สมบูรณ์แบบ (แทบ) ไร้ที่ติ! รีวิว “Bruno Mars 24K Magic World Tour” (รอบแรก - สปอยล์)

⊕ บอกก่อนเลยว่า เนื้อหารีวิวบทความนี้มีสปอยล์ ใครมีคิวจะไปดูคอนเสิร์ตในช่วงค่ำวันนี้ (1 พฤษภาคม 2561) สามารถเซฟลิงค์ไว้แล้วมาอ่านทีหลังได้

⊕ อย่างที่สองคือ อาจไม่มีภาพคอนเสิร์ตสวยๆ มาฝากแฟนๆ หนุ่ม Bruno Mars เนื่องจากข้อตกลงบางประการระหว่างศิลปินและผู้จัดอย่าง Live Nation BEC-Tero ส่วนภาพที่เห็นด้านบนเป็นภาพจากทัวร์คอนเสิร์ตที่เมดิสัน สแควร์ การ์เด้น ประเทศสหรัฐอเมริกา

⊕ ท้ายที่สุด แนะนำว่า อ่านรีวิวได้นะ เพราะความรู้สึกที่แท้จริงซึ่งอาจไม่สามารถอธิบายเป็นตัวอักษรได้ จะอยู่เบื้องหน้าคุณ บนเวที แสง สี และการแสดงสดอันน่าติดตา ตรึงใจของ ... Bruno Mars

*******************

ย้อนกลับไปต้นปี 2014 เมืองไทยมีโอกาสได้ต้อนรับศิลปินระดับโลกผู้หนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่า จะกลายเป็น Michael Jackson คนต่อไปอย่าง Bruno Mars กับเวิลด์ทัวร์ของเขา “Bruno Mars the Moonshine Jungle Tour 2014 in Bangkok” หากใครยังพอจดจำกันได้ ตอนนั้นเขาผู้นี้กำลังร้อนแรงสุดๆ กับเพลง “Uptown Funk” ที่ได้ไปร่วมฟีทเจอริ่งกับ Mark Ronson ซึ่งก็ต่อยอดความฮอตมาจากอัลบั้มเมื่อปี 2012 อย่าง Unorthodox Jukebox ที่บรรจุเพลงฮิตไว้มากมาย อาทิ “Locked Out of Heaven”, “Treasure” และ “When I Was Your Man” นั่นแหละ และครั้งแรกบนผืนแผ่นดินไทยของ Bruno Mars ก็ทำให้ทุกคนใน อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ต่างตกตะลึงไปกับความสามารถทั้งร้องทั้งเต้น เพอร์ฟอร์แมนซ์ที่ตรึงคนดูเอาไว้อยู่หมัด แถมโปรดักชั่นยังอลังการงานสร้าง เป็นข้อยืนยันชั้นเยี่ยมว่า Bruno Mars คือศิลปินตัวจริงเสียงจริงอย่างไร้ข้อกังขา

4 ปีผ่านไป Bruno Mars กลับมาเยือนประเทศไทยอีกครั้งพร้อมกับ “Bruno Mars 24K Magic World Tour” เวิลด์ทัวร์ของอัลบั้ม 24K Magic ที่คว้า 7 รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์ รวมถึงสาขาใหญ่อย่าง Album of the Year, Record of the Year (เพลง “24K Magic”) และ Song of the Year (เพลง “That’s What I Like”) ไม่แปลกใจเท่าใดนักที่บัตรในรอบวันที่ 30 เมษายน 2561 นั้นหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว จนต้องมีการเพิ่มรอบในวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 เดินทางสู่สถานที่จัดแสดงแห่งเดิมเฉกเช่น 4 ปีที่แล้วอย่าง อิมแพ็ค อารีน่า ด้วยความรู้สึกที่ว่า “คืนนี้สนุกแน่!”

บรรยากาศคึกคักเอาการทีเดียว และที่สำคัญเวทีอยู่ห่างจากเราไม่มากนัก สัมผัสได้ถึงความอลังการของมงกุฎประจำตัวหนุ่ม Bruno Mars ที่ปรากฏอยู่ตรงส่วนกลางม่านสีเขียวขี้ม้าผืนใหญ่ กั้นผู้ชมและศิลปินชื่อดังเอาไว้ไม่ไกลเกินเอื้อม แม้จะเลทไปจากกำหนดการร่วมครึ่งชั่วโมง แต่ความตื่นเต้นยังคงอยู่

ไฟในฮอลล์ดับลง วีทีอาร์สุดเร่งเร้าที่ส่งคำถามมายังคนดูว่า “พร้อมหรือยัง?” ก็ปรากฏขึ้น หลังจากนั้นความสนุกระดับพีคก็เริ่มต้น Bruno Mars มาพร้อมเสื้อเบสบอลทีม Los Angeles Dodgers สีน้ำเงินตัวเก่ง ร่ายมนต์ความตื่นตาตื่นใจตั้งแต่วินาทีแรก “Finesse”, “24K Magic”, “Treasure” คือ 3 เพลงเปิดหัวที่ทำให้โซนบัตรนั่งลุกกันอย่างพร้อมเพรียง พลังของ Bruno Mars และวง The Hooligans ช่างเหลือล้นจนบรรยายไม่ถูก

แต่ในช่วงนี้เองที่คำเตือนแรกจากศิลปินเจ้าของ 11 รางวัลแกรมมี่ได้ส่งลงมาถึงผู้ชมทุกคนในฮอลล์ว่า “โปรดเอาโทรศัพท์ของพวกคุณลง ผมอยากเต้นไปกับพวกคุณ” แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำตามคำร้องขอดังกล่าวสักเท่าไหร่ ยังมุ่งมั่นถ่ายคลิปกันอย่างเมามันต่อไป

เอาล่ะ มองข้ามประเด็นนี้ไปก่อนก็แล้วกัน เพราะ Bruno Mars ยังคงโชว์สเต็ปได้อย่างตื่นเต้นเร้าใจ “Perm” กับการชวนผู้ชมฝั่งซ้าย-ขวาให้กระโดดไปพร้อมๆ กับเขา ทั้งๆ ที่หนุ่ม Bruno กำลังนั่งอยู่!!!, “Calling All My Lovelies” ที่เขาโชว์ลีดกีตาร์ได้น่าทึ่งเอามากๆ (ใครเป็นแฟนคลับ Bruno Mars คงรู้อยู่แล้วล่ะว่า เขาเล่นดนตรีได้หลายชิ้นมาก) แถมยังพกโทรศัพท์รุ่นเก๋ากึกขึ้นมาบนเวที ทำท่าเหมือนต่อสายหาสาวสักคน แต่กลับเปลี่ยนเนื้อร้องคำว่า my lovelies เป็นคำว่า “ที่รัก” ในภาษาไทย เรียกเสียงกรี๊ดดังสนั่น ก่อนจะต่อด้วย “Chunky” และพาทุกคนไปนั่งคาดิลแลคในเพลงสุดฮิต “That’s What I Like”

การเตือนเรื่องโทรศัพท์มือถือจากหนุ่ม Bruno ยังคงมีอยู่เป็นระยะ ทว่าเหล่าผู้ชมก็ยังคงดูไม่เมื่อยแขนแต่อย่างใด โยกเบาๆ กันต่อด้วยอีกหนึ่งเพลงดัง “Versace on the Floor” ก่อนกลับสู่โหมดคึกคักกับ “Marry You” ที่เรียบเรียงดนตรีใหม่จบแทบจำเวอร์ชั่นเก่าไม่ได้ หลังจากนั้นเป็นคิวโซโล่ของมือกลอง Eric Hernandez ที่คมทุกเม็ด และลากยาวเข้าสู่ “Runaway Baby” ที่กรู๊ฟจัดจ้านไม่ต่างจากโชว์คราวที่แล้ว (เรายังจำได้) พร้อมกับโทรโข่งสีทองที่เราอยากให้พ่อหนุ่ม Bruno โยนลงมาเป็นของขวัญเสียเหลือเกิน แถม Bruno Mars ยังเอ่ยปากแซวแฟนๆ ชาวไทยด้วยว่า “หากคุณเงียบ ผมก็จะเงียบด้วยนะ” สงสัยจะเห็นแต่คนถือสมาร์ทโฟน ไม่อินกับโชว์ของเขาอะไรทำนองนั้นเสียกระมัง

เผลอแป๊บเดียวเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของเวิลด์ทัวร์ครั้งนี้ “When I Was Your Man” ยังคงเศร้าทุกครั้งที่ได้ฟัง ก่อนส่งไม้ต่อให้ John Fossit บรรเลงนิ้วบนเปียโน เรียกเสียงปรบมือได้อย่างกึกก้องกับฝีมือที่บอกได้คำเดียวว่า “เทพ” ก่อนจะตัดฉับเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทันด้วย “Locked Out of Heaven” และปิดท้ายด้วย “Just the Way You Are” ที่ทุกคนช่วยกันร้องกระหึ่มฮอลล์ แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงธรรมเนียมปฏิบัติ ม่านเปิดขึ้นอีกครั้ง Bruno Mars เลือกเพลง “Uptown Funk” มาแถมให้ในพาร์ตอังกอร์ และบอกเลยว่า ความพีคเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างไม่รู้สาเหตุ แดนซ์กันยับ ส่งเสียงโห่ร้องไปตามเมโลดี้อันคุ้นเคย

ก่อนที่ในที่สุด ม่านผืนเดิมจะค่อยๆ ลดระดับลง พร้อมกับท่อนสุดท้ายของเพลงกำลังดำเนินไปเช่นนั้น ภาพที่เห็นเบื้องหน้าราวกับว่าเป็นตอนจบของละครเวทีสักเรื่องที่เท่มาก ลองจินตนาการดูสิ ทุกคนบนเวทียังคงโยกย้ายไปตามท่วงทำนอง ในขณะที่ม่านที่ค่อยๆ ปิดลงมาคือสัญญาณบ่งบอกว่า โชว์นี้กำลังจะจบลงอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว ใช่ … “Bruno Mars 24K Magic World Tour” รอบแรก วันที่ 30 เมษายน 2561 รูดม่านปิดฉากลงด้วยความประทับใจ น่าตื่นเต้น และน่าตื่นตาตื่นใจ อีกครั้ง และอีกครั้ง

คงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนเวทีเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมาเหมือนเป็นภาพซ้ำที่เกิดขึ้นเมื่อ 4 ปีก่อน แต่เป็นภาพซ้ำที่สนุกขึ้น คมกริบทุกท่วงท่า ลีลาการโยกย้ายที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องราวอันแสนง่ายดาย พรสวรรค์และความสามารถก็เรื่องหนึ่ง แต่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยหากขาดการฝึกซ้อมอันหนักหน่วง อีกทั้งประสบการณ์ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นโชว์ทำให้ Bruno Mars กลายเป็น Bruno Mars ในทุกวันนี้

โปรดักชั่น แสง สี เสียง อลังการตระการตาเช่นเคย แต่ประเด็นที่น่าขบคิดก็คือ ตลอด 1 ชั่วโมงกว่าๆ ของโชว์หนนี้ เราแทบไม่ได้มองวิชวลด้านหลังเลย เพียงเพราะเรากำลังจดจ่อกับทุกการเคลื่อนไหวของร่างกาย Bruno Mars และผองเพื่อนวง The Hooligans จนไม่เป็นอันทำอะไร ได้แต่ปลดปล่อยหัวจิตหัวใจไปกับทุกวินาทีที่ค่อยๆ ผ่านพ้นไปทีละเพลง ทีละเพลง

หลายคนอาจคิดว่าระยะเวลาของคอนเสิร์ตนั้นสั้นไปหน่อยไหม? เอาเข้าจริงจำนวน 16 เพลงก็ถือว่าไม่น้อยไม่มาก ทว่าสิ่งสำคัญคือ ในแต่ละเพลงมีการเรียบเรียงดนตรีใหม่ให้จี๊ดจ๊าดจัดจ้านกว่าเดิม เพลง “Marry You” ที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง หรือแม้กระทั่งการใส่ทำนองกลิ่นอายละตินเข้าไปในเพลง “That’s What I Like” ก็สร้างเซอร์ไพรส์ให้ผู้ชมไม่น้อย ส่งต่อไปยังคำว่า “เอนเตอร์เทนเนอร์” ที่ Bruno Mars ทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงวง The Hooligans ที่ต้องปรบมือให้ดังๆ ทั้งในเรื่องฝีไม้ลายมือทางดนตรี และทีมเวิร์กที่แข็งแกร่งดั่งหินผา

แต่ใช่ว่าทุกสิ่งอย่างจะเพอร์เฟ็กต์ในมุมมองของเรา เอฟเฟกต์พลุที่จุดดังเปรี้ยงปร้างอาจมีมากเกินไปสักหน่อย ในช่วงแรกก็สร้างความฮือฮาได้เป็นอย่างดี ทว่าพอมีมากเข้าแทบทุกเพลงกลับกลายเป็นความจำเจ ยิ่งเมื่อมาประกอบตอนจบของเพลง “Versace on the Floor” ยิ่งดูประดักประเดิด ไม่เข้ากันเสียอย่างนั้น เบสมีออกอาการบวมบ้างจากการสอบถามผู้ชมที่นั่งบริเวณโซนด้านบน (ส่วนด้านล่างซาวด์โดยรวมโอเคเลยล่ะ) นอกจากนั้นในช่วงการโซโล่กลอง ช่างภาพวิดีโอกลับมายืนหน้ากลองชุด หันหลังให้คนดู บดบังทัศนียภาพการหวดสแนร์ไปเสียหมด

และดูเหมือนว่าในช่วงหลังๆ Bruno Mars จะไม่ค่อยสบอารมณ์นักกับการยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายจากทางฝั่งคนดูสักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่มีการเตือนด้วยวาจาและอวัจนภาษา ถึงขนาดที่ว่าเขาและวงทำท่าถือสมาร์ทโฟนและเต้นไปด้วยในเชิงบอกกล่าวว่า จะทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ หรือ? หลายคนก็ยังชูมือถือขึ้นมาแบบไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย ซึ่งเรามองว่า Bruno Mars เป็นศิลปินที่ใส่เต็มแบบไม่ยั้งในโชว์ของเขา เพื่อส่งพลังมายังคนดูทั่วทั้งฮอลล์ และยิ่งหากทุกๆ คนส่งพลังกลับไปบนเวทีด้วยการเต้นไปตามท่วงทำนอง ร้องตามกันแบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังว่าฉันจะได้คลิปเด็ดๆ มาโพสต์ลงโซเชียลหรือเปล่า เราเชื่อว่า เอเนอร์จี้ของหนุ่มคนนี้ก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และโชว์ก็จะสามารถแตะถึงจุดพีคได้อย่างง่ายดายแบบไม่ต้องสงสัย

อย่างไรก็ตาม “Bruno Mars 24K Magic World Tour” ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ครบเครื่อง เพียบพร้อมไปด้วยทุกอย่างที่โชว์ๆ หนึ่งควรจะมี และเป็นอีกครั้งที่ทำให้เรายิ่งมั่นใจว่า Bruno Mars จะก้าวไปไกลกว่านี้อีกบนถนนสายดนตรี ด้วยพรสวรรค์ พรแสวง และความสมบูรณ์แบบที่ศิลปินคนหนึ่ง ... ควรจะมีเช่นกัน

 

Story by: Chanon B.
Photos by: GettyImages, Thai Ticket Major