(รีวิว) Alt-J เรียบง่าย แต่ทรงพลังราวกับผลงานศิลปะชั้นเยี่ยม
“ออกไปดูหนังฟังเพลง เข้าพิพิธภัณฑ์ เสพงานศิลปะเยอะๆ” นี่คือคำแนะนำจากวงรุ่นพี่ Alt-J ถึงวงดนตรีหน้าใหม่ที่อยากทำเพลงให้ดี และไปได้สวยในเส้นทางสายนักดนตรีมืออาชีพ รวมถึงประสบความสำเร็จ และเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์ขาโหดหลายต่อหลายสำนัก เมื่อแรงบันดาลใจของพวกเขามาจากงานศิลปะ จึงไม่ยากเลยที่ระหว่างการชมการแสดงคอนเสิร์ต Alt-J Live in Bangkok 2017 โดย Medium Rare Live จะทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเสพงานศิลปะอยู่ในพิพิธภัณฑ์ที่เต็มไปแสงสีเสียงตระการตาที่สวยงาม แม้จะยากต่อการเข้าถึงในบางช่วงเพราะดนตรีของพวกเขาสลับซับซ้อนไม่เหมือนใครราวกับเป็นงานแอ็บสแตรค แต่เมื่อตั้งใจดูนานๆ จะพบว่าเป็นงานศิลปะชั้นเยี่ยมที่ต้องใช้เวลาในการค่อยๆ ซึมซับ จนในที่สุดกว่าจะรู้ตัวก็หลงใหลไปกับความสลับซับซ้อนนั้นง่ายกว่าที่คิด
ฟ้าฝนเป็นใจให้เหล่าสาวกของ Alt-J เข้าชมคอนเสิร์ตได้เย็นๆ ฉ่ำๆ เพราะมีฝนตกเม็ดเล็กๆ ไล่ตามหลังมาเมื่อเวลาใกล้เริ่มโชว์ แต่ราวกับมีคนปักตะไคร้ให้ เพราะฝนหยุดตกในเวลาใกล้ขึ้นแสดงพอดี ความแตกต่างที่สัมผัสได้ตั้งแต่ก้าวแรกที่เข้าไปในฮอลล์ คือการจัดวางตำแหน่งเวทีที่อยู่ด้านหลังสุดของฮอลล์ ดังนั้นก้าวแรกที่เข้าไปในฮอลล์ก็จะเห็นเวทีตั้งอยู่ทันที และแวบแรกที่เงยหน้ามองเวที ก็ต้องแปลกใจกับการตกแต่งบนเวทีที่เต็มไปด้วยเสามากมายที่แบ่งพื้นที่บนเวทีออกเป็น 3 ส่วน พร้อมเครื่องดนตรีของสมาชิกวงแต่ละคน ทั้งคีย์บอร์ด ไมโครโฟน กีต้าร์ และกลอง เห็นแล้วก็ต้องแปลกใจว่าสมาชิกแต่ละคนจะเล่นดนตรีเฉพาะในพื้นที่ของตัวเองโดยไม่ออกมามีปฏิสัมพันธ์กับคนดู หรือหันมาคุยมาเล่นกันเองเลยหรืออย่างไร เพราะเสาทั้งหมดกั้นพื้นที่ของแต่ละคนเอาไว้อย่างชัดเจน แล้วโชว์จะออกมาในแนวไหน ยิ่งทำให้เราสงสัยและเฝ้ารอชมการแสดงในครั้งนี้มากขึ้นเป็นพิเศษ
21.30 น. โดยประมาณ 3 หนุ่ม Alt-J เดินขึ้นเวทีพร้อมเสียงเชียร์จากแฟนเพลงมากมายที่ขนซื้อบัตรจน sold out ตั้งแต่วันแรก และงานนี้พบว่าแฟนเพลงชาวต่างชาติมากกว่างานอื่นๆ โดยเฉพาะชาวยุโรปที่แทบจะจับจองพื้นที่ส่วนหน้าเวทีไปได้มากกว่าครึ่ง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมาก ทั้งสามลุยอินโทรแรกด้วย “3WW” (อ่านว่า ทรี วอร์น เวิร์ดส) เป็นการอุ่นเครื่องเพื่อเปิดบ้านเข้าสู่โลกแห่งเสียงเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะ และวรรณกรรมโบราณ เสาแบ่งเขตบนเวทีที่เราสงสัย มันก็คือเสาไฟ LED ที่ไล่แสงไปตามจังหวะของเพลงได้อย่างลงตัว เสียงกีต้าร์ และเสียงร้องประสานของ Joe Newman และ Gus Unger Hamilton ทำเอาหลายๆ คนขนลุก บวกกับแสง และสีจากบนเวทีที่ทำเฉียบขาด ทำให้เป็นการเปิดโชว์เรียกพลังได้เป็นอย่างดี
ข้อสังเกตของคอนเสิร์ตนี้สำหรับเราแล้วเป็นคอนเสิร์ตที่แฟนเพลงตั้งใจเข้ามาดื่มด่ำกับดนตรี โดยยกสมาร์ทโฟนขึ้นมาถ่ายรูป หรือถ่ายวิดีโอน้อยกว่างานอื่นๆ เล็กน้อย ระหว่างที่ชมการแสดงทุกคนแทบจะไม่ละสายตาไปจากเวที เพราะนอกจากดนตรีเพลงช้าที่ทำได้ดำดิ่งลุ่มลึกสมคำร่ำลือแล้ว เพลงที่มีจังหวะสนุกๆ อย่าง “In Cold Blood” และ “Dissolve Me” ก็ทำได้ดีชนิดที่ภาคดนตรีก็เก็บละเอียดทุกเม็ดแล้ว แสงและสีสวยๆ จากฉาก และเสาที่ตั้งเรียงรายบนเวทีก็ยิ่งทำให้ทุกคนเพลิดเพลินไปทุกโสตประสาท และเอกลักษณ์ของ Alt-J คือเพลงที่มีจังหวะของเพลงหลากหลายในเพลงเดียว ในช่วงเร่งจังหวะก็ทำได้น่าระทึกใจ ในขณะที่ช่วงลากเสียงคีย์บอร์ดกับกีต้าร์ยาวๆ ไปพร้อมเสียงประสานของ Joe และ Gus ก็ดูล่องลอยราวกับจะหลุดออกไปนอกอวกาศ จนสุดท้ายก็ถูกดึงกระชากกลับมากับตอนจบของเพลงที่เฉียบคมแทบทุกเพลง
นอกจาก “Tessellate”, “Every Other Freckle”, “Matilda” และ “Taro” เพลงเก่าเพลงเก่งของวงที่แฟนๆ ร้องตามกันได้สบายๆ แล้ว เพลงใหม่จากอัลบั้ม Relaxer อัลบั้มล่าสุดอย่าง “Deadcrush”, “Adeline” และ “Pleader” ก็สะกดอารมณ์ของผู้ชมในฮอลล์ได้อยู่หมัดไม่แพ้กัน และนอกจากเสียงกีต้าร์สุดละเมียดละไม เสียงคีย์บอร์ดพร้อมเทคนิคอันแพรวพราว และเสียงร้องประสานอันทรงพลังของ Joe และ Gus แล้ว เสียงกลองของ Thom Sonny Green ก็มีพลังและใส่เต็มไม่แพ้กัน โดยเฉพาะโซนที่เรายืนอยู่ตรงหน้ากลองพอดี เลยได้เห็นฝีไม้ลายมือในการเล่นกลองของเขาอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็นเพลงช้าเพลงเร็ว Thom ควบคุมจังหวะของวงโดยรวมได้ดี กระแทกกระทั้น และผ่อนแรงในจุดที่เหมาะที่ควร ทำให้เราเผลอมองกลองอยู่บ่อยๆ เพราะไม่ใช่ง่ายๆ ที่เราจะได้เห็นฝีมือของมือกลองชัดๆ ใกล้ๆ แบบนี้ เพราะปกติตำแหน่งมือกลองของวงอื่นจะถูกเก็บไปอยู่ด้านหลังมากกว่าจะอยู่หน้าเวทีอย่างนี้
หลังจากปิดโชว์ด้วย “Fitzpleasure” สมาชิกก็หายเข้าข้างเวทีให้แฟนเพลงได้อังกอร์กันพอหอมปากหอมคอ แล้วกลับมาต่อกับ 3 เพลงรวด แน่นอนว่าเป็นเพลงที่แฟนๆ รอคอยมากที่สุด ทั้ง “Intro (An Awesome Wave)”, “Left Hand Free” และ “Breezeblocks” ที่ผู้ชมต่างก็พากันตะโกนร้องตาม และเริ่มโยกตัวส่งท้ายเพลงก่อนกลับบ้านกันอย่างสนุกสนาน โดยมี Gus เป็นฝ่ายเอนเตอร์เทนทั้งพูดคุยทักทาย เรียกให้คนดูโบกมือ และปรบมือตามจังหวะกันอยู่เรื่อยๆ จบโชว์ด้วยรอยยิ้มและคำบอกลาจากสมาชิกในวงที่กล่าวคำขอบคุณ และสัญญาว่าจะกลับมาใหม่อย่างแน่นอน
โดยรวมถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่น่าประทับใจ และคุ้มค่ากับการรอคอยในแง่ของภาคดนตรีที่ดนตรีแน่นและทรงพลังแม้ว่าจะมีเครื่องดนตรีน้อยชิ้น พลังเสียงประสานของ Joe และ Gus ก็ทำได้ดีจนเราขนลุกในบางจังหวะ แต่ก็น่าเสียดายที่ในหลายๆ เพลง เสียงโหนสูงของ Joe Newman ทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร บางจังหวะก็แหลมหูไปเล็กน้อย ในขณะที่ภาคของการแสดงก็มีความดิบอยู่มาก เริ่มเล่นอินโทรเพลง “Hunger of the Pine” ไปได้เล็กน้อย แสงสีเสียงกำลังใช่ แต่สุดท้ายวงก็หยุดเล่นกลางคัน โดยมีเสียงของ Gus ท่ามกลางความมืดว่า “เพลงนี้เอาไว้เล่นรอบหน้าแล้วกัน” จากนั้นก็เปลี่ยนไปเล่น “The Gospel of John Hurt” ทันที เล่นเอาแฟนเพลงหันมาหัวเราะกับการกระชากอารมณ์ของวงกันสุดๆ (หลายคนอาจคิดว่าเล่นพลาด แต่อันที่จริงเป็นแผนของวงที่ตั้งใจเล่นแบบนี้)
หากเปรียบฮอลล์คอนเสิร์ตในครั้งนี้ราวกับหอศิลป์ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยการแสดงงานศิลปะหลากหลายแขนง เราก็ถือว่า Alt-J ทำได้ดีที่สามารถดึงความสนใจของทุกคนให้ใจจดจ่ออยู่กับในงานศิลปะตรงหน้าได้ทุกรูปแบบ เป็นงานศิลปะที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง และเราสัมผัสได้ถึงความลุ่มหลงในงานศิลปะทุกแขนงของพวกเขาได้จากดนตรีของพวกเขาจริงๆ
หวังว่าแฟนๆ ชาวไทยจะมีโอกาส “ครั้งหน้า” ให้ได้ฟัง “Hunger of the Pine” อย่างที่พวกเขาบอกเอาไว้กันนะ
___________________
Story : Jurairat N.