"สารเสพติด" ในชีวิต "ปาล์มมี่" ที่ทำให้หัวใจนี้ไม่ล้มเลิก! | Sanook Music

"สารเสพติด" ในชีวิต "ปาล์มมี่" ที่ทำให้หัวใจนี้ไม่ล้มเลิก!

"สารเสพติด" ในชีวิต "ปาล์มมี่" ที่ทำให้หัวใจนี้ไม่ล้มเลิก!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากจะนึกถึงศิลปินนักร้องหญิงของไทยที่มีสไตล์โดดเด่นเฉพาะตัว แน่นอนว่าหลายๆท่านคงจะนึกถึงชื่อเธอคนนี้มาเป็นอันดับต้นๆ ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ ที่อยู่ในวงการเพลงมาถึง 16 ปีแล้ว จากเด็กสาวลูกครึ่งวัย 18 ปี มุ่งมั่นตามฝันที่ชัดเจนออกจากบ้านที่ออสเตรเลียโดยลำพัง ตัดสินใจเดินทางกลับมาเมืองไทยเพื่อส่งเทปเดโมให้กับแกรมมี่ ด้วยเพลงที่เธอแต่งเองร้องเองจนมีโอกาสได้ออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง

และซิงเกิ้ลแรกนี้ก็ทำให้เราได้มารู้จักกับเธอจากบทเพลง "อยากร้องดังดัง" ที่ดังถล่มถลายเป็นพลุแตก ด้วยเอกลักษณ์ที่แปลกแหวกแนวในยุคนั้น ท่วงท่าเต้นแร้งเต้นกาตามอารมณ์ เป็นสาวแบร์ฟุตที่ไม่ชอบใส่รองเท้าขึ้นเวที เสมือนว่าเราได้พบกับอีกโลกนึงของเธอ แต่ทว่าชีวิตจริงหลังเวทีของเธอนั้นสุดแสนจะเรียบง่าย ปลูกผัก ขุดดิน แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเธอเองก็ยอมรับว่าเป็นคนมี 2 บุคลิก จนถูกหลายๆ คนมองว่าเธอเป็นศิลปินสุดติสท์เป็นตัวของตัวเองทำงานด้วยยาก มีโลกส่วนตัวสูง

เมื่อวันเวลาผ่านไปจากที่เคยโด่งดังชีวิตกลับพลิกผัน งานเพลงไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร คว้าน้ำเหลว ไม่มีผลงานจิตตก จนเฟลมากถึงขั้นอยากทิ้งทุกอย่างแล้วออกจากวงการนี้ไป แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้ใหม่หวนกลับมาทำงานเพลงอีกครั้ง เพราะเธอบอกกับเราว่า.....สิ่งนี้มันคือ "สารเสพติด" ในชีวิตของเธอ

และวันนี้ Sanook! Music จะขอนวด! ขอเคล้น! เข้าไปข้างในของสาวเซอร์  ปาล์มมี่ - อีฟ ปานเจริญ ใน 16 ปีบนเส้นทางดนตรีกับเหตุการณ์ที่เธอพบเจอในระหว่างทางเดินนี้ มาสัมผัสเธอไปพร้อมกับเราในจุดนี้....

 

5 ปีที่หายไปในช่วงนั้น คิดว่าค้นพบอะไรกับตัวเองบ้าง

ปาล์มมี่ : ค้นพบมากๆในเรื่องของงานเพลง และเรื่องการตกตะกอนทางคอนเซปต์อะไรต่างๆ มี่ใช้เวลาค่อนข้างมากเกี่ยวกับการลองกับดนตรีหลายๆแนว และสุดท้ายเพลง “นวด” อยากให้มันฟังง่าย แต่ก็มีดีไซน์อยู่ในเพลง ก็จะมีท่อนพิเศษ เสียงหักกระดูก มีท่อนสปา ให้นึกถึงว่าเรากำลังนอนนวดอยู่เรากำลังอินอยู่ มันก็จะแว๊บไปในความผ่อนคลาย ได้อะไรระหว่างทางมี่ก็เกี่ยวเกี่ยวเรื่องราวพวกนี้ จดบันทึกเอาไว้บ้างหรือว่าอัดเอาไว้ แต่งเพลงได้บ้าง เสียบ้าง ดีบ้าง ก็เป็นประสบการณ์ที่หาสิ่งใหม่ๆให้กับการทำอัลบั้มนี้ค่ะ เหมือนเป็นการกลับมาที่เแน่วแน่ มี่จะหันเข็มไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอจุดที่มันพอดี

 

คุณเป็นศิลปินที่ใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนไม่ว่าเป็นเสื้อผ้า หน้าผม ให้ความสำคัญกับตรงนี้ยังไงในการโชว์แต่ละครั้ง

ปาล์มมี่ : เรื่องเสื้อผ้าอาจจะรองลงมาจากเรื่องของเพลงในการเรียบเรียงยังไง แต่ว่ามันจะอยู่ในชีวิตของมี่ตลอด จะชอบเรื่องเสื้อผ้า เราก็เป็นคนที่ชอบเรื่องพวกนี้ตั้งแต่แรกมาเลย จะ Adapt ในสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็จะชอบซื้อผ้าเก็บไว้แล้วก็จะใส่ในชีวิตประจำวัน

 

ในคอนเสิร์ตก็เช่นกัน แฟนๆจะเฝ้ารอ เครื่ององค์ที่อลังการของ ปาล์มมี่

ปาล์มมี่ : จริงเหรอคะ ขอบคุณมากค่ะ (หัวเราะ) มันก็เป็นภาระของมี่เหมือนกันที่ต้องทำการบ้านตลอดเวลาใช่ไหม (หัวเราะ)

 

ซึ่งในชีวิตจริงกับบนเวทีคุณจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ปาล์มมี่ : มี่รู้สึกว่าเราแบบคน 2 อย่าง 2 บุคลิก อันนี้เพิ่งมาวิเคราะห์ได้ตอนที่เราโตในตอนนี้แล้วนะคะ คือมี่ชอบในสิ่งที่มี่เป็นคือเราจะชอบความเรียบง่ายมากเลย แล้วสังคมที่มี่อยู่มันก็ไม่วุ่นวายเลย มีเพื่อนอยู่ไม่กี่คนแล้วมี่ก็จะอยู่กับที่บ้านอยู่กันเงียบๆแล้วก็ไม่ใช้ชีวิตหรูหราไม่ใช้อะไรแพง ไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าแพง แต่เวลาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตมี่ก็เป็นคนนั้นบนเวทีคอนเสิร์ต บางทีนั่งดู IG ของเราเองก็คิดเหมือนกันนะว่าเมื่อคืนเราเพิ่ง…อ้าส์!!  แล้วอีกวันนึงเราก็มานั่งงัดดินแห้งๆ อยู่หน้าบ้านอะไรแบบนี้ (หัวเราะ) บางทีเราก็คิดเหมือนกันว่าคนอาจสับสนว่าเราคือคนไหนกันแน่ แต่ว่ามี่ก็คือคนทั้ง 2 คนที่ทำหน้าที่ทั้ง 2 อย่างที่สามารถอยู่กับชาวบ้านได้ นอนกับดินได้ และก็สามารถทำงานของมี่ได้ด้วย แล้วก็ไม่ได้แปลก เพราะคิดว่าทุกคนมีเลเยอร์มีความลึกของแต่ละคนทุกคนมีหมดไม่ใช่ว่า คุณมีแค่แผ่นเดียวแล้วเราอ่านคุณได้แค่ด้านเดียว คุณก็ต้องมีอะไรข้างในอยู่ที่เราเข้าไปไม่ถึงแต่เป็นแค่คุณเห็นเลเยอร์ข้างในของมี่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้นเอง เวลาที่เราลงภาพใน IG ที่มันธรรมดาเหมือนคนทั่วไปแค่นั้น

 

ในการกลับมาครั้งนี้คุณย้ายบ้านมาอยู่กับ Genie Records ด้วย

ปาล์มมี่ : ได้เจอกับพี่นิกค่ะ (ผู้บริหารค่ายจีนี่ฯ) ด้วยความบังเอิญ แล้วพี่นิกก็ชวนมี่มา  ก็ได้พูดคุยกันมาเรื่อยสักระยะแล้ว แต่ในตอนนั้นมี่ก็กำลังทำงานเพลงอยู่แล้วยังไม่ลงตัวกับทิศทางว่ามันคืออะไร จนกว่ามี่จะมั่นใจว่าโอเคชุดนี้มันเป็นแบบนี้ ก็มาเลยคุยกับพี่นิกและให้พี่นิกฟังเพลง ก็เลยมีผลงานออกมา ซึ่งในชุดนี้อยากให้ทุกคนผ่อนคลาย แล้วไปเต้นด้วยกันในเวลาที่มีคอนเสิร์ต

 

คุณรู้สึกกดดันไหมในการกลับมาครั้งนี้ เพราะแฟนเพลงทุกคนต่างก็รอคอย

ปาล์มมี่ : กดดันค่ะ กดดันมากเลย ไม่งั้นเราก็คงไม่ซุปเปอร์ดีเทลในทุกๆเรื่อง มี่กดดันเป็นทุนเดิมในชีวิตตัวเองอยู่แล้วว่าเวลาเราทำอะไรอยากทำให้มันพัฒนาไม่ย่ำอยู่กับที่ นั่นคือโจทย์ของมี่ในชีวิตไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เพราะว่าด้วยอายุงานแล้วมันเดินทางมา 16 ปี มี่ได้ทำอะไรหลายๆอย่างในแนวทางดนตรี แต่มี่มาทอนความกดดันลงได้ในวันที่มี่รู้สึกว่า แล้วมี่จะเครียดเรื่องนี้ไปมากกว่าการทำเพลงที่ดีไปทำไม ในเมื่อเราแค่อัพเดทว่าวันนี้เราชอบอะไร เราลงตัวที่เราแฮปปี้มันก็จบแค่นี้ไหม ที่เหลือก็แค่ตัดสินกันไปเลยแล้วกันว่ามี่ไม่สมควรทำเพลงอีกต่อไปแล้ว (หัวเราะ) ปาล์มมี่เลิกเหอะ ก็จะได้รู้กันไปเลย (ยิ้ม)  แล้วในตอนที่กดดันนั้นก็มีคิดอยากล้มเลิกอยู่ตลอดเวลานะ รู้สึกว่าทำไมเราทำงานอยู่ในภาวะความเครียด ก็จะมีเบรคๆพักๆไปท่องเที่ยวบ้างอยู่ในระหว่างนั้น แต่ในระหว่างท่องเที่ยวก็มีแต่งเพลงด้วยบ้างนะ มันคืออะไร (หัวเราะ)

 

ในยุคสมัยนี้ศิลปินมักจะมีเป็นซิงเกิ้ลปล่อยออกมาก่อน และบางทีก็ไม่มีอัลบั้ม ส่วนตัวแล้วคิดเห็นอย่างไร ในยุคที่เปลี่ยนไปนี้

ปาล์มมี่ : มันก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำกับใคร ถ้าคุณทำด้วยตัวเองโดยใช้งบของตัวเอง ทำด้วยความรักไม่ต้องอิงเรื่องการได้เงินกลับมา แค่อยากทำก็ทำเป็นอัลบั้มก็ไม่มีใครว่าอะไร คุณก็ทำไปเลย แต่ว่าในยุคสมัยนี้วิธีการจะเอาสตางค์กลับมาหล่อเลี้ยงที่เราเสียค่าทำเพลงไปทางค่ายเขาก็ต้องแบกรับในจุดนี้ใช่ไหมคะ มันก็ต้องมีวีธีการทำ ถ้ามันไม่คุ้มที่จะเสียเงินเขาก็ไม่อยากทำเป็นอัลบั้ม อันนี้คือพูดเรื่องจริงที่เกิดขึ้นวันนี้ที่คนเสพเพลงแบบไม่ได้ซื้อถูกไหมคะ มี่ไม่ได้มองว่าใครถูกผิดเลยมันคือความตกลงปลงใจกันทั้งสองฝ่าย ผู้ผลิตเพลงกับคนผลักดันเพลงนี้ออกไปว่าตกลงกันไว้แบบไหน มี่ก็ถือว่าเรายังโชคดีที่ได้รับการอนุญาติให้ทำเป็นอัลบั้ม และมี่ก็มีความสุขมากกว่าที่ได้ออกไปเป็นอัลบั้ม แต่ถ้าเป็นซิงเกื้ลก็ไม่ได้ผิดอะไรสุดท้ายแล้วมันก็คือเพลง คุณทุกคนมีทางเลือกว่าจะฟังหรือไม่ฟัง

 

ในการเป็นศิลปินหรือการใช้ชีวิตส่วนตัวหลายๆ คนจะมองว่า คุณมักเป็นตัวของตัวเองสูง มีโลกส่วนตัว รักอิสระ 

ปาล์มมี่ : ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะทำอะไรก็ได้ เดินแตกต่าง คิดแตกต่าง แต่ก็เอาให้อยู่ในสังคมได้โดยที่ไม่เดือดร้อนซึ่งกันและกัน ไม่กระทบโดยที่อยู่ด้วยกันแล้วบาดหมาง มี่คิดว่าถ้าเราสร้างสรรค์ เราจริงใจกับสิ่งที่ทำคนจะรู้สึกยังไงก็ให้เขาตัดสินกันไปแบบนั้นเลย ตัวก็คิดว่าการที่เราเป็นคนอื่นมันเหนื่อยและมันยากกว่า ถ้าเรายอมรับตัวเองแล้วเราดำเนินต่อไปในแบบที่เราเป็นเราก็ไม่ต้องอยู่แบบที่แกล้งเป็นใคร แต่ก็ต้องอยู่ในความเคารพของพ่อแม่ด้วยนะ  ไม่ใช่ว่าไปสูบบุหรี่ เล่นยา แบบนี้ไม่ใช่นะ ไม่เห็นด้วยเพราะว่าไม่ได้เป็นอะไรที่สร้างสรรค์ แต่ว่าหัวใจเราเป็นยังไงอยากให้เป็นแบบนั้นจริงๆ มี่คิดว่าสำคัญมาก

 

ในการร่วมงานกับศิลปิน อาทิ ฮิวโก้ , พี่โน้ส อุดม , แสตมป์  หรือศิลปินคนอื่นๆ จำเป็นไหมที่จะต้องมีเคมีตรงกัน

ปาล์มมี่ : เป็นไปได้นะคะ มี่ต้องชอบผลงานเขา ต้องมีอะไรดึงดูด ให้เรามาเจอกันได้ในความเหมาะสมนั้น มี่ชอบอยู่ใกล้คนเก่งๆ มันเหมือนสิ่งพวกนี้เป็นเรื่องของ ดิน ฟ้า อากาศ ที่อยู่ๆ มันเดินมาแบบเจอกันพอดี แค่ทำงานแล้วเราคุยกันแล้วคลิกเลย

 

ในการทำงานต่างๆ หรือทำงานเพลง คุณก็เป็นคนที่ใส่ใจรายละเอียดทุกขั้นตอน

ปาล์มมี่ : แน่นอนค่ะ ลึกทุกขั้นอยู่แล้ว

 

ในเรื่องของความรักตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

ปาล์มมี่ : มันเกิดขึ้นในชีวิตมี่นะ คือมี่ก็มีบุคคลท่านนี้อยู่ในชีวิต เดี๋ยวเขาก็รักเรา เดี๋ยวเขาก็ไม่รักเรา มันก็เหมือนการไปนวด ที่ป้าก็หลอกเราอีกว่าหายเหมื่อยแน่นอน เราก็เจ็บเราก็ทน แต่กลับไปมันก็ยังไม่หาย แล้วมันก็เหมือนความรัก ก็พยายามเอาเรื่องที่รู้สึกกับบุคคลท่านนี้ มาทำเป็นเรื่องของการนวด

 

มุมมองความรักของคุณในตอนที่เข้าวงการใหม่ๆกับปัจจุบันนี้ เปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม

ปาล์มมี่ : เพลงอยากร้องดังๆ ก็คือมุมมองความรักของมี่เลยในตอนนั้น คือเวลาเรารักใครเราก็อยากบอกออกไปดังๆ ว่าเรายินดีเราแฮปปี้ เราอยากตะโกนบอกว่ามันดีที่สุดในโลก แต่วันนี้มันก็เติบโตไปตามความรู้สึก เราก็เพ็งเข้าไปในความรู้สึก แล้วลึกไปมากกว่าเดิมว่าเรารู้สึกอะไร มันไม่ใช่แค่การออกไปร้องตะโกนแล้วว่าเรารักคนนี้ แต่ว่ามันลึกกว่านั้นเราคิดเข้าไปถึงเลเยอร์ที่มันลึกซึ้งกว่านั้น มุมมองก็เปลี่ยนไปแน่นอนตามอายุ

 

ศิลปินที่ชื่อ “ปาล์มมี่” ในวงการเพลงมาถึง  16 ปีแล้ว คิดว่าตรงนี้ให้อะไรบ้าง

ปาล์มมี่ : ให้เป็นคนบ้างานไม่รู้จักหยุด (ยิ้ม) ให้สารเสพติด พูดเหมือนเล่นยาเลยนะ 5555  เคยคิดเลิกหลายทีแล้วนะแต่ว่ามันก็ย้อนกลับมา  คิดว่ามันต้องมีอะไรสักอย่างนึงที่ทำให้เราเลิกไม่ได้ พอกลับมาฟอร์มวงมาเล่นคอนเสิร์ต พอเห็นเขาแฮปปี้เราก็เสพติดในจุดนั้น เห็นเขาขำเรา เขายิ้ม ถ่ายทุกอิริยาบถที่เราทำบ้าบอคอแตก เราไม่โทษใครเราว่าเราเสพติดในจุดนี้ อยากที่จะทำอะไรที่มี่สามารถตอบแทนได้ ในหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด มี่ใส่ใจและจริงใจในสิ่งที่มี่ทำ และหวังว่าคนจะสัมผัสมันได้ แต่ถ้าเราเบื่อกันแล้ว มี่ไม่อยู่ให้คุณเห็นหน้าแน่นอน ไปละ (ยิ้ม)

 

อะไรคือแรงบันดาลใจในการมาเป็นศิลปินของ “ปาล์มมี่” ในวันนั้น

ปาล์มมี่ : น่าจะมาจากเบื้องลึกของความรู้สึก เพราะแรงบันดาลใจคือการฟังทุกสิ่งที่มันเรียกร้องอยู่ข้างใน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook