็ต้องมองความเป็นไปได้ว่ามันขายได้ไหม เพราะคิดไว้หมดแล้วว่าจะมีเพลงอะไรบ้าง เพลงช้า เพลงเร็ว จะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง คิดไว้หมดแล้ว แต่บางทีถ้าเราทำเพลงสิบเพลง เขาก็จะดูว่าเพลงไหนขายได้เป็น Commercial แต่ในอัลบั้มอาจมีเพลงแนวทดลอง สามเพลง เพลงศิลปะบ้าง คือเขาอาจจะไม่อยากลงทุนกับเพลงแบบนี้ แต่จริงๆทำเพลงไว้เยอะมากครับ เพลงสากลก็มีครับ
เราจะเห็นว่าผลงานเพลงของคุณแอมมี่มีเอกลักษณ์มากทั้งเพลงเร็วและช้า คุณยึดศิลปินคนไหนเป็นไอดอลในการทำงานบ้าง
แอมมี่ : ผมจะชอบพี่บอย ตรัย ครับเป็นศิลปินแนวป๊อป แต่เราก็ซึมซับ The Beatles, Eric Clapton เพลงเก่าๆที่คุณพ่อเปิดให้ฟัง แต่ผมจะทำเพลงให้ไม่อยู่ในกระแสเลย เพราะว่าเราน่าจะลีดกระแสได้ คือถ้าเพลง มาม้าบอก ฮิตอาจจะทำให้เพลง Rockability blue มาดังในกลุ่มเด็กได้ แต่จริงๆแนวเพลงกลางเราเป็นป๊อปแค่จะห่ออะไรแค่นั้นเอง อยู่ที่ความอินของเราในการทำงาน
แฟนเพลงจะเห็นแอมมี่เป็นศิลปินที่เล่นโซเชี่ยลเยอะมาก การเล่นโซเชี่ยลมีข้อดีข้อเสียกับการทำงานคุณอย่างไรบ้าง
แอมมี่ : คือผมเล่นน้อยลงแล้วนะครับ (หัวเราะ) ก็มีการ Live กันอยู่ช่วงหนึ่ง ที่มี อะตอม และ Getsunova แต่ปัญหาเรื่องเครื่องหมาย Verified ที่สมัยนั้นศิลปินคนอื่นไม่มี แต่เพจ The Bottom Blues มีเครื่องหมายนั้น และมีคนตามเป็นล้าน ก็เลยต้องเล่นเพื่อทดลองว่าการ Live มีคนตามอย่างไรบ้าง ในแต่ละช่วงเวลา การแจ้งเตือนเป็นแบบไหน เลยได้มาซึมซับในโซเชี่ยลแต่พอคน Live เยอะก็เล่นน้อยลงเพราะคุณค่ามันหาย แต่ผมว่ามันดีนะครับ มันทำให้โลกเติบโตขึ้นไปในทิศทางนี้ โซเชี่ยลน่าจะทำให้เราอยู่ใกล้แฟนเพลงมากขึ้น
ล่าสุดตอนนี้เพลง เก็บรัก ก็ถูกต่อยอดเป็นซีรี่ย์แล้ว คุณรู้สึกอย่างไรกับการเปลี่ยนเพลงให้เป็นละครซีรี่ย์
แอมมี่ : ดีครับ เพราะเขาเลือกเพลงฮิต 4 เพลง มาทำซีรี่ย์ ก็มีเพลงผมด้วย ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากที่ทาง Gmm Grammy เลือกเพลงนี้มาทำเป็นซีรี่ย์ คือเพลง เก็บรัก คนเอาไปสักเยอะ เป็นรอยสักส่งมาให้ดูเยอะมาก มันเป็นการเอาเพลงเราไปตีความในรูปแบบใหม่ ผมดีใจที่ตอนนี้มันไม่ใช่เพลงของผม มันเป็นเพลงที่แทนความรู้สึกคน เป็นหนังเป็นรอยสัก มันเป็นลูกเราไปเล่นหนังอะครับ เพลงก็เหมือนลูกเรา เหมือนเราเป็นพ่อเป็นแม่ที่ภูมิใจและเห่อครับ ก็อยากให้ติดตามกันครับ เก็บรัก The Series จาก Bangkok รัก Stories ครับ ก็จะมีเจ้าของเพลงไปปรากฏตัวด้วยนิดนึงครับ (หัวเราะ)
คลิกฟังเพลง มาม้าบอก แอมมี่ The Bottom Blues ได้ที่นี่
ถึงแม้ว่าผลงานเพลง มาม้าบอก นั้นจะเป็นเพลงที่แปลกใหม่ที่ไม่หวังคนดู แต่การทำงานของ แอมมี่และทีมงานก็เต็มที่กับเพลงนี้มากซึ่งแฟนสามารถฟังเพลง มาม้าบอก ได้ที่ Sanook! Music และ JOOX รวมถึงติดตามแอมมี่ได้ที่เพจ The Bottom Blues เช่นกันครับ
อัลบั้มภาพ 11 ภาพ