อลังการทั้งแสงสีเสียง และหัวเราะร่วนไปกับ Katy Perry WITNESS: The Tour 2018 Bangkok

เป็นโอกาสที่หาไม่ได้ง่ายๆ สำหรับซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่มาเยือนเมืองไทยกันมากกว่า 1 ครั้ง แต่สำหรับสาว Katy Perry ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 กับการกลับมาของ World Tour เต็มรูปแบบ ใน Katy Perry WITNESS: The Tour 2018 Bangkok เมื่อคืนวันอังคารที่ 10 เมษายน ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดย Live Nation BEC-Tero เจ้าเก่า พร้อมโปรดักชั่นแสงสีเสียงสุดอลังการ หลังจากที่เคยฝากความประทับใจให้กับคนไทยใน Katy Perry – The Prismatic World Tour in Bangkok เมื่อปี 2015 หรือเมื่อราวๆ 3 ปีที่แล้ว กลับมาคราวนี้แฟนเพลงยังให้การตอบรับที่ดีเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือคอสตูมจัดหนักจัดเต็มจากการเลียนแบบการแต่งกายของสาว Katy Perry ในมิวสิควิดีโอเพลงต่างๆ สร้างสีสันให้กับแฟนเพลงด้วยกันเองเป็นอย่างดีก่อนที่คอนเสิร์ตจะเริ่มต้นขึ้น

เวลา 21.10 น. โดยประมาณ แม้ว่างานจะเริ่มช้ากว่ากำหนดการณ์ไปเล็กน้อย แต่เมื่อไฟในฮอลล์ดับลง เสียงกรี๊ดเริ่มดังขึ้น สาว Katy Perry ก็ปรากฏตัวขึ้นมาจากเวทีเล็กที่ยื่นออกมาด้านหน้า เริ่มต้นคืนนี้ด้วย “Roulette” เมื่อเครื่องเริ่มร้อนก็ยิงต่อด้วยชุดเพลงฮิต ทั้ง “Dark Horse”, “Chained to the Rhythm”, “Teenage Dream” รีมิกซ์ “Hot N Cold / Last Friday Night” (T.G.I.F.) และ “California Gurls” นับว่าเปิดโชว์ด้วยขบวนเพลงฮิตที่ทำเอาเหล่า KatyCats เมืองไทยลุกจากเก้าอี้กันทั้งฮอลล์ได้ตั้งแต่เริ่มโชว์เลยทีเดียว

 

 

 

เสน่ห์ของศิลปินป็อปที่ขาร็อคอาจจะต้องแอบอิจฉาเบาๆ คือความเป็นกันเอง และการใช้เวลากับแฟนเพลงมากกว่าปกติ หลังจากเพิ่งฟาดฟันต่อสู้กับตุ๊กตารูปฉลาม หรือ Left Shark ซึ่งเป็นหนึ่งในมาสคอตประจำคอนเสิร์ตของสาวเคที่แล้ว เธอก็เลือกแฟนเพลงผู้โชคดีขึ้นมาพูดคุยสร้างความสนุกสนาน ทั้งขอให้สอนพูดภาษาไทย (ที่นับว่าเป็นศิลปินต่างชาติที่พูดได้ชัดมากคนหนึ่ง) ชมเรื่องชุดที่แฟนเพลงแต่งออกมาแล้วเต็มไปด้วยสำลี (เหมือนในมิวสิควิดีโอเพลง “California Gurls”) และยังประวิงเวลาให้แฟนเพลงคนนั้นได้ถ่ายรูปเซลฟี่สมใจอยาก แม้ว่าครั้งแรกจะถ่ายรูปไม่สำเร็จเพราะมือถือเครื่องนั้นเมโมรี่เต็มจนต้องเปลี่ยนเครื่องใหม่ แฟนเพลงก็แจ้งให้สาวเคที่ทราบว่าเธอมีชื่อไทยที่แฟนเพลงชาวไทยตั้งให้ว่า “แข” เธอก็ออกเสียง “แข” ได้อย่างชัดเจน แฟนเพลงในฮอลล์ปรบมือกันยกใหญ่ เป็นบรรยากาศสบายๆ ที่เป็นเสน่ห์ของคอนเสิร์ตของศิลปินป็อปที่ช่วยให้เส้นกั้นระหว่างศิลปิน และแฟนเพลงลดลงอย่างรวดเร็ว

ทางด้านของโปรดักชั่นเองก็ไม่น้อยหน้ากับทัวร์คอนเสิร์ตครั้งที่แล้ว แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแดนเซอร์แบบยกเซ็ต โดยได้เป็นแก๊งแดนเซอร์สาวสวย (ที่เราอาจจะแทบไม่ค่อยได้เห็นหน้าเนื่องจากคอสตูมในแต่ละเพลงที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ บดบังใบหน้าอยู่หลายครั้ง) บวกแดนเซอร์ผู้ชายที่แข็งแรงแต่อ่อนช้อยด้วยการเต้น Pole Dance สวมชุดเป็นหุ่นขายาวตัวนู้นตัวนี้ราวกับตัวละครในละครเวที แต่การเอนเตอร์เทน รวมถึงชุดที่ใช้แสดงในแต่ละช่วงก็เปลี่ยนได้รวดเร็วลื่นไหลไม่มีสะดุด อุปกรณ์ตกแต่งบนเวทีที่ยกเข้ายกออกกันเป็นว่าเล่น มีการยกระดับพื้นเวทีขึ้นเป็นพักๆ เพื่อเรียกความสนใจของคนดูได้เรื่อยๆ เปลี่ยนจุดการแสดงไปทั้งเวที ทั้งจากเวทีหลัก และเวทีเล็กด้านหน้า วงดนตรีแบ็กอัพก็เปรี้ยวไม่แพ้แดนเซอร์ การแต่งกาย และลีลาจัดจ้านไม่แพ้ฝีไม้ลายมือในการเล่นดนตรี รวมไปถึงแสงไฟ แสงเลเซอร์ และจอ LED ที่ให้ภาพ และสีสันสดใสชัดเจนตลอดทั้งคอนเสิร์ต ยืนยันได้เลยว่าเป็นโปรดักชั่นระดับโลกที่ไม่ได้หาดูกันได้ง่ายๆ จริงๆ

 

 

นอกจากเพลงในอัลบั้มเก่าที่หลายคนร้องตามกันได้ทันทีที่อินโทรขึ้นอย่าง “I Kissed A Girl” และ “E.T.” ที่นำเสนอด้วยการเปลี่ยนไลน์ดนตรีใหม่ทั้งหมดเพื่อไม่ให้ซ้ำซากจำเจเหมือนทัวร์ครั้งอื่นๆ แล้ว เพลงจากอัลบั้มล่าสุด Witness อย่าง “Déjà Vu”, “Tsunami” รวมถึง “What Have You Done For Me Lately” งานคัฟเวอร์ของสาว Janet Jackson ที่รีมิกซ์ในช่วงท้ายของเพลง “Bon Appétit” ก็สร้างความสนุกให้กับแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี แม้ว่าแฟนๆ จะไม่ลุกขึ้นเต้นมากเท่ากับช่วงแรกๆ ก็ตาม

เนื่องจากเป็นศิลปินที่เพลงฮิตมักจะเป็นเพลงจังหวะเร็วเสียเยอะ ช่วงที่เราจะได้ฟังเสียงของสาวเคที่กันอย่างเต็มที่จึงมีเพียงช่วงเพลงช้าอย่าง “Wide Awake”, “Into Me You See” และ “Power” แต่ก็มากพอที่จะทำให้แฟนๆ ขนลุกเกรียวไปตามๆ กันกับพลังเสียงของเธอ พร้อมกับฉากปีกโบกสะบัดขึ้นลงบนเสาไฮดรอลิกที่สาวเคที่ขึ้นไปยืนอยู่ด้านหน้า เป็นภาพสวยงามที่เหมาะกับเพลง “Power” จริงๆ

จากการแสดงในเพลงช้า เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่า Katy Perry เป็นศิลปินที่มีน้ำเสียงทรงพลังไม่แพ้ศิลปินป็อปท่านอื่น แต่น้ำเสียงอาจจะไม่นุ่มนวลหรือฟังนุ่มหูมากเท่าศิลปินสายดีว่า และน้ำเสียงของเธอในเพลงเร็วอาจจะดีไม่เท่าเสียงร้องของเธอในเพลงช้าอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากการแสดงในเพลงเร็วเป็นการออกแบบให้ออกมาเป็นลักษณะของ “โชว์” มากกว่า จึงมีบางช่วงที่ปล่อยให้คอรัสร้องบ้าง หันมาพูดคุยกับคนดูกลางเพลงบ้าง แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์ของการแสดงสดบนคอนเสิร์ตที่ไม่จำเป็นต้องร้องเป๊ะละเอียดทุกคำเหมือนที่ได้ยินจากซีดี นอกจากนี้ระบบเสียงในคอนเสิร์ตครั้งนี้แม้ว่าจะจัดอยู่ในเกณฑ์ดีพอสมควร แต่ในบางช่วงบางจังหวะเสียงเบสก็อาจจะกระหึ่มเกินไปจนกลบเสียงดนตรีอื่นๆ กระหึ่มมากขนาดที่ทำให้พื้นและเบาะนั่งสั่นสะเทือนในระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงเพลงอื่นๆ เสียงก็กลับมาลื่นไหลได้ตามปกติ

 

 

อย่างไรก็ตาม โปรดักชั่นคอนเสิร์ตที่ว่าอลังการงานสร้าง และจัดเต็มชนิดที่ชมคอนเสิร์ตในครั้งนี้แล้วเพลินหูเพลินตามากอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่หากใครติดตามผลงานของสาวเคที่อยู่เรื่อยๆ อาจจะเคยเห็นโปรดักชั่น อุปกรณ์การตกแต่งฉากบนเวทีที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่คอนเสิร์ตต่างประเทศ ดังนั้นอาจจะพูดได้ว่าคอนเสิร์ตในประเทศไทยเป็นโปรดักชั่นขนาด “เล็ก” กว่าในบางประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย แต่โปรดักชั่นในไทยก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร หนำซ้ำยังสวยงาม ตระการตา และไม่ได้รู้สึกว่าสนุกน้อยไปกว่าคอนเสิร์ตอื่นๆ ที่มีโปรดักชั่นระดับใกล้เคียงกันเลยแม้แต่น้อย

ช่วงท้ายของโชว์กลับมาเรียกพลังแฟนๆ คืนอีกครั้งด้วยชุดเพลงฮิต “Part of Me”, “Swish Swish” และ “Roar” ก่อนจะปิดท้าย encore กันด้วยเพลงที่เหมาะกับการปิดโชว์ที่สุดอย่าง “Fireworks” ที่มาพร้อมกับชุดใหม่อีกชุด และสาวเคที่ยืนอยู่บนมือขนาดใหญ่ที่ถูกเซ็ตฉากได้อย่างรวดเร็วแทบไม่ต้องรอนาน และพลุสีสวยหน้าเวที กับคอนเฟตติรูปดาวที่กระจายไปทั่วทั้งฮอลล์ ปิดฉากคอนเสิร์ต The Witness Tour ในประเทศไทยได้อย่างสวยงาม และสมการรอคอยกับโชว์ที่เต็มไปด้วยทุกอารมณ์ ทั้งสนุกสนาน หัวเราะลั่น มีพลัง และซึ้งใจตลอดทั้ง 2 ชั่วโมง 20 เพลง

 

 

แม้ว่าสาวเคที่จะเอ่ยว่าน่าเสียดายที่เธอไม่ได้มาร่วมทัวร์คอนเสิร์ต California Dreams ที่เป็นทัวร์คอนเสิร์ตครั้งแรกของเธอ แต่เธอย้ำว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่เธอมีความสุขที่ได้มาเยือนไม่ว่าจะกี่ครั้ง แต่สัญญาว่าครั้งหน้า และครั้งต่อๆ ไปเธอจะไม่พลาดมาทัวร์ที่ไทยอีกแน่นอน เราเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น เพราะนอกจาก KatyCats ชาวไทยจะน่ารัก และให้การสนับสนุนสาวเคที่มาเป็นอย่างดีมาตลอดแล้ว เมนูอาหารไทยอย่างผัดไทยที่เธอกล่าวถึงบนเวทีในคืนนั้นมากกว่า 3 ครั้ง คงเป็นเครื่องยืนยันว่าสาวเคที่หลงรักประเทศไทยเข้าให้แล้ว และเราน่าจะได้มีโอกาสชมการแสดงอันน่าตื่นตาตื่นใจ และสนุกสนานเป็นกันเองแบบนี้อีกครั้งแน่ๆ

 

 

____________________

Story : Jurairat N.

Photos : Live Nation BEC-TERO