(รีวิว) รักเธอรอเก้อ! “Liam Gallagher Live in Bangkok” มันได้ใจ แต่ไร้วี่แวว “Live Forever”
ผ่านพ้นปี 2018 มาได้เพียง 10 กว่าวัน แต่แวดวงคอนเสิร์ตในบ้านเราคึกคักเหลือเกิน ยิ่งเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (12 มกราคม 2018) สาวกบริตป็อปยุค 90s คงจะแฮปปี้กันถ้วนหน้า เมื่อ Liam Gallagher อดีตฟร้อนต์แมนแห่งคณะ Oasis เดินทางมาเปิดการแสดงสดที่เมืองไทยกับ “Liam Gallagher Live in Bangkok” โดยผู้จัด The Very Company ณ ไบเทค บางนา ฮอลล์ 106 ซึ่งเรียกได้ว่า ‘ครบรส’ โดยแท้จริง เพราะมีทั้งความรู้สึกมัน ฟิน แหกปาก หงุดหงิด หรือแม้แต่ค้างคาใจจนมาถึง ณ ตอนนี้
เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่คอดนตรีชาวไทยรอคอยมาอย่างยาวนานก็ว่าได้ เพราะหากจะกล่าวถึงครั้งสุดท้ายที่ ‘ป๋าเลียม’ มาขึ้นเวทีคอนเสิร์ตที่เมืองไทยก็ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2006 กับงาน Bangkok 100 Rock Festival หรือหากจะย้อนไปนานกว่านั้น นั่นคือเมื่อกว่า 16 ปีที่แล้วกับคอนเสิร์ต Oasis Live in Bangkok โดยใน 2 ครั้งนั้นเขายังคงญาติดีกับพี่ชายอย่าง Noel Gallagher ฟอร์มวง Oasis จนกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก แต่คราวนี้เขากลับมาในฐานะศิลปินเดี่ยว และนี่คือการทัวร์คอนเสิร์ตโปรโมตอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในชีวิตอย่าง As You Were นั่นเอง
The Whitest Crow
และก็เป็นเรื่องราวดีๆ ที่วงอินดี้ร็อคสัญชาติไทยอย่าง The Whitest Crow ได้ทำหน้าที่เล่นเป็นวงเปิดให้กับหนึ่งในตำนานศิลปินของโลก ซึ่งคณะอีกาขาวทั้ง 4 คนที่สมาชิกประกอบไปด้วย ไตเติ้ล-ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์ (ร้องนำ, กีตาร์), เบ็น-นัทธพงศ์ พรมจาด (กลอง), อ๋อง-วิศวชาติ สินธุวณิก (กีตาร์, ซินธิไซเซอร์) และ แบงค์-นนทพัทธ์ พรมจาด (เบส) ก็ทำความฝันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตออกมาได้ดีทีเดียว แม้อาการจะดูออกอย่างชัดเจนว่าเกร็งอยู่ไม่น้อย กับเวทีที่อาจจะใหญ่มากๆ สำหรับวงดนตรีที่ไม่เคยเล่นคอนเสิร์ตสเกลนี้มาก่อน ไม่รวมถึงแรงกดดันและภาวะตื่นเต้นที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่บทเพลงทั้งจากอัลบั้มแรกอย่าง Bangkok Blondie และล่าสุดกับ Siam Psyche ก็เรียกเสียงปรบมือทั้งจากคอเพลงที่รู้จักพวกเขาอยู่แล้ว รวมถึงฝรั่งมังค่าที่คาดเดาว่าไม่น่าจะเคยฟังมาก่อนได้อยู่เป็นระยะ
เพลงเด่นจากทั้ง 2 อัลบั้ม The Whitest Crow นำมาเล่นแบบจุใจ อาทิ “Bangkok Blondie”, “I.C.S.T.O.Y.”, “Your Soul”, “Can’t Get Any Higher”, “Give Up on Love” หรือแม้แต่ “Be With You” ที่โยกตามกันได้สบายๆ ซาวด์โดยรวมอาจจะยังไม่ดีนัก ดูเหมือนว่าจะมีช็อตที่มีปัญหาที่เกี่ยวกับสายแจ๊ค ทำให้เสียงติดๆ ดับๆ เอฟเฟกต์ของเบสดังกลบเสียงกีตาร์ในบางช่วงบางตอน รวมไปถึงเพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ยังขาดความต่อเนื่องพอสมควร จึงทำให้โชว์ของพวกเขาดีในระดับหนึ่ง เพียงแต่หากอีกาขาวฝูงนี้มีโอกาสได้โชว์ฝีมือบ่อยๆ น่าจะเป็นอีกวงดนตรีที่เก๋าเกมในจังหวะจะโคนของการแสดงอยู่มากทีเดียว เห็นแววเลยล่ะ
Liam Gallagher
พักเซ็ตเวทีกันพักใหญ่ จนทำให้การแสดงต่อไปเลทไปประมาณ 15 นาที จู่ๆ เจ้าของงานอย่าง Liam Gallagher และนักดนตรีที่ร่วมออกทัวร์ด้วยกันก็โผล่มาอยู่บนเวทีเรียบร้อย บูธของมือคีย์บอร์ดที่เขียนด้านล่างว่า ROCK ‘N’ ROLL เท่มากๆ พร้อมเสียงกรี๊ดอื้ออึงรอบทิศทาง ‘ป๋าเลียม’ ตัวจริงเสียงจริงอยู่ตรงหน้าทุกคนแล้ว พร้อมมาดกวนๆ ตามสไตล์ ก่อนจะเปิดหัวด้วยอินโทรสุดคึกอย่าง “Fuckin’ in the Bushes” ต่อด้วย “Rock ‘n’ Roll Star” และ “Morning Glory” ที่ทำเอาอะดรีนาลีนของทุกคนในฮอลล์พลุ่งพล่านตั้งแต่แรก และยอมรับแบบไม่อายว่า ‘ขนลุกเกรียว’ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ภาพบนจอด้านข้างซ้าย-ขวาปรากฏภาพ Liam สีขาวดำ พลันทำให้เรานึกย้อนกลับไปตอนที่ได้ดูสารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic เมื่อปี 2016 อย่างไรอย่างนั้น
หลังจากนั้น Liam Gallagher ก็ร่ายยาว 5 แทร็คในอัลบั้มใหม่ As You Were ไม่ว่าจะเป็น “Greedy Soul”, “Paper Crown”, “Bold” ที่ทำให้อารมณ์ที่กำลังเข้มข้นนั้นเจือจางลงมาเล็กน้อย (เพราะส่วนใหญ่อาจยังไม่คุ้นหู) ทว่ากับเพลงอย่าง “Wall of Glass” และ “For What It’s Worth” นี่ร้องตามกันกระหึ่มไม่แพ้เพลงฮิตสมัยทำวง Oasis แม้แต่น้อย ในขณะที่ “Soul Love” แทร็คจากอัลบั้ม BE ของวง Beady Eye ที่เขาแยกออกมาทำหลัง Oasis แยกย้ายก็อาจดูเงียบๆ อยู่สักหน่อย
ไม่รอช้า Liam พาคนฟังกลับสู่โหมดคึกคักอีกครั้งด้วยเพลง “Some Might Say” และ “Slide Away” ก่อนจะคั่นด้วยเพลงจากอัลบั้มล่าสุดอีกครั้งอย่าง “Come Back to Me” และ “You Better Run” ความมันค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเพลง “Be Here Now” และ “Cigarettes & Alcohol”
แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้น เสียงกีตาร์อะคูสติกทำนองเพลง “Wonderwall” ก็ดังขึ้น พร้อมท่อนฮุกที่ Liam ปล่อยให้แฟนเพลงชาวไทยร้องกันสนั่นหวั่นไหว พร้อมคำชม “Beautiful” แบบฟังสำเนียงยากทีเดียว ใจหนึ่งก็กำลังตื้นตันอยู่กับเพลงโปรดของคนหลายสิบล้าน แต่อีกใจก็นึกย้อนกลับไปดูเซ็ตลิสต์ที่ประเทศออสเตรเลีย ปรากฏว่า เพลงนี้มันเป็นเพลงสุดท้ายแล้วนี่!
ใช่ครับ... Liam Gallagher จบโชว์อย่างรวดเร็ว แฟนเพลงด้านล่างคิดว่าคงจะมีอังกอร์ตามธรรมเนียม แต่หารู้ไม่ว่า ในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ไฟฮอลล์จะกลับมาเปิดอีกครั้ง แม้จะโห่ร้องเรียกชื่อ ปรบมือนานแสนนานเพียงใด ป๋าก็ไม่ยอมเดินกลับออกมาบนเวทีเสียที จนกระทั่งทุกคนรู้ตัวจากการที่ทีมงานเริ่มเปิดไฟ และเพลงต่างๆ จบสิครับงานนี้... แล้ว “Live Forever” ที่เราเห็นอยู่ในรายชื่อเพลงที่เล่นที่ออสเตรเลีย และมีความหวังที่จะได้ฟังแบบสดๆ หายไปไหน หายไปด้วยสาเหตุใด ไม่มีใครทราบ ทิ้งไว้เพียงเครื่องหมายคำถามในใจของเหล่าแฟนเพลง ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ บางคนถึงกับอุทานออกมาเป็นทั้งคำพูดและสเตตัสบนโซเชียลมีเดีย บางกลุ่มเสียดายถึงขนาดออกไปร้องเพลงดังกล่าวกันเองบริเวณภายนอกงานเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ก่อนเดินทางไปรับชม “Liam Gallagher Live in Bangkok” ความคาดหวังเราไม่ได้สูงมากนัก เพราะรู้ดีว่าแบบฉบับแนวเพลงของศิลปินสุดแสบผู้นี้ไม่ได้อึกทึกครึกโครมหรือหวือหวาแต่อย่างใด ดนตรีบริตป็อปตั้งแต่สมัย Oasis จนมาถึง Beady Eye ก็เรียบง่าย ใช้คอร์ดในแต่ละเพลงอยู่ไม่กี่คอร์ด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมากลับเต็มไปด้วยพลังงานบางอย่างที่ Liam Gallagher และวงของเขาส่งจากเวทีลงมาสู่เหล่าสาวกด้านล่างแบบเต็มสูบ ด้วยท่วงทำนองอันคุ้นเคย เนื้อร้องอันแสนมีเสน่ห์ และภาคดนตรีที่แสบสันต์ใช่ย่อย
ระบบแสงดีงามตามมาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึก ‘ว้าว’ ขนาดนั้น ส่วนในเรื่องของซาวด์ เราประทับใจค่อนข้างมากทีเดียว มาเต็มทุกไลน์ โดยเฉพาะลีดกีตาร์ที่สำเนียงจี๊ดจ๊าด ส่งอารมณ์มาถึงคนฟังได้แทบทุกตัวโน้ต กีตาร์ริทึ่มก็สร้างความสมบูรณ์ให้กับเพลงได้เป็นอย่างดี ความหนักแน่นของกลองก็เช่นเดียวกัน อาจจะมีในบางเพลงที่ซาวด์ไม่เคลียร์ ฟังนัวๆ อยู่บ้าง แต่ต้องยอมรับเลยว่า วงดนตรีที่อยู่บนเวทีนั้นเล่นสดได้เยี่ยมเอามากๆ
Liam ก็ยังคือ Liam วันยังค่ำ เสือยิ้มยากผู้มาพร้อมมาดกวนตามสไตล์ ไมค์กดลงต่ำเล็กน้อยเพื่อเงยหน้าร้องเพลงตามวิถีที่เคยเป็นมา ในมือมีแทมบูริน รวมถึงเครื่องเขย่าต่างๆ สวมเสื้อฮู้ดที่นำมาใส่ศีรษะบางเวลา ราวกับว่าเขากำลังใช้กันฝนที่เมืองแมนเชสเตอร์เป็นประจำอยู่แล้ว และวีรกรรมที่ ‘โคตรเลียม’ ก็คงหนีไม่พ้นการที่จู่ๆ ก็หยิบ “Wonderwall” มาเล่นก่อนเวลาอันควร ทั้งยังให้ความหวังแฟนๆ ด้วยการปิดไฟบนเวทีมืดสนิทในระหว่างที่เสียงอังกอร์ดังขึ้นเรื่อยๆ เสมือนเป็นความหวังที่เขาจะต้องปรากฏกายบนเวทีอีกครั้ง พร้อมเพลงที่ยังไม่ได้เล่นอย่าง “Live Forever” อย่างแน่นอน… แต่อย่างที่บอก Liam ก็ยังคือ Liam วันยังค่ำ ไม่นานนักหลังจากนั้น ไฟในฮอลล์ก็เปิด เป็นสัญญาณว่า… ทุกคนสามารถเดินทางกลับบ้านกันได้แล้ว สำหรับเราก็ไม่ได้รู้สึกโมโหฟึดฟัดแต่อย่างใด แค่รู้สึกเสียดายเท่านั้นที่เพลงดังอย่าง “Live Forever” ไม่มีโอกาสดังกระหึ่มฮอลล์ที่ประเทศไทยก็เท่านั้นเอง
ที่อยากจะกล่าวถึงมากๆ สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็คือ ‘มารยาท’ ของการชมคอนเสิร์ต สิ่งที่เห็นคือการพยายามขว้างแก้วพลาสติกขึ้นไปบนเวที สาดน้ำ สาดเบียร์อย่างไร้ทิศทาง จนทำให้คนอื่นเดือดร้อน สูบบุหรี่ในฮอลล์ และตะโกนขึ้นไปบนเวทีด้วยร่างกายอันไร้สติ นี่คือมารยาทที่ต่ำทรามสำหรับการชมคอนเสิร์ต หรืออาจหมายรวมถึงการใช้ชีวิตในสังคมเลยด้วยซ้ำ อันที่จริงในช่วงแรกของงานเราเห็นพนักงานรักษาความปลอดภัยจำนวนไม่น้อยกระจายยืนอยู่ตามแต่ละจุดในฮอลล์ (ซึ่งในจุดนี้ขอชื่นชมผู้จัดอย่าง The Very Company) ทว่าด้วยผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาในปริมาณมากก็อาจทำให้การดูแลทำได้ไม่ทั่วถึงก็เป็นได้ รวมถึงจำนวนห้องน้ำในฮอลล์ที่มีเพียงห้องเดียว ทว่าผู้เข้าร่วมงานมีจำนวนร่วมหมื่นคน จึงเกิดการรอคอยที่จะได้ทำธุระส่วนตัวกันพักใหญ่
รวมไปถึงเหตุการณ์ดราม่าที่ทีมงาน Sanook Music เจอกับตัวเอง เมื่อมีกลุ่มคนไม่พอใจการบริหารจัดการในเรื่องการนำรถออกจากสถานที่จัดแสดงที่หลายคนรอร่วมชั่วโมง แต่รถก็นิ่งสนิทเนื่องด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่ทราบ จนถึงขนาดมีการเรียกร้องให้ผู้ที่รับผิดชอบในส่วนนี้แก้ไขปัญหาโดยด่วน และในท้ายที่สุดทุกอย่างก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ซึ่งในจุดนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่ทางผู้จัด รวมถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายนำไปพิจารณาในคอนเสิร์ตครั้งต่อไป
เขียนมาจนถึงบรรทัดนี้ แม้ว่าจะเกิดเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย หลากหลายรูปแบบ แต่ร็อคแอนด์โรลสตาร์นามว่า Liam Gallagher ก็ยังสามารถยืนยันตัวตนอันชัดเจน ผ่านการกระทำ และท่วงทำนองที่เกิดขึ้นตั้งแต่วินาทีแรกยันวินาทีสุดท้ายอย่างแท้จริง
Story by: Chanon B.
Photos by: Chanon B. & Jurairat N.