"พลพล" เปิดใจถึงความกังวล ในการพบเจอแฟนเพลงรุ่นใหม่ | Sanook Music

"พลพล" เปิดใจถึงความกังวล ในการพบเจอแฟนเพลงรุ่นใหม่

"พลพล" เปิดใจถึงความกังวล ในการพบเจอแฟนเพลงรุ่นใหม่
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นอกจากศิลปินร็อกขวัญใจวัยรุ่นแล้ว ล่าสุด พลพล พี่ชายใจดีเสียงอบอุ่นจากค่าย Genie Records เองก็ได้ปล่อยผลงานเพลง ใครคนนั้น ออกมาเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งซิงเกิ้ลนี้เขาได้ร่วมงานกับ ลาบานูน วงร็อกรุ่นน้องในการทำเพลงที่ผสมผสานตัวตนของสองศิลปินที่แตกต่างอย่างลงตัว

และหลังจากที่ปล่อยผลงานเพลงออกมาไม่นาน พลพล ก็ได้มาพูดคุยเรื่องผลงานเพลงใหม่ รวมถึงการทำงานเพลงในยุคโซเชี่ยลอย่างเป็นกันเอง ซึ่งคุณพลพลเองก็มาพูดคุยกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง ตามสไตล์พี่ชายสุดชิลล์ที่แฟนเพลงคุ้นเคย

 

 

กลับมาคราวนี้คุณมากับเพลง ใครคนนั้น เพลงนี้มีจุดเริ่มต้นอย่างไร

พลพล : มันเริ่มจากเพลง หล่อเลย ที่ โอม Cocktail ทำออกมา คือเป็นโปรเจ็คให้พี่ร้องเพลงของน้องๆในค่าย และวันนั้นก็ประชุมในค่ายและเจอกับ เมธี ลาบานูน ซึ่งทั้งคู่มีความคล้ายกัน และโตมาในยุคใกล้กัน เขาบอกว่าถ้าพี่เอาเพลงนี้ไปร้อง มันจะดีมากเลย

เมธีเลยให้ผมเลือกเมโลดี้ ผมก็ลองฮัมเมโลดี้ที่ให้มาดูและเลือกมาอันหนึ่ง หลังจากนั้นก็คุยกันกับเลือกเนื้อหาว่าจะทำเกี่ยวกับความรักในอดีตที่ยังจดจำสิ่งที่เคยทำร่วมกัน ก็เลยกลายเป็นเพลงนี้ครับ

 

การทำงานกับวง ลาบานูน เป็นอย่างไรบ้าง

พลพล : การงานง่ายมากครับ ถึงแม้น้องๆงานเยอะ และต้องไปต่างประเทศบ่อย ก็มีการคุยส่งเดโม่กันในไลน์ (หัวเราะ) ผมก็ซ้อมไป และเขาก็ทำดนตรี พอเขาดนตรีเสร็จผมก็ไปร้องเพลง ใช้เวลาครึ่งวันเสร็จ แต่จริงๆตอนเตรียมงานเป็นเดือนครับ

 

คุณเคยบอกว่าเพลง หล่อเลย ร้องค่อนข้างยาก แล้วเพลงนี้มีความยากบ้างไหม  

พลพล : เพลงนี้ยากและท้าทายครับ คือตอนร้องไม่ยาก แต่ยากที่จะทำใจร้องบางประโยค (หัวเราะ) คือมันเป็นประโยคแบบเอกลักษณ์ของวงเขา จะมีเอื้อนแบบภาษายาวีที่มาจากประเทศมาเลเซีย อย่างท่อน “ยังคงคิดถึงเสมอ”  ผมที่ร้องเพลงตรงโน้ตมา 17 ปี ก็ต้องออกเสียงว่า “คิดถึ่ง” พร้อมวรรณยุกต์ไม้เอก คือลาบานูนร้องได้แค่คนเดียว เราสามารถดัดได้ แต่มันก็เป็นเสียงแบบลาบานูน ที่ถ่ายทอดโดย พลพล มันเป็นเสน่ห์และลายเซ็นในแบบฉบับของน้องๆเขาเลยครับ

 

 

มาร่วมงานกับน้องนนท์ และ น้องเหม่เหม ได้อย่างไรในเอ็มวีนี้

พลพล : น้องเป็นนักแสดงที่ทีมงานเลือกมาครับ คือน่าจะเหมาะเพราะเราย้อนไปวัยมัธยม และคิดว่าน้องนนท์โตมาน่าจะคล้ายพี่ วุธ อัษฎาวุธ เพราะพี่เขามาเล่นมิวสิควีดีโอในเวอร์ชั่นตอนโตครับ

 

เอ็มวีมีเนื้อหาอย่างไร

พลพล : เอ็มวีเพลงนี้ถ่ายสองวัน เราก็ไปตอนบ่ายอีกวันเพื่อ Sync กับเรื่องราว ก็เป็นเรื่องของเด็กสองคนที่สร้างฝันมาด้วยกัน แต่วันที่ร้องเพลงด้วยกัน คือวันที่นางเอกต้องย้ายไปเพราะบ้านโดนฟ้องร้อง คือเหมือนใจสลายไปเลย เพราะเคยคิดว่าจะได้ร้องเพลงที่ทำด้วยกัน มันเลยเป็นความรู้สึกฝังใจที่คิดถึงผู้หญิงคนที่สร้างฝันด้วยกันมา

 

รู้สึกอย่างไรกับกระแสตอบรับ

พลพล : ดีมากครับ ปล่อยออกมาสี่วัน สี่ล้านวิวเลยครับ ก็ขอบคุณมากๆที่ยังจำพลพลได้ครับ

คลิกชมเอ็มวี ใครคนนั้น ได้ที่นี่

 

อยากให้ฝากถึงคนที่มีเรื่องราวเหมือนในเพลง

พลพล : ทุกคนน่าจะมีเรื่องราวเหมือนในเพลง คือมี คนรัก ญาติพี่น้อง หรือ พ่อแม่ ที่จากไป คือในเอ็มวีเนื้อหาไม่สมหวัง และทุกคนเรียกร้องให้มีภาคจบ แต่เราตั้งใจแบบนี้เพราะอยากให้ทุกคนนึกถึงสิ่งดีๆเอาไว้ครับ

 

แฟนๆจะเห็นพี่ทำเพลงแนวคันทรี่ร็อกมาตลอด ทำไมถึงชอบแนวนี้

พลพล : เป็นความชอบส่วนตัวครับ เพราะเพลงแนวนี้มีเครื่องสาย  ก็ชอบเพลงที่มีดนตรีสด พอมีเครื่องสายจะทำให้เราเข้าถึงอารมณ์ทั้งความเศร้าที่เศร้าไปเลย หรือแม้แต่อารมณ์แบบสนุกๆ เครื่องสายก็จะทำให้อารมณ์ออกมาชัดเจนครับ

 

การทำงานกับพี่น้องร่วมค่าย Genie ในเอ็มวีที่ผ่านมาเป็นอย่างไร

พลพล : มันสนุกมากครับ ใครว่างอะไรก็มาแจมกันได้  เหมือนครอบครัวจีนที่มีแม่สิบคนในบ้านหลังเดียว (หัวเราะ) เดินเข้าเดินออกสบาย คือพอมาแชร์ไอเดียในค่ายทุกอย่างก็ง่าย นอกจากศิลปินแล้ว ทีม Production หรือ MV  ก็คุยงานกันได้สะดวกครับ เพราะสมัยก่อนเราทำงานกับโปรดิวเซอร์คนเดียว บางทีก็อาจจะไม่ได้มีความคิดที่หลากหลายมากเหมือนแบบนี้

 

ในอนาคตคุณมีแพลนจะร่วมงานกับใครอีกบ้าง

พลพล : เยอะมากครับ (หัวเราะ) แต่สำหรับเพลงต่อไปก็น่าจะอีกสักพัก ต้นปีหน้าน่าจะได้คุยกัน เพราะช่วงปลายปีทุกคนจะมีงานคอนเสิร์ตเยอะ ตอนนี้ก็มีสามวง  Big Ass, Paradox  Bodyslam ที่เราคุยกัน อาจจะร่วมงานกันวงละเพลงครับ

 

 

ช่วงนี้แฟนเพลงจะเห็นคุณ LIVE บ่อยมาก  ทำไมถึงตัดสินใจเริ่มกิจกรรมนี้

พลพล : มันเป็นวิธีหนึ่งในการเข้าหาแฟนๆครับ ทำให้เราคุยกับแฟนเพลงได้ทุกวัน คือสมัยก่อนถ้าไม่มีคอนเสิร์ตก็จะไม่ได้คุยเลย ทำแบบนี้ความผูกพันมันจะเยอะขึ้นครับ เขาคิดถึงเรา เราเองก็คิดถึงเขา เพราะไม่ได้เจอแฟนเพลงนานมาก พอเรา Live แฟนๆก็ไปขอเพลงกันแม้ว่าเราจะร้องเพลงอยู่บ้าน ก็ดีครับเพราะจะได้ไม่ลืมกัน แฟนๆเขาชอบกันมากครับ

 

โซเชี่ยลเปลี่ยนการทำงานคุณไปมากไหม

พลพล : ดีขึ้นมากครับ มันทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้นครับ แฟนๆได้รู้จักศิลปินใหม่เร็วแบบปล่อยเอ็มวีแป๊ปเดียวทุกคนได้ฟังกันหมดทั่วโลก สมัยก่อนบางทีเราปล่อยและโปรโมทบางเพลงครึ่งปีก็ยังมีคนที่ไม่ได้ฟังเลยครับ  

 

เมื่อช่วงกลางปี คุณออกมาเล่าถึงชีวิตรักตัวเองในรายการ ประสบการณ์ตอนนั้นช่วยการทำงานอย่างไรบ้าง

พลพล : ช่วยมากครับ เพราะถ้าเราผ่านประสบการณ์เราสามารถเล่ามันได้ดี และก็ช่วยให้เราแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับคนเขียนได้ดีครับ มันทำให้เขานึกภาพออก ถ้าเราไปจำมาจากเรื่องที่เขาเล่ามา เราจะไม่อินครับ

 

ในฐานะรุ่นพี่ อยากให้พี่ฝากถึงรุ่นน้องที่เจออุปสรรคความรัก

พลพล : อย่ามองความรักเป็นอุปสรรคครับ คือบางทีเจอกันแล้วเข้ากันไม่ได้ หรือผู้ใหญ่ไม่ชอบ แม้แต่การห่างเพราะงาน มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะไม่สมหวังได้หมด อยากให้รักเต็มร้อย และเผื่อใจเต็มร้อยครับ เพราะวันหนึ่งเราอาจจะต้องจากกันโดยไม่ได้มีโอกาสร่ำลาครับ

 

 

มีช่วงหนึ่งที่คุณมีปัญหาสุขภาพจากการทำงาน ตอนนั้นปรับตัวอย่างไร

พลพล : จริงๆเพิ่งคุยเรื่องปัญหาสุขภาพไปครับ เพราะสมัยก่อนดื่มเหล้านอนดึก ทำให้เราป่วย พอหยุดได้มันก็ดีขึ้น ตื่นเช้ามาร้องเพลงได้เลย สมัยก่อนบ่ายสามถึงร้องได้ แต่เดี๋ยวนี้เช้าๆ มีงานแปดโมงก็ดื่มได้เลยถ้าไม่ได้ดื่มเหล้าครับ (หัวเราะ) การรักษาสุขภาพผมก็กินน้ำเย็น กินทุกอย่าง แต่จะรักษาสุขภาพ ออกกำลังกาย และนอนเป็นเวลา

ส่วนเรื่องเสียงก็มีการซ้อมโดยการ Live สดครับ อยู่บ้านจะเปิดเพลงและร้องไป  จะไม่อยู่เงียบๆซึมๆ คือถ้าไม่ได้นอน ก็จะฝึกพูดครับ บางทีก็จะเปิดเพลงและร้องตามเพราะมันการวอร์มเสียง มันก็เหมือนคนเล่นกีฬาที่ต้องมีการวอร์มเพื่อให้กล้ามเนื้อมันจำครับ

 

หลังจากนี้คุณมีแพลนคอนเสิร์ตหรือแฟนมีตบ้างไหม

พลพล : คอนเสิร์ตใหญ่อาจจะยังครับ ให้น้องๆก่อนเพราะมีเยอะมาก (หัวเราะ) ตอนนี้ทีมงานก็ทำงานกันหนักมากไม่ได้นอนเลย ปีหน้าก็น่าจะมีของหลายๆวง ของผมต้องรอสักพัก แต่ถ้ามีตติ้งน่าจะมีครับ มีปีละสองครั้งกับแฟนคลับที่ดู Live ก็อาจจะคัดสัก 50 คนมาพูดคุยและร้องเพลงไปเรื่อยๆครับ

 

วงการเพลงเปลี่ยนมากไหม จาก 18 ที่ผ่านมา เปลี่ยนไปมากไหม

พลพล : การทำงานเปลี่ยนมากครับ อย่างการอัดเสียงสมัยก่อนใช้เทปและต้องมี Engineer มาดูแล แต่เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีเยอะมาก คืออัดที่บ้านได้เลย ถ้าเราเล่นดนตรีได้ สมัยก่อนต้องเข้าห้องอัดข้ามวันเพื่อจะได้เดโม่มาอันหนึ่ง ความง่ายก็คือเพลงมันเยอะขึ้น ก็ออกผลงานมากขึ้น สื่อก็ออกได้มากและสามารถดังได้โดยไม่มีค่าย แต่คนจะไม่ซื้อซีดีเท่าไหร่ ต้องเป็นแฟนคลับ คือคนจะโหลดมากกว่า มันเปลี่ยนมาก

 

 

คุณมีวิธีเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานอย่างไร

พลพล : การทำงานทุกที่จะมีความต่างกันครับ แค่เปลี่ยนห้องอัดการทำงานก็เปลี่ยนแล้วครับ เพราะเครื่องมือและ Engineer ก็ต่างไป บางทีใหม่มากบางที่ก็มืออาชีพ มันก็จะสอนเรื่องการอดทนและเคารพผู้อื่นครับ ทำให้เรารู้ว่าการทำงานกับผู้อื่นต้องให้เกียรติ คือเราเป็นนักร้องต้องฟังโปรดิวเซอร์ ถึงแม้เขาจะเด็กกว่าหรือร้องเพลงไม่ได้เท่าเรา แต่เราก็ต้องฟังเขาครับ เพราะเขารู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร แต่ถ้าเขาปรึกษาเรา เราถึงจะพูด มันทำให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ควรก้าวและถอยครับ

 

ปัจจุบันนี้มีศิลปินรุ่นใหม่เกิดขึ้นเยอะมาก คุณรู้สึกกังวลไหมว่าเด็กรุ่นใหม่จะจำคุณไม่ได้

พลพล : ก็มีหวั่นๆครับ ว่าเขาจะรู้จักเราไหม เพราะมันเป็นเรื่องธรรมดาถ้าพ่อแม่เปิดให้ฟัง เด็กๆบางคนรู้จักเพราะพ่อแม่เปิดเพลงให้ฟัง แต่ดันไม่รู้จักวงใหม่ๆ บางคนเป็นเด็กนอกฟังเพลงต่างชาติตลอดแล้วมารู้จักกันในค่ายก็มี  คือเริ่มต้นใหม่ไม่เป็นไร เหมือนเจอเพื่อนใหม่ (หัวเราะ) ตอนนี้เลยไม่กังวลแล้ว แต่มันก็จะมีความกังวลว่าเขาจะเคารพเราไหม เรื่องการขึ้นลงของวงการ แต่ค่ายก็ให้โอกาสและทุกคนยังจำผลงานเพลงเราได้ ก็เลยไม่ได้กังวลครับ

 

เคยคิดบ้างไหมว่าถ้าพี่ไม่ได้ร้องเพลงแล้ว จะทำอะไร

พลพล : ผมชอบทำอาหารครับ ก็มีรายการอาหารกับครอบครัวอยู่ ชื่อรายการ พลพลอร่อยเลย แต่ก็เป็นรายการเล็กๆ ทำไปเรื่อยๆ เป็นความถนัดที่ทำได้ ก็ถ้ามีเวลาเต็มที่ก็อาจทำร้านอาหารได้ แต่ตอนนี้เราไม่มีเวลา มันเหมือนเปิดร้านแล้วไปที่อื่น เหมือนเปิดโรงเรียนแล้วไม่อยู่สอนอะครับ อยากเป็นคนทำอาหารเอง เพราะก็เรียนมากับเพื่อนเชฟและใช้วิธีครูพักลักจำเอาครับ ตอนนี้แฟนก็ทำเบเกอรี่และทำอาหารครับ

 

คลิกชมรายการ พลพลอร่อยเลย ได้ที่นี่

 

ที่ผ่านมา วงการเพลงให้อะไรกับพี่บ้าง

พลพล : ในแง่ชีวิต มันก็ให้ชีวิตเลยครับ ให้ความหวัง ครอบครัว บ้าน และ รถ ก็เป็นสิ่งที่ได้มา ในส่วนของสังคมกับงาน ก็เป็นสังคมที่ดี และการสอนที่ดี ทำให้เราได้เจอคนเยอะมากครับ

 

สุดท้ายนี้ ในความคิดพี่ เพลงของพี่เปรียบเสมือนอาหารประเภทไหน

พลพล : ผมว่าเหมือนกระเพราครับ ข้าวกระเพราทุกคนกินได้ คือมีรสเผ็ดจัดไปเลย หรือรสกลางๆได้ แต่วันหนึ่งเขาอาจอยากกินอย่างอื่น แต่ก็สามารถกลับมากินได้ เพราะเป็นอาหารที่กินง่ายและสามารถทุกวันครับ  

 

คลิกฟังเพลงฮิตของ พลพล ได้ที่นี่

 

ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวงการเพลงมาหลายสิบปี แต่ทุกวันนี้คุณพลพลก็ยังคงทำงานเพลงด้วยความตั้งใจ และหาอะไรใหม่ๆมานำเสนอแฟนเพลงเสมอ ซึ่งแฟนๆสามารถฟังผลงานเพลงทุกซิงเกิ้่ลของเขาได้ที่ JOOX และ Sanook! Music ได้เลยครับ 

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ "พลพล" เปิดใจถึงความกังวล ในการพบเจอแฟนเพลงรุ่นใหม่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook