เสียงดี เอนเตอร์เทนไม่ตก อนาคตไกล ใน Harry Styles Live On Tour in Bangkok 2018
ปกติแล้วคอนเสิร์ตต่างประเทศมักจะเปิดขายบัตรล่วงหน้ากันเป็นระยะเวลาหลายเดือน บางคนถึงกับแซวตัวเองว่ากว่าจะถึงวันจัดงานอาจจะลืมไปแล้วว่าเอาบัตรคอนเสิร์ตไปเก็บไว้ที่ไหน แต่สำหรับคอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกของหนุ่ม Harry Styles อดีตสมาชิก One Direction ที่เพิ่งออกผลงานอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกด้วยชื่อตัวเองนั้น ทำเอา Directioners หรือแฟนเพลงของ One Direction รวมถึงแฟนคลับเฉพาะ Harry Styles ต้องกุมขมับ เพราะเล่นขายบัตรล่วงหน้าเป็นปีเลยทีเดียว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้แฟนคลับท้อถอยแต่อย่างใด ถึงจะประกาศคอนเสิร์ตล่วงหน้าเป็นปี แต่ทุกคนยังรอคอยกันอย่างใจจดใจจ่อที่จะได้พบเจอกับศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบกันอย่างใกล้ชิด ในบทบาทที่เติบโตขึ้นในฐานะศิลปินเดี่ยวเต็มตัว
ค่ำคืนวันที่ 7 พ.ค. 2018 ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี คลาคล่ำไปด้วยแฟนเพลงวัยรุ่น และวัยพ่อแม่ที่พาลูกหลานมาดูคอนเสิร์ต Harry Styles Live On Tour in Bangkok 2018 โดย BEC-Tero Entertainment ใช้กฎเข้าพื้นที่ในอิมแพ็คแล้วห้ามออกมาอีกครั้ง เพื่อความปลอดภัย และป้องกันคนนอกเข้าพื้นที่ในฮอลล์คอนเสิร์ตได้ดี และแฟนเพลงก็ทำตามกฎกันอย่างเคร่งครัด สำหรับเรามีโอกาสได้เดินทางไปชมคอนเสิร์ตของ Harry Styles ที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลียเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดังนั้นการชมคอนเสิร์ตของเขาอีกครั้งในกรุงเทพฯ บ้านเกิดของเราเอง กลายเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากขึ้น เพราะเราจะได้เปรียบเทียบระหว่างคอนเสิร์ตที่จัดที่ต่างประเทศ และที่บ้านเราในทัวร์เดียวกันได้อย่างชัดเจน
20.30 น. โดยประมาณ วงศิลปินที่เป็น supporting act ของคอนเสิร์ตในค่ำคืนนี้เป็นวงอินดี้ร็อคหญิงล้วนจากแคลิฟอร์เนียที่ชื่อว่า Warpaint ชื่อเสียงเรียงนามของวงนี้ในกลุ่มนักฟังเพลงอินดี้ไม่ธรรมดา เพราะถึงขนาดมีคนอยากซื้อบัตรเข้ามาชมวงนี้โดยเฉพาะ และ 4 สาวก็ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะ Emily Kokal (ร้องนำ, กีตาร์), Theresa Wayman (กีตาร์, ร้อง), Jenny Lee Lindberg (เบส, ร้อง) และ Stella Mozgawa (กลอง) วาดลวดลายโชว์สกิลการเล่นดนตรีที่เข้มข้นจัดจ้าน น้ำเสียงที่ฟังดูล่องลอยไปตามโน้ตแต่ละตัวของสาว TT หรือ Theresa Wayman (ที่บางจังหวะของดนตรีทำให้เรานึกถึง Radiohead เวอร์ชั่นผู้หญิง) รวมไปถึงลีลายียวนกับท่าเต้นที่บอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากการร่ายรำของเมืองไทยจากสาว Emily Kokal ก็สามารถดึงความสนใจของแฟนเพลงได้อย่างอยู่หมัดเกือบตลอดทั้งโชว์ (แถมเธอยังลงมาหาแฟนเพลงที่ด้านล่างของเวทีอีกด้วย) แม้ว่าแฟนเพลงของ Harry Styles อาจจะยังดูไม่อินกับดนตรีอินดี้ของพวกเธอนัก แต่ถ้าเรื่องเอนเตอร์เทนและความน่ารักของพวกเธอ เชื่อว่าน่าจะมีหลายคนที่กลับบ้านไปฟังเพลงของพวกเธอต่อแน่ๆ
21.30 น. แม้ว่าคอนเสิร์ตจะเริ่มเลทไปครึ่งชั่วโมง แต่ในที่สุดหนุ่ม Harry Styles ก็ปรากฏตัวพร้อมชุดสูทสีเงินประกายวิบวับเล่นแสงไฟบนเวทีสุดฤทธิ์ สวมทับกับเสื้อเชิ้ตพร้อมโบใหญ่สีขาว แค่ชุดก็กินขาดแล้วบอกตรงๆ เริ่มปลุกให้คนดูลุกขึ้นเต้นกันด้วย “Only Angel” ต่อด้วย “Woman” ที่แฟนเพลงช่วยร้องท่อน la la la la… ได้ชัดเจน แล้วค่อยๆ ลดจังหวะลงมาเรื่อยๆ ด้วย “Ever Since New York” (ที่หนุ่ม Harry แทนคำว่า New York ด้วยคำว่า Bangkok) และ “Two Ghosts” เพลงโปรดของแฟนๆ หลายคน
Harry Styles กล่าวขอบคุณแฟนเพลงที่มากันในค่ำคืนนี้ และอยากให้ทุกคนสนุกไปด้วยกันกับเขา ที่จะพยายามทำการแสดงให้ดีที่สุดเช่นกัน จากนั้นชุดภาษาไทยที่เขาเตรียมตัวเอาไว้ก็เริ่มนำออกมาใช้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น “ส่งเสียงหน่อย” (ที่ออกจะเป็นแนว “ฉ่งเฉียงหน่อย” มากกว่า) “ฉันรักเธอ” และ “ขอบคุณครับ” เอาใจแฟนเพลงชาวไทยไปได้ทั้งฮอลล์ทุกครั้งที่ตะโกน (เพราะเขาเล่นพูดไปยิ้มไปจนเห็นลักยิ้มแก้มบุ๋มไปด้วยน่ะสิ)
Harry ออกตัวว่าถึงแม้ว่าจะมีอัลบั้มเดี่ยวออกมาแค่ชุดเดียว และมีแค่ 10 เพลง แต่คืนนี้เราจะไม่ได้ฟังกันแค่ 10 เพลงแน่นอน เขาจึงจัดเพลงอื่นๆ อย่าง เพลงใหม่ที่ยังไม่ได้ลงอัลบั้มอย่าง “Medicine” และ “Anna” เพลงของ One Direction ทั้ง “Stockholm Syndrome” และ “If I Could Fly” ที่หนุ่ม Harry ได้ร่วมแต่งเอง เพลงดังอย่าง “What Makes You Beautiful” ที่นำมาทำดนตรีใหม่ให้ดูเรโทรขึ้นตามแนวเพลงอัลบั้มล่าสุดของเขา หรือจะเป็น “Just a Little Bit of Your Heart” ที่เขาเป็นคนแต่งและยกเพลงนี้ให้กับ Ariana Grande พร้อมทั้งร้องทั้งเล่นกีตาร์เองอย่างคล่องแคล่ว เท่านี้ก็พิสูจน์ความสามารถในฐานะนักร้อง นักแต่งเพลง และนักดนตรีของเขาได้เป็นอย่างดี
ระหว่างการเปลี่ยนเพลง Harry ไม่ลืมที่จะทักทายแฟนเพลงอย่างเป็นกันเอง โดยไล่เจาะคุยกับแฟนเพลงทีละคน ทำให้บทสนทนาแต่ละครั้งมีความพิเศษมากขึ้น น่าเสียดายเล็กน้อยที่เขาเลือกคุยแต่กับแฟนเพลงต่างประเทศที่มาชมคอนเสิร์ตที่ไทย จึงทำให้ขาดช่วงเวลาพิเศษๆ ระหว่างแฟนคลับชาวไทย กับ Harry Styles ไปบ้าง
ระหว่างที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับ “Meet Me in the Hallway” หนุ่ม Harry ก็เซอร์ไพรส์คนดูด้วยการวิ่งไปขึ้นเวทีเล็กหรือ B-Stage ที่หน้าโซนที่นั่งชั้นบน และเริ่มร้อง “Sweet Creature” สดๆ กับกีตาร์โปร่งให้แฟนๆ ได้ฟังกันอย่างใกล้ชิด ระหว่างนั้นเขาไม่ลืมที่จะโบกไม้โบกมือให้กับแฟนเพลงตรงหน้า และคอยจับมือกับแฟนเพลงด้านล่างระหว่างที่เดินไปและเดินกลับอย่างเป็นกันเอง นี่สิถึงจะเรียกว่าเข้าถึงแฟนๆ ทุกโซนอย่างแท้จริง
เมื่อถึงเพลงดังเพลงเด่นของอัลบั้มอย่าง “Sign of the Times” หนุ่ม Harry ขอให้แฟนๆ เปิดแสงแฟลชในมือถือขึ้นมาระหว่างร้องเพลงนี้ไปด้วยกัน แต่แฟนๆ ชาวไทยพิเศษกว่านั้น เพราะพวกเขาเตรียมไฟสีชมพู (ด้วยกระดาษโพสต์อิท) เอาไว้ให้ เราจึงได้เห็นภาพทะเลไฟสีชมพูท่ามกลางดนตรี และเสียงร้องอันทรงพลังในเพลงนี้ของ Harry ที่ใส่เต็มไม่ยั้งจนแอบขนลุกเกรียวเบาๆ
หายเข้าหลังเวทีไปไม่นาน Harry Styles และเหล่านักดนตรีแบ็คอัพ (ที่สงสัยเหมือนกันว่าคัดหน้าตาหรือเปล่า หน้าตาดีทุกคนทั้งชาย และหญิง) ก็ออกมาพร้อมกับ 3 เพลงสุดท้าย “From the Dining Table”, “The Chain” (งานคัฟเวอร์จาก Fleetwood Mac) และ “Kiwi” ที่เราแอบเห็นแฟนเพลงโยนป้ายรูปกีวี่ให้เขาก่อนเริ่มร้องเพลงด้วย ดูหนุ่ม Harry จะชอบใจมากเป็นพิเศษ และจบการแสดงด้วยเพลงร็อคเต็มขั้นที่ทำเอาคนดูอารมณ์ค้าง แต่ก็อิ่มใจเต็มที่กับทุกรสชาติที่เขาเลือกเสิร์ฟมาให้ทุกบทเพลง
มาถึงข้อสรุประหว่างโชว์ที่ต่างประเทศ และในเมืองไทยกันบ้าง โดยรวมเรากล้าการันตีได้เลยว่าโปรดักชั่น แสง สี เสียง การจัดเวทีต่างๆ แม้กระทั่งเซ็ตลิสต์ การแบ่งช่วงเพลง และบทสนทนาบางส่วน เหมือนกันกับโชว์ที่ต่างประเทศเปี๊ยบ จะมีแต่รายละเอียดปลีกย่อยอย่างการเอาใจแฟนเพลงด้วยภาษาไทย หรือเครื่องดนตรีอย่างเบสที่ออกจะบวมๆ เสียงแตกพร่าที่ช่วงปลายเล็กน้อย และเสียงกีตาร์โปร่งที่บวมไม่แพ้กันในบางช่วง ทำให้เราได้รับอรรถรสในการฟังเพลงแตกต่างไปนิดหน่อย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโซนที่นั่งด้วย เมื่อโซนที่นั่งอยู่ต่างกัน อาจทำให้ได้ยินเสียงไม่เหมือนกัน นอกจากนี้เรื่องของ official merchandise ขอคอนเฟิร์มว่าราคาที่เมืองไทยถูกกว่าเมืองนอก ถ้าเทียบกับที่ออสเตรเลียถือว่าถูกกว่าเป็นร้อยบาทเลยทีเดียว
การได้ชมคอนเสิร์ตของ Harry Styles ถึงสองครั้ง แล้วพบว่ามาตรฐานในการแสดงยังคงดีไม่มีตกแบบนี้ ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าเขาจะกลายเป็นศิลปินคลื่นลูกใหม่ที่ช่วยขับเคลื่อนวงการดนตรีของโลกไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน เพราะทุกอย่างที่เขาแสดงมันออกมาจากตัวตนที่แท้จริงของเขาเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแนวดนตรี แนวการแสดง เสื้อผ้าหน้าผม และความเฟรนด์ลี่ของเขาที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ รวมไปถึงฝีไม้ลายมือในการแต่งเพลง และเล่นดนตรีที่ยังคงดีขึ้นได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้นคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าจับตาดูเขาคนนี้เอาไว้ เขานี่แหละตัวเต็งรางวัลศิลปินชายเดี่ยวยอดเยี่ยมในอนาคตแน่นอน
______________________
Story : Jurairat N.
Photos : Helene Marie Pambrun