[บทสัมภาษณ์] ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม กับประสบการณ์ชีวิตศิลปินที่เกาหลี
แม้ว่าปัจจุบันจะมีเด็กไทยโกโคเรีย เป็นศิลปินในสังกัดค่ายเพลงของเกาหลีมากมาย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นศิลปินอยู่ในต่างแดน ที่ๆ เราไม่คุ้ยเคยทั้งภาษา วัฒนธรรม อาหาร และเรื่องสำคัญคือ “คน” เกาหลี ที่เราจะเข้ากันได้ดีกับเขาหรือไม่
ณัฏฐ์ ทิวไผ่งาม เป็นหนึ่งในศิลปินวัยรุ่นชาวไทยที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสประสบการณ์ในการเป็นศิลปินเกาหลีอย่างเต็มตัว ที่ได้ยินแล้วจะต้องโอ้โหมากไปกว่านั้น คือเขาไปในฐานะ “ศิลปินเดี่ยว” ไม่ใช่ศิลปินกลุ่มเหมือนหลายๆ คน นั่นหมายถึงเขาต้องแบกรับภาระที่จะต้องร้อง เต้น พูดคุย เอนเตอร์เทน และทำทุกอย่างในฐานะศิลปินคนเดียวโดยไม่มีเพื่อนในวงคอยช่วยเหลือ ชีวิตที่เกาหลีจะโหด มัน ฮา ขนาดไหน เรามาดูบทสัมภาษณ์รายการเจาะใจกันค่ะ
ทำไมถึงไปเป็นศิลปินที่เกาหลี?
- เป็นความตั้งใจของผมเองแหละครับ หลังจากที่ผมเป็นศิลปินของค่ายเพลงเดิมหลังจากประกวดเสร็จ ผมก็ทำงานเพลงไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าปีที่ 4 ก็เหลืออีกปีเดียวที่สัญญากำลังจะหมด ผมก็เริ่มมองอนาคตของผมเองว่าจะทำอะไรต่อไป จะต่อสัญญา หรือไม่ต่อ หรือถ้าจะต่อจะคุยกับผู้ใหญ่ว่าอะไร แล้วตอนนั้นผมก็มีความเซลฟ์ (ยิ้ม) ผมคิดว่าผมคิดอะไรก็อยากแชร์ให้ผู้ใหญ่ฟัง ไม่ใช่เขาโยนอะไรมาเราก็ทำตามไปหมด
ผมเลยนัดผู้ใหญ่คุย (ยิ้มเขินๆ) ปกติมีแต่ผู้ใหญ่จะนัดคุย แต่คราวนี้ผมรบกวนพี่เลขาขอนัดคุยกับผู้ใหญ่ ซึ่งพี่โอ๋เค้าก็ใจดีมาก สุดท้ายได้คุย ผมเลยบอกไปว่าผมมีความฝันอยู่นะ ตลอด 4 ปีที่ผ่านมาผมทำหลายอย่างมาก ทั้งละครทีวี ละครเวที เพลงก็มี และผมยังอยากก้าวไปข้างหน้าต่อ ผมไม่อยากอยู่กับที่
“พี่ผลักดันผมโกอินเตอร์ได้ไหมครับ”
สาเหตุที่อยากโกอินเตอร์
- ผมคิดมาแล้วว่า ผมทำมาหลายอย่างมากแล้ว ถ้าผมอยากก้าวไปข้างหน้ามากกว่าเดิมอีก ผมต้องก้าวออกไปนอกประเทศเลย พี่โอ๋ตอบกลับมาว่า ได้สิ ยินดี อยากจะผลักดันณัฏฐ์อยู่แล้ว หลังจากนั้นเป้าหมายนี้เลยเหมือนปักธงเอาไว้เลยว่า ต่อไปนี้ต้องทำทุกอย่างเพื่อผลักดันให้ผมโกอินเตอร์ต่อให้ได้ เพราะผมไปพูดกับเขาไว้ก่อน หากมีโปรเจ็คอะไร ผมจะได้เป็นตัวแรกๆ ว่า ณัฏฐ์พร้อมจะโกอินเตอร์แล้วนะ
โกอินเตอร์ทั้งที ก็ไปคนเดียว ฉายเดี่ยวเลย!
- หลังจากนั้นพอทางนู้นมาเปิดแคสติ้ง ผมก็ไปแคส แล้วสุดท้ายเขาเลือกผม แล้วเลือกไปคนเดียว เพราะเขากำลังอยากได้ศิลปินเดี่ยว ไม่ใช่ศิลปินกลุ่ม
ผลงานเพลง เป็นภาษาเกาหลีหมด
- ผมไปเป็นศิลปินเดี่ยว ออกเพลงเกาหลี แล้วพอกลับมาไทยก็เอาเนื้อเพลงมาแปลงเป็นภาษาไทย กลายเป็นซิงเกิลพิเศษสำหรับแฟนเพลงชาวไทยได้ฟังด้วย
ระยะเวลาที่โกอินเตอร์ที่เกาหลี
- อายุสัญญาจริงๆ คือ 3 ปีครึ่ง แต่ผมไม่ได้ไปอยู่แล้วอยู่เลย มาๆ ไปๆ กลับไทยบ้าง เพราะงานที่ไทยผมก็ยังรับอยู่ แต่ระยะเวลาที่อยู่ที่นู่นนานที่สุดคือช่วงปีสุดท้ายของสัญญา คือ 6 เดือน
ความเป็นอยู่ที่เกาหลี
- ค่ายเพลงที่เกาหลีจะเป็นคนจัดสรรอพาร์ตเมนท์ให้ ด้วยความที่เราไม่ได้เป็นเด็กฝึกของค่ายเพลง CJ นี้โดยตรง ผมก็เลยไม่ได้ไปอยู่ร่วมกันกับเด็กฝึกของค่าย แยกอยู่คนเดียวเดี่ยวๆ เลย
ถามว่า อยู่คนเดียวดีไหม สำหรับผม ผมมองว่าไม่ค่อยดีเท่าไร ในแง่ของการฝึกภาษาเกาหลี ถ้าเราอยู่กับเด็กฝึกคนอื่น อย่างน้อยเราคงได้ฝึกสำเนียงเกาหลีได้มากขึ้น พออยู่คนเดียว ไม่ได้คุยกับใคร ได้คุยแต่กับครูเวลาไปเรียนตามคลาส
ภาษาเกาหลี อุปสรรคสำคัญสำหรับณัฏฐ์
- อยู่ที่นู่น การพูดภาษาเขาให้ได้เป็นเรื่องสำคัญมาก ตอนที่อยู่เกาหลี ผมพลาดที่จะได้รับเชิญไปรายการวาไรตี้โชว์ของเกาหลีเยอะมาก เพราะผมพูดภาษาเกาหลีไม่คล่อง คนเกาหลีต้องการคนที่พูดภาษาเกาหลีได้คล่องในการที่จะไปออกรายการทีวี ถ้าเป็นรายการให้สัมภาษณ์ที่คนให้สัมภาษณ์เป็นคนเกาหลีแบบ 1 ต่อ 1 แบบนี้ ผมจะไปออกไม่ได้เลย เพราะผมไม่สามารถพูดทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมคิดเป็นภาษาเกาหลีได้
นอกจากภาษาเกาหลีแล้ว วัฒนธรรมเกาหลีก็สำคัญ คนเกาหลีกับคนไทยมีพื้นฐานลักษณะนิสัยในการทำงานไม่เหมือนกัน ส่วนตัวผมคิดว่า คนไทยเราใจดี และแชร์ (ความคิดเห็น) กันได้ เรามีอะไรที่ไม่สะดวกใจจะทำ เราก็คุยกันได้ ช่วงเวลาการพักผ่อนก็ค่อนข้าง relax และการทำงานก็ยืดหยุ่นมากกว่า อย่างผมขอเข้าห้องน้ำแปบนึงนะครับพี่ ก็คุยกันได้
ที่เกาหลีไม่ให้เข้าห้องน้ำ?
- (หัวเราะ) มันเป็นหนึ่งในประสบการณ์ของผมครั้งหนึ่ง ตอนนั้นถึงเวลาที่นัดหมายแล้ว แต่ผมอยากเข้าห้องน้ำมาก ถ้าที่เมืองไทยจะขอเข้าห้องน้ำ หรือขอกินข้าว ทีมงานจะให้เลย แต่พอผมขอเข้าห้องน้ำที่นู่น เอ๊ะ เขาไม่ให้เข้าแฮะ (หัวเราะ) ผู้จัดการของผมเองนี่แหละที่ชี้ที่นาฬิกาข้อมือ แล้วบอกว่า “ไม่ได้” ตอนนั้นผมก็รู้สึกว่า เฮ้ย ผู้ชายเข้าห้องน้ำแปบเดียวเอง ทำไมอ่ะ (หัวเราะ) แต่พอเขาบอกว่าไม่ได้ ผมก็โอเค ไม่ได้ก็ไม่ได้ เหมือนสิ่งแวดล้อมที่นู่นทำให้ผมเข้าใจว่า ถ้าเขาพูดว่าไม่ได้ คือมันไม่ได้จริงๆ
แล้วส่วนใหญ่ทุกๆ อย่างจะเร่งกับเวลาไปหมด เข้าห้องน้ำก็เร่ง กินข้าวก็เร่ง ติดไมค์ (ที่เสื้อ ก่อนขึ้นแสดง) ก็เร่ง
เป็นศิลปินที่เกาหลี...โหดจริง
- ขนาดผมไม่ได้สัมผัสประสบการณ์ศิลปินฝึกหัดมา 100% เต็ม นะ เหมือนผมสัมผัสมาได้แค่ 65% เท่านั้น ที่เหลือผมยังไม่ได้สัมผัสเลย แค่ 65% ที่เจอมาก็โหดแล้ว เพราะผมก็ต้องไปเรียนทุกวัน ซ้อมทุกวัน หลายคนบอกว่า “ศิลปินฝึกหัดไมได้เห็นอะไรเลยนอกจากห้องซ้อม” มันคือเรื่องจริงนะ (สีหน้าจริงจัง) ตอนผมอยู่เกาหลีมีเพื่อน (ที่อยู่ไทย) ถามตลอดว่าได้ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง กำลังจะไปเกาหลี ช่วยพาเที่ยวหน่อย แนะนำหน่อยไปเที่ยวไหนดี ซื้ออะไรดี ผมบอกเลยว่าผมตอบอะไรไม่ได้เลย เพราะร่างกายผมอยู่เกาหลีก็จริง แต่สิ่งที่ผมเห็น คือแค่ห้องนอน กับห้องซ้อม
ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันหยุดเลยนะ มีหยุดบางเสาร์อาทิตย์ เช่นถ้าเสาร์หยุด อาทิตย์อาจไม่ได้หยุด หรือถ้าได้หยุดวันอาทิตย์ วันจันทร์ถึงเสาร์ที่ผ่านมาเราก็เหนื่อยมากแล้ว เราก็อยากนอน หรือเราอาจจะได้เที่ยวบ้างแต่ไม่ได้เที่ยวเยอะขนาดนั้น ถ้าให้พาไปห้องซ้อมเนี่ยพาไปได้ ไปเต้นด้วยกัน (หัวเราะ)
เหนื่อย แต่ก็คุ้ม
- ค่าเรียนร้อง เรียนเต้น เรียนภาษาต่างๆ ค่ายเพลงออกให้หมดเลย เรียกว่าไปตัวเปล่าได้เลย รวมถึงอาหารที่ผมกิน สมมติว่าผมจะถ่ายมิวสิควิดีโอในอาทิตย์ต่อไป 3 อาทิตย์ก่อนหน้านั้นผมต้องไดเอ็ต ไอดอลเกาหลี (ร่างกาย) ต้องเล็กลง รีดลง ซิกแพ็คต้องชัด เขาก็จะสั่งให้เราไดเอ็ต แต่เขาไม่ได้ปล่อยให้เราไปไดเอ็ตด้วยตัวเอง ผู้จัดการจะสั่งอาหารให้ผม เป็นอกไก่ที่นักเพาะกายกิน สั่งมาเป็นลังเลย ส่งมาพร้อมข้าว ผมแค่เอาอาหารใส่ตู้เย็น เช้าตื่นก็หยิบมาอุ่นกิน กินอย่างอื่นไม่ได้ เขาจัดไว้ให้แล้วว่ากินได้เท่านี้
อย่างการไปฟิตเนส ถ้าที่เมืองไทยผมก็เดินไปคุยกับเทรนเนอร์ ว่าผมอยากได้ส่วนนั้นส่วนนี้ แต่ถ้าไปยิมที่เกาหลี ผมจะไม่ได้คุยกับเทรนเนอร์ ผู้จัดการจะคุยไว้ให้แล้วว่า “น้องนัททิวเนี่ย ขอเพิ่มซิกแพ็กนะ ขอเพิ่มหัวไหล่นะ” เขาจะจัดโปรแกรมมาให้อยู่แล้ว ผมแค่ไปทำตามเขาเท่านั้น
“เนี่ย... เกาหลีเป็นแบบนี้แหละ”
ประสบการณ์ที่เรียนรู้จากการเป็นศิลปินที่เกาหลี
- สิ่งที่ผมเรียนรู้มากที่สุด คือ การประมาณตน และการถ่อมตน การไปอยู่ที่นู่นเปลี่ยนทัศนคติ และนิสัยของผมไปเลย ตอนที่เราไปเกาหลี เรารู้สึกว่า เราอยากทำ แล้วเราคิด เราเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เพราะเราทำมาหลายอย่าง แล้วเราทำได้ แต่พอเราไปถึงแล้วเราเห็นว่า โลกใบนี้มันกว้างมาก มันไม่ใช่แค่เจอคนที่เก่งกว่าเรานะ แต่คือเก่งกว่า...เก่งกว่าแบบวัดไม่ได้เลย
เรารู้ว่าเราร้องเพลงได้ คนที่เมืองไทยฟังแล้วอาจบอกว่า นัททิวร้องเพลงเพราะ ชอบๆ แต่พอไปอยู่เกาหลี เพลงธรรมดาทั่วไปที่เขาร้องกัน เราร้องไม่ได้ เสียงสูงไปบ้าง เสียงดังไปบ้าง หรือใช้เทคนิคที่ยากกว่านั้นบ้าง เรื่องเต้น... เรารู้ว่าเราเต้นได้ มีคนบอกว่าเราเต้นได้น่ามองมาก แต่ไปที่นู่น การเต้นน่ามองของเรายังเทียบกับเด็กฝึกไม่ได้เลย เด็กฝึกยังเต้นดีกว่า ทั้งชัดทั้งคม ดีกว่าทุกอย่าง ผมเห็นแต่คนเก่งๆ ทั้งนั้น
มีคนบอกว่า คนเกาหลีเก่ง แต่คนไทยก็เก่ง แต่อาจจะไม่ได้ฝึกฝนมากพอ อันนี้ผมก็ว่าจริง แต่สรุปที่ผลลัพธ์ก็คือ เพราะเราไม่ได้ฝึกในมากพอ เราเลยอาจจะเก่งไม่เท่าเขาหรือเปล่า
พอผมกลับมาเมืองไทย ผมเลยรู้จักถ่อมตน รู้จักประมาณตน ไม่ใช้ขาดความมั่นใจนะ ผมมั่นใจมาก แต่ผมจะไม่กร่าง ถ้ามีบทละคร มีโชว์ต้อซ้อม ผมจะทำการบ้านกับมันหนักมาก เพราะผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนที่เก่งขนาดที่มองแล้วทำได้เลย ก่อนเล่นละครเวทีผมก็จะอ่านบทจนกว่าจะจำได้ ไม่ใช่คิดว่าซ้อมๆ ไปสักอาทิตย์ก็จำได้เอง ทุกครั้งที่เจอคนที่เก่งกว่า (ตอนอยู่ที่เกาหลี) ผมก็จะมองเขาแล้วเรียนรู้จากเขาว่าเราต้องทำอย่างไรถึงจะเก่งมากขึ้น พอกลับมาไทยผมเลยเตรียมตัวอย่างมากทุกครั้ง ไม่เตรียมตัวไม่ได้ ถ้าพรุ่งนี้มีโชว์ ผมก็ต้องไดเอ็ต ต้องเตรียมสกินแคร์ เหมือนมันติดมาจากที่นู่น แต่เพราะที่นู่นเขาเตรียมให้ พอมาที่ไทยผมก็เลยเตรียมตัวเอง ผมก็กลายเป็นคนช่างถาม ถามว่าผมต้องเตรียมอะไร งานใส่เสื้อกล้ามใช่ไหม ต้องออกกำลังกายเน้นหัวไหล่ มีบทพูดอะไรไหม ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม จัดการตัวเอง สุดท้ายแล้วมันดีนะ เพราะมันทำให้ผมมั่นใจเมื่ออยู่หน้างานทุกครั้ง
รวมไปถึงการทำงานกับทีมงาน เราจะเหมือนเพื่อนพี่น้องกัน เอาคำว่า “เทพ” ออกไปจากหัวเลย เพราะเรารู้ว่าเราเป็นคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ตรงนี้ และต้องฝึกอีกมากมายขนาดไหน
อยากโกอินเตอร์อีกรอบไหม?
- ขึ้นอยู่กับโอกาส ลักษณะของงาน และช่วงอายุด้วยครับ ที่เกาหลีการเป็นไอดอลจะมีช่วงอายุที่เหมาะสมอยู่ ตอนนี้ผมอาจจะเลยช่วงอายุของการเป็นไอดอลเกาหลี และควรมาเป็นนักแสดงที่ไทยหรือเปล่า มันก็ย้อนกลับไปที่โจทย์เดิมที่ผมเคยให้ไว้กับพี่โอ๋ว่า “ผมอยากก้าวไปข้างหน้า” ถ้าผมอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ใช่ ผมอยู่แล้วอึดอัด ก้าวไปไหนไม่ได้ ตอนนี้พอผมกลับมาที่ไทย ได้เป็นนักแสดง ผมรู้สึกว่าผมได้ก้าวไปข้างหน้าผมได้ทำอะไรใหม่ๆ มากขึ้น แต่ผมนึกเสนอว่าจากอาชีพในวงการบันเทิงทั้งหมดที่ผมทำมา ที่ๆ เป็นของผมจริงๆ คือ บนเวที ไม่ใช่หน้ากล้อง ไม่ว่าจะเป็นเวทีเล็ก เวทีใหญ่ ผมรู้สึกว่าเวทีนี้เป็นของเรา
เป้าหมายตอนนี้ของณัฏฐ์
- ตอนนี้ผมยังชอบที่จะทำงานอยู่เบื้องหน้าในวงการบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นงานประเภทไหน ผมรู้สึกว่าผมต้องทำตรงนี้ให้ดีที่สุด แต่เราก็เริ่มปูงานเบื้องหลังไว้บ้าง เริ่มสนใจเกี่ยวกับการทำเพลง หรือเป็นโค้ชสอน ผมเคยสอนน้องๆ ร้องเพลง หรือทำการแสดงให้โรงเรียนของเพื่อนมาบ้าง มันอาจจะมีช่วงอายุหนึ่งที่เราไม่ได้ทำงานเบื้องหน้าแล้ว แต่เรายังสามารถเข็นเด็กที่อยากทำงานอยู่เบื้องหน้าได้
_______________________
ขอบคุณเนื้อหาจาก รายการเจาะใจ JSL Global Media