สนุกจนไม่อยากให้จบ กับ Harry Styles Live on Tour ณ เมืองเพิร์ธ ออสเตรเลีย
จำได้ว่าเมื่อปี 2017 หลังจากที่ BEC-Tero Entertainment ประกาศว่าจะมีคอนเสิร์ต Harry Styles Live on Tour ในประเทศไทย แถมยังประกาศวันขายกันแบบข้ามปี เหล่าแฟนเพลง (รวมทั้งเราด้วย) ต่างแปลกใจไปตามๆ กัน และคิดว่าการรอคอยข้ามปีแบบนี้มันยาวนานเหลือเกิน แต่ไปๆ มาๆ ณ เวลาที่เขียนอยู่ตอนนี้ กลายเป็นว่าอีกไม่กี่วัน เราก็จะได้พบกับอดีตหนุ่มน้อยผมหยิก เสียงหลักประจำวง One Direction ที่ตอนนี้สลัดคราบบอยแบนด์ กลายเป็นศิลปินเดี่ยวอย่างเต็มตัว พร้อมสไตล์ดนตรีที่เปลี่ยนไปชนิดพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่น่าแปลกที่ผลงานที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงของเขา ยังคงถูกใจแฟนเพลงหน้าเก่า เรียกว่าเก็บเอาไว้ได้ครบ แถมยังพ่วงฐานแฟนเพลงใหม่ๆ เข้าไปด้วยอีกเพียบ นี่อาจจะเป็นเสน่ห์ของหนุ่มคนนี้ที่เราอาจจะเพิ่งเข้าใจ
ทีมงาน Sanook Music สื่อมวลชน ทีมงาน และแฟนเพลงผู้โชคดีจากกิจกรรมของ BEC-Tero Entertainment ได้แก่ น้องญี่ปุ่น-อภิสรา อัตตวนิช (19 ปี) และ น้องปอ-อัมพกา มิรินทานุช (22 ปี) เริ่มเดินทางจากกรุงเทพ ไปยังเมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ในเช้ามืดของวันที่ 20 เม.ย. 2018 ก่อนจะไปถึงสนามบินเมืองเพิร์ธในเวลา 15.00 น. แม้ว่าเมืองเพิร์ธจะเป็นเมืองเล็กๆ แต่เราพบเสน่ห์ของเมืองนี้ได้หลังจากลงเดินในตัวเมืองแค่ไม่กี่นาที
วันที่ 21 เม.ย. 2018 ก่อนเริ่มงานคอนเสิร์ต พวกเราได้มีโอกาสเดินผ่านสถานที่จัดงาน นั่นคือ Perth Arena ในเวลาก่อนเที่ยง เราได้เห็นแฟนเพลงที่ซื้อบัตรในโซนยืนมานั่งรอเข้าฮอลล์กันที่ด้านนอกของตึกเรียบร้อยแล้ว อุณหภูมิของเมืองเพิร์ธในขณะนั้นอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส พร้อมกับแดดที่ร้อนจัด แม้ว่าจะมีลมเย็นๆ พัดมาบ้างประปราย แต่นั่นก็ทำให้เราทึ่งกับความทุ่มเทของแฟนเพลงที่นี่มาก เมื่อหันไปถามถึงความสู้ตายของแฟนเพลงชาวไทย น้องญี่ปุ่น หนึ่งในแฟนเพลงที่ร่วมทริปครั้งนี้กับเราพูดถึงคอนเสิร์ต One Direction ที่ประเทศไทยเมื่อปี 2015 ว่า เธอเองก็ต้องต่อคิวรอเข้าคอนเสิร์ตที่สนามราชมังคลากีฬาสถานตั้งแต่ตีสามเช่นกัน (ย้ำ! ตีสาม ประตูเปิดให้เข้าไปด้านในเวลา 6 โมงเย็น) เพื่อจับจองที่ยืนที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เห็นอย่างนี้แล้วก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสาวๆ ฝั่งออสซี่จะมานั่งรอกันตั้งแต่เมื่อไร ทุ่มเทเหมือนสาวๆ ฝั่งไทยหรือเปล่า
เวลา 18.00 น. พวกเรามาส่งน้องๆ แฟนเพลงชาวไทยเข้าไปร่วมกิจกรรม Meet & Greet ระยะประชิดกับหนุ่ม Harry Styles ที่ด้านหลังเวที ซึ่งเป็น Meet & Greet กับแฟนเพลงครั้งแรก และครั้งเดียวของทัวร์คอนเสิร์ต Harry Styles Live on Tour ในครั้งนี้ จะเรียกว่าเป็นเพียงแฟนเพลง 2 คนในโลกที่ได้ Meet & Greet กับหนุ่มแฮร์รี่ตลอดทั้งทัวร์คอนเสิร์ตนี้เลยก็ว่าได้ แม้ว่าน้องๆ จะเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมคำพูด และพยายามลดความตื่นเต้นลงไปมากแล้ว แต่เมื่อได้เจอกับแฮร์รี่ตัวจริงเสียงจริง แถมยังได้พูดคุย ถ่ายรูป ขอลายเซ็น และยังได้กอดแน่นๆ อย่างใกล้ชิดเป็นเวลาหลายนาที น้องๆ ก็ไม่วายกลั้นน้ำตากันไม่อยู่ ทั้งน้องญี่ปุ่น และน้องปอเล่าให้ฟังว่า แฮร์รี่เข้ามาพูดคุยอย่างเป็นกันเอง ถามว่าอยู่ที่เมืองเพิร์ธมากี่วันแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง แฮร์รี่ทราบว่ามาจากประเทศไทย เลยบอกอีกว่าเดี๋ยวเจอกันที่ประเทศไทย นอกจากนี้น้องๆ ยังได้โชว์ภาพ และวิดีโอที่พวกเธอชนะกิจกรรมจากประเทศไทย ที่ร่วมประกวดการแต่งกาย และทำวิดีโอคลิปให้หนุ่มแฮร์รี่ได้ชมอีกด้วย แน่นอนว่าหนุ่มแฮร์รี่ถูกใจมากๆ สองสาวแอบกระซิบบอกมาว่าหนุ่มแฮร์รี่คุยเก่ง ทักทายและถามนู่นนั่นนี่กับพวกเธอเองตลอดเวลา และที่สำคัญ... ตัวยังนุ่มมากๆ อีกด้วย (แฟนๆ อิจฉากันแล้วสินะ)
หมดเวลาฟินยกแรกแล้ว ก็ตามมาฟินกันอีกยกที่สอง กับคอนเสิร์ต Harry Styles Live on Tour 2018 ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ที่นับว่าเป็นเมืองแรกของออสเตรเลียสำหรับการทัวร์ (ครั้งที่สอง) ในออสเตรเลียครั้งนี้ (เขาเคยมาทัวร์ที่ออสเตรเลียแล้วเมื่อปลายปี 2017 ที่ผ่านมา) แต่เป็นครั้งแรกของเขาที่มาทำการแสดงที่เมืองเพิร์ธ จึงไม่แปลกใจที่เห็นแฟนเพลงจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาใน Perth Arena กันอย่างไม่ขาดสาย จนเมื่อเหลือบมองไปรอบๆ จะเห็นได้ว่าที่นั่งแทบจะเต็มเกือบ 100% ในฮอลล์คอนเสิร์ตที่สามารถจุได้ราว 15,500 คน และยังไม่ทันจะเริ่มคอนเสิร์ต แฮชแท็ค #HarryStylesLiveOnTourPerth ก็ติดเทรนด์ Twitter ที่ออสเตรเลียไปอย่างรวดเร็ว
เวลา 20.00 น. ศิลปินวงเปิด หรือ Opening Act สำหรับทัวร์ในออสเตรเลียของหนุ่มแฮร์รี่ คือวง The Preatures วงดนตรีของออสเตรเลียจากเมืองซิดนี่ย์ สมาชิกทั้งหมด 4 คน และมีนักร้องนำเป็นผู้หญิงสุดเท่ ที่แรกๆ ลุคของเธอและวงทำให้เรานึกถึง The Cranberries (เจ้าของเพลง “Zombie”) แต่สไตล์ดนตรีเป็นแนวอัลเทอร์เนทีฟ/อินดี้ร็อค ในแบบที่เรานึกถึง Sixpence None the Richer ในเวอร์ชั่นร็อคขึ้นมาอีกหนึ่งสเต็ปมากกว่า แต่ถึงกระนั้นความเรโทรนิดๆ ของเพลงก็ดูจะเข้ากันดีกับสไตล์เพลง (และการแต่งตัว) ของหนุ่มแฮร์รี่ ทำให้เรารู้สึกว่าทีมงานของหนุ่มแฮร์รี่ก็เลือกศิลปินมาเป็นวงเปิดได้ดีเช่นกัน Isabella Manfredi หรือ Izzi นักร้องสาวประจำวงมีพลังเสียงที่ดี ใส กังวาน และเอนเตอร์เทนคนดูได้ดี รวมไปถึงสมาชิกคนอื่นๆ Jack Moffitt (กีตาร์), Thomas Champion (เบส) และ Luke Davison (กลอง) ก็ทำการแสดงอย่างเต็มที่ตลอด 30 นาที ได้ดีอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนเราคิดว่าจะหาเพลงของพวกเขามาฟังต่อเมื่อถึงประเทศไทย
21.00 น. ถึงเวลาของศิลปินหลักของเราในค่ำคืนนี้ Harry Styles เปิดตัวด้วยชุดสูทสีดำปักเลื่อมเพชรเล็กๆ ให้พอวิบวับสายตาเมื่อต้องแสงไฟบนเวที และเริ่มระเบิดเสียงกลองและกีตาร์หนักๆ กับ “Only Angel” ก่อนจะลดจังหวะลงกับ “Woman” ที่ผู้ชมทั้งฮอลล์พร้อมใจกันร้องท่อน la la la… ในท่องฮุคกันเสียงดังสนั่นจนแอบเห็นหนุ่มแฮร์รี่ยิ้มจนเห็นลักยิ้มชัดเจน จากนั้นก็เพิ่มพลังให้กับโชว์ด้วย “Ever Since New York” ที่นอกจากไลน์ของกลองจะเป็นจุดเด่นของเพลงนี้แล้ว ยังมีการประสานเสียงของคอรัส และเหล่านักดนตรีที่ทำให้เพลงนี้มีมิติ และเรียกพลังให้ขนลุกได้ง่ายๆ
ก่อนที่จะมีใครมาแซวเขา Harry Styles ก็เริ่มแซวตัวเองก่อนว่า ขอบคุณทุกคนที่มาชมคอนเสิร์ตในค่ำคืนนี้ แม้ว่าตัวเขาเองจะมีผลงานออกมาเพียงอัลบั้มเดียว หรือ 10 เพลงเท่านั้น แต่เขาก็จะพยายามเอนเตอร์เทนคนดูทุกคนให้ดีที่สุด ดังนั้นนอกจากเพลงของเขาเองแล้ว พวกเราจึงมีโอกาสได้ฟังเพลงของ One Direction อย่าง “Stockholm Syndrome”, “If I Could Fly” และเพลงสุดฮิตที่เรียกให้คนดูทั้งฮอลล์ลุกขึ้นกระโดดได้อย่างพร้อมเพรียง คงจะเป็นเพลงอะไรไปไม่ได้นอกจาก “What Makes You Beautiful” ในเวอร์ชั่นเท่ๆ แนวร็อคแอนด์โรลนิดๆ นอกจากนี้ยังมีเพลงคัฟเวอร์เพลงที่เขาแต่งให้ Ariana Grande อย่าง “Just a Little Bit of Your Heart” และ “The Chain” ของ Fleetwood Mac อีกด้วย
และที่พิเศษยิ่งกว่า คือเพลงของแฮร์รี่ที่ไม่ได้อยู่ในอัลบั้มอย่าง “Anna” และ “Medicine” ที่แม้ว่าจะเป็นเพลงที่เพิ่งเปิดตัวระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต แต่เราก็แอบเห็นแฟนเพลงบางส่วนร้องตามกันได้ และหลังจากที่ฟังจบ บอกเลยว่าทั้งสองเพลงควรปล่อยเป็น official version ออกมาให้เราได้ฟังกันชัดๆ (หรืออาจจะออกมาพร้อมอัลบั้ม repackage version ก็ได้นะ)
ไฮไลต์ของโชว์นี้คงหนีไม่พ้นวินาทีที่หนุ่มแฮร์รี่กระโดดลงมาจากเวที แล้ววิ่งผ่านฝูงชน จับมือทักทายแฟนเพลงโซนยืน และโซนนั่งด้านล่าง ก่อนจะขึ้นไปยืนร้องเพลงอยู่บนเวทีเสริมด้านหลัง พร้อมกับเริ่มร้องเพลงที่แฟนเพลงตะโกนร้องตามกันอย่างชัดเจนใน “Sweet Creature” ที่พิเศษยิ่งกว่าคือวินาทีที่แฟนเพลงชาวออสซี่นับหมื่นชีวิตร่วมกันทำโปรเจกต์สายรุ้ง โดยร่วมกันเปิดแสงไฟจากมือถือหลากสีแบ่งตามโซนที่นั่ง ทำให้ได้ภาพสวยๆ ท่ามกลางบรรยากาศเพลงนุ่มๆ เพราะๆ กับเสียงร้องของหนุ่มแฮร์รี่ และเสียงกีตาร์โปร่งที่เป็นเครื่องดนตรีชิ้นเดียวของเพลงนี้ นับว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดของโชว์ช่วงหนึ่งเลยทีเดียว
ฝีไม้ลายมือในการเอนเตอร์เทนคนดูของหนุ่ม Harry Styles ก็ไม่น้อยหน้าใครเช่นกัน แม้ว่าจะเดินสายโปรโมตตัวเองในฐานะศิลปินเดี่ยวได้ไม่นาน แต่การเป็นสมาชิกของวง One Direction ที่ทำการแสดงสดมานับครั้งไม่ถ้วน ทำให้การดำเนินโชว์ และการพูดคุยกับแฟนเพลงของเขาเป็นไปอย่างธรรมชาติ แฮร์รี่ไม่ลืมที่จะคั่นแต่ละโชว์ด้วยการพูดคุยกับแฟนเพลงตรงๆ โดยเลือกคุยกับคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะแทนที่จะคุยกับแฟนเพลงทั่วๆ ทั้งฮอลล์อย่างเคย ถามไถ่ถึงอาการของแฟนเพลงสาวที่ขาหัก (เธอชูไม้ค้ำเดินขึ้นมาระหว่างโชว์) คอยอ่านป้ายที่แฟนเพลงถือเข้าไป พูดคุยกับแฟนเพลงชาวอังกฤษที่อาศัยอยู่ที่ออสเตรเลีย และอื่นๆ อีกมากมาย ทำให้แฟนเพลงรู้สึกถึงการเอาใจใส่ และความเป็นกันเองของแฮร์รี่ได้มากขึ้น
โปรดักชั่นแสงสีถือว่าทำได้ดี แม้ว่าขนาดของจอ LED ที่แสดงกราฟิกด้านหลังเวทีจะเล็กไปหน่อย เพราะการดีไซน์ของโชว์ที่เน้นที่ “แสง” มากกว่า “ภาพ” แต่ถึงกระนั้นการใช้แสงประกอบจังหวะของเพลง ทั้งเพลงช้า และเพลงเร็วก็ถือว่าทำได้ดี เข้าจังหวะจนทำให้การแสดงลื่นไหลอย่างเป็นธรรมชาติ เสียงการร้องสดของแฮร์รี่เองก็ถือว่าทำได้ดีคงเส้นคงวา แต่หากหวังว่าจะได้ยินเสียงสูงๆ ของเขาในหลายๆ ท่อน หลายๆ เพลง อาจจะต้องผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเขาเลือกใช้โทนเสียงต่ำร้องแทนแทบจะทั้งหมด (อาจจะเป็นการรักษาเส้นเสียงของตัวเองขณะทัวร์ติดๆ กัน) แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้อารมณ์ของเพลงนั้นๆ ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว การแสดงอารมณ์ในแต่ละเพลงยังคงชัดเจนจนสามารถรู้สึกได้จากเสียงร้องของเขาทุกถ้อยคำ จนคิดว่าเอกลักษณ์ในน้ำเสียงของแฮร์รี่นี่แหละที่เป็นเสน่ห์ของเขาที่แท้จริง
ศิลปินหลายคนมักเลือกที่จะปิดโชว์กันด้วยเพลงช้าๆ ซึ้งๆ แต่สำหรับ Harry Styles เขาเลือกเพลง “Sign of the Times” ซิงเกิลสุดฮิตขึ้นมาปิดช่วง ก่อนจะเปิดเวทีหลัง encore ด้วย “From the Dining Table” เพลงจังหวะช้าๆ คลอเคล้าด้วยเสียงกีตาร์ เสียงคอรัส และเสียงต่ำๆ ของเขาทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์มากกว่าในเวอร์ชั่นซีดีมาก เร่งจังหวะด้วย “The Chain” ของ Fleetwood Mac ก่อนจะปิดท้ายด้วยเพลงที่ชวนให้แฟนเพลงลุกขึ้นจากเก้าอี้ทุกคนกับ “Kiwi” เพลงร็อคแอนด์โรลเท่ๆ ที่ทำให้ทุกคนร่วมตะโกนร้อง “I’m having your baby. It’s none of your business.” กันอย่างเสียงดังฟังชัด โบกมือลากันอย่างเหนื่อยหอบ ปิดท้ายโชว์ด้วยความประทับใจกับการแสดงที่มีครบทุกรสชาติ ทั้งตลก ซึ้ง และสนุกสุดเหวี่ยงตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งของการแสดง
ความประทับใจต่อการแสดงในค่ำคืนนั้น สามารถพิสูจน์ได้อีกครั้งหลังจากโชว์จบแล้วพบว่าหน้าโซนขายของ official goods เต็มไปด้วยแถวอันยาวเหยียดของแฟนเพลงที่ทยอยซื้อกันจนของหมดไปทีละอย่าง เราเองก็คว้าเสื้อยืดลายรูบิกมาไว้ในครอบครองได้ตัวหนึ่ง และทราบทีหลังว่าเป็นลายเสื้อใหม่ที่เพิ่งวางจำหน่ายที่เมืองเพิร์ธเป็นที่แรกด้วย ใครอยากจับจองสินค้า official goods ของเขาที่เมืองไทยก็เล็งเอาไว้ให้ดี ทั้งเสื้อฮู้ดแจ็กเก็ตหลากสี เสื้อยืด หมวก ซีดี ไวนิล สมุดภาพโพลารอยด์ เข็มกลัด ยางมัดผม กระเป๋าผ้า โปสเตอร์ ฯลฯ ถ้าไม่รีบซื้อ ระวังของจะหมดเสียก่อน เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
อีกไม่กี่วันชาวไทยก็จะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่เราเล่าให้ฟังในข้างต้น และอาจจะได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างกันไปตามแต่ที่หนุ่มแฮร์รี่จะเลือกพูดคุย หรือร้องเพลงในแบบไหน แต่ที่แน่ๆ ทั้งโปรดักชั่นแสงสีเสียงที่ครบครัน บทเพลงเพราะๆ จากเสียงร้อง และเสียงดนตรีสดๆ ที่ทำให้แต่ละเพลงเพิ่มคุณค่าความน่าสนใจมากขึ้นอีกหลายเท่าตัว รอยยิ้ม และความตั้งใจของเขาทำให้แฟนเพลงชาวไทยประทับใจได้ไม่ยากแน่นอน อ่านมาถึงบรรทัดนี้แล้วก็อยากให้ทุกคนไปสัมผัสกับบรรยากาศคอนเสิร์ตดีๆ ที่อบอุ่น และเพลิดเพลินจนไม่อยากให้จบไปด้วยกัน กับ Harry Styles Live On Tour 2018 in Bangkok ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2018 ที่ อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี บอกได้เลยว่าคุณจะหลงเสน่ห์ของหนุ่มอังกฤษคนนี้เข้าอย่างจังแน่นอน
____________________
Special Thanks : BEC-Tero Entertainment
Story : Jurairat N.
Photos : Jurairat N., Hélène Marie Pambru
อัลบั้มภาพ 21 ภาพ