Rhye ชายผู้สะกดทุกคนให้นิ่งงันด้วยทุกสรรพเสียงบนเวที
คุณคาดหวังอะไรกับการไปชมการแสดงสดของศิลปินสักคนที่คุณอาจไม่ได้เป็นแฟนเพลงตัวยง? หลายคนหลากความคิด บ้างก็คงอยากผ่อนคลายและรีแลกซ์จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในสังคม บางคนก็อาจอยากไปสังสรรค์พบปะกับแก๊งเพื่อนโดยมีเสียงดนตรีคลอเคล้า หรือแม้แต่บางคนที่อยากเปิดประสบการณ์ใหม่กับศิลปินที่เขารู้จักเพียงน้อยนิด
เอาเข้าจริงต้องยอมรับว่าเราอาจไม่ใช่แฟนตัวยงของศิลปินนามว่า Rhye สักเท่าไหร่ แต่ได้ยินเสียงร่ำลือถึงการแสดงสดอันแสนละมุน เย้ายวน ชวนฝันของหนุ่มคนนี้ตั้งแต่ตอนที่เขาเดินทางมาเปิดการแสดงที่เทศกาลดนตรี Wonderfruit 2016 การเดินทางกลับมาเยือนเมืองไทยในครั้งนี้กับโชว์เดี่ยวครั้งแรกของเขา “Singha Light Live Series Vol 3.1 – Rhye” โดยผู้จัด HAVE YOU HEARD? เมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา (23 พฤษภาคม 2561) ณ Voice Space จึงไร้ซึ่งเหตุผลกลใดที่จะไม่ไปทำความรู้จักศิลปินคนนี้ให้มากขึ้น
โปสเตอร์คอนเสิร์ต Singha Light Live Series Vol 3.1 - Rhye
เกริ่นนำกันสักเล็กน้อยว่า Rhye คือโปรเจกต์ของนักร้องสัญชาติแคนาเดียน Mike Milosh ที่ริเริ่มไอเดียขึ้นมาพร้อมกับโปรดิวเซอร์ชาวเดนมาร์กอย่าง Robin Hannibal กับดนตรีอัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บี ที่ไม่ใช่อาร์แอนด์บีธรรมดาๆ เพราะมันผสมผสานดนตรีหลากหลายแนว อาทิ โซล ฟังก์ แอมเบียนต์ และอีกมากมาย สตูดิโออัลบั้ม 2 ชุดทั้ง Woman ในปี 2013 และล่าสุดกับ Blood ที่เพิ่งปล่อยออกมาเมื่อช่วงต้นปีต่างได้รับความสนใจจากคอดนตรีและนักวิจารณ์ เพลงอย่าง “Open” และ “The Fall” จุดประกายให้นักฟังเพลงทั่วโลกเหลียวกลับมามอง Rhye ด้วยสายตาอันเปล่งประกาย รวมกับที่เรากล่าวไปในข้างต้นกับโชว์อันแสนมีเสน่ห์เขา ถึงแม้ว่าในวันนี้ Rhye จะเป็นโปรเจกต์เดี่ยวของ Mike Milosh เพียงคนเดียวแล้วก็ตาม
Zweed N' Roll
เมื่อวานเป็นวันที่การจราจรในกรุงเทพมหานครแสนสาหัสมาก แม้จะเผื่อเวลาในการเดินทางแล้ว ทว่าเราไปถึงสถานที่จัดงานก่อนวงเปิดวงแรกอย่าง Zweed N’ Roll จะเริ่มแสดงเพียงไม่ถึงนาที วงดนตรีอัลเทอร์เนทีฟที่สร้างสรรค์บทเพลงอารมณ์หม่นเศร้าวงนี้มาพร้อมกับโชว์พิเศษในเวอร์ชั่นอะคูสติก ลดสมาชิกเฉพาะเวทีนี้เหลือเพียง 3 คนคือ พัด-สุทธิภัทร สุทธิวาณิช (ร้องนำ, กีตาร์โปร่ง), ปูน-ณัฐพัชร์ สมิตนุกูลกิจ (กีตาร์โปร่งและไฟฟ้า) และ ทัน-ธรรม์ ดำรงรัตน์ (คาฮองและเชกเกอร์)
แม้จะลดสเกลของโชว์ลง แต่บรรยากาศของเพลงยังมาเต็ม อีกทั้งยังได้มิติอันแปลกใหม่ในการฟัง ไม่ว่าจะเป็นเพลงเก่าอย่าง “December”, “Restless” หรือ “Linger” รวมถึงเพลงใหม่ที่ปล่อยออกมาแล้วและกำลังจะปล่อยอย่าง “ช่วงเวลา” และ “Always” ตามลำดับ แม้จะออกอาการประหม่าอยู่บ้าง แต่เมื่อเข้าสู่ท่วงทำนอง Zweed N’ Roll ก็พาคนดูให้เข้าไปอยู่ในห้วงภวังค์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเสียงร้องของ พัด ที่มีความเป็นเอกลักษณ์สูงมาก ใครยังไม่เคยฟัง Sanook Music แนะนำอยากให้ลอง
My Life as Ali Thomas
ได้เวลาวงเปิดวงที่ 2 ซึ่งเป็นที่น่าจับตาไม่น้อยเลยทีเดียวสำหรับ My Life as Ali Thomas สมาชิกทั้ง 3 คนอย่าง พาย-กัญญภัค วุธรา (ร้องนำ, กีตาร์), แร็ก-วิภาต เลิศปัญญา (กีตาร์) และ ตาว-วรรณพงศ์ แจงบำรุง (กลอง) ขึ้นเวทีมาพร้อมชุดดำทะมึน และขนเพลงจากอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิตอย่าง Paper มาเล่นให้ฟังแบบจัดเต็ม อาทิ “Daughter and Son”, “Cordelia”, “Lover to Lover”, “Kiss”, “Ellephant” และปิดท้ายด้วย “Winter’s Love”
ทว่าค่อนข้างแอบเสียดายมากๆ ที่ซาวด์ในโชว์เมื่อคืนของ My Life as Ali Thomas ออกมาไม่ดีสักเท่าไหร่ กีตาร์โปร่งของ พาย ออกอาการหอนตั้งแต่เพลงแรก จนมาถึงเพลงที่ 3 ก็ยังไม่ดีขึ้น จนดูเหมือนว่านักร้องนำสาวสุดเท่จะค่อนข้างสูญเสียความมั่นใจไปพอสมควร รวมถึงในช่วงพาร์ตหลังที่คาดเดาว่าคงมีการแก้ไขโดยการลดระดับเสียงโดยรวมทั้งหมดบนเวทีเพื่อป้องกันปัญหาข้างต้น จึงทำให้ซาวด์ที่ออกมานั้นไม่พุ่งตรงมาที่ผู้ชมสักเท่าไหร่ รวมถึงส่งผลให้เราได้ยินเสียงร้องของ พาย ไม่ชัดเจนมากนัก อย่างไรก็ตาม ก็ขอชื่นชมวงดนตรีวงนี้ที่ยังมุ่งมั่นทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ต่อไป ได้ยินสาวพายพูดเบาๆ ประมาณว่า “เราจะเล่นต่อไป” หรือ “keep going” นี่แหละศิลปินตัวจริงที่ไม่ว่าอย่างไร เดอะ โชว์ มัสต์ โก ออน เสมอ
การแสดงสดของ Rhye กำลังจะเริ่มต้น
ประมาณสี่ทุ่มสี่สิบ Rhye และสมาชิกแบ็คอัพทุกคนยืนประจำตำแหน่ง ไลท์ติ้งสีฟ้าหม่นพาทุกคนในฮอลล์เข้าสู่บรรยากาศแห่งความเคลิบเคลิ้ม น้ำเสียงอันแหลมสูงราวกับหญิงสาวคนหนึ่งของ Mike Milosh สะกดตราตรึงผู้ชมในทันที ทุกองค์ประกอบที่ปรากฏขึ้นทำให้เราแทบไม่อยากคลาดสายตาจากบนเวที แม้ว่าในช่วงแรกเราจะรู้สึกว่าต้องปรับหู ปรับความรู้สึกอยู่ประมาณหนึ่ง เนื่องจากไม่ค่อยมีโอกาสได้ชมการแสดงสดดนตรีแนวนี้บ่อยครั้งนัก ซึ่งมันเป็นความรู้สึกราวกับว่า เราไม่สามารถฟังไปผ่านๆ ได้ เราต้องละเมียดฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
อย่างแรกที่โดดเด้งมาแต่ไกลคือเสียงร้องของ Mike Milosh มันมีความแปลก แตกต่าง แต่น่าฟังสุดๆ โดยเฉพาะดีไซน์การร้องที่สายอาร์แอนด์บีน่าจะฟินมากเลยทีเดียว แอดลิบไม่ได้เยอะ แต่มาในจังหวะที่เหมาะเจาะ เหมาะสม หลังจากยืนตั้งใจฟังกับ 2 เพลงแรกอย่าง “3 Days” และ “Please” ก็ขอเริ่มขยับแข้งขยับขาเบาๆ ไปกับบีตเท่ๆ ใน “The Fall” ที่เพียงท่อนร้องแรกอย่าง “Make love to me, one more time.” ก็เรียกเสียงฮือฮาได้มากทีเดียว
Mike Milosh ผู้เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของ Rhye
พอเริ่มได้สติ เราเริ่มเพ่งพิจารณาไปที่พาร์ตดนตรีบ้าง นอกจาก Mike Milosh จะสวมบทบาทนักร้องนำแล้ว เขายังมีอุปกรณ์ส่วนตัวจำพวกกลองทอมที่มาพร้อมไฮแฮต ทีมนักดนตรียืนพื้นด้วย กีตาร์, เบส และกลอง เสริมด้วยคีย์บอร์ด เครื่องสาย และทรอมโบน แม้เครื่องดนตรีจะเยอะชิ้น แต่เมื่อเล่นรวมกันกลับฟังกลมกลืน ไม่หนวกหู ไดนามิกถือว่าเลิศเลอเอามากๆ พวกเขาสามารถเล่นกับเสียงหนัก-เบาได้อย่างน่าทึ่ง แค่เสียงเคาะขอบสแนร์ หรือแม้แต่เสียงดีดนิ้วก็น่าฟังแล้ว บอกตามตรงว่าไม่ได้อวยเกินเลย แต่อยากให้มาฟังด้วย 2 หูของคุณเองจริงๆ ทำให้เซ็ตเพลงต่อมาทั้ง “Major Minor Love”, “Softly”, “Last Dance” และ “Waste” ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าฟังเพลินจนลืมเวลาเลยล่ะ
Rhye ยังคงทำหน้าที่บนเวทีได้เป็นอย่างดีต่อไป ขยับจังหวะขึ้นมาอีกนิดกับเพลง “Phoenix” อีกหนึ่งเพลงโปรดของผู้เขียนเองที่ไลน์เบสเด็ดดวงได้ใจเหลือเกิน รวมไปถึง “Taste” ที่เสียงคีย์บอร์ดน่าค้นหามาก และ “Open” ที่แฟนเพลงชาวไทยร้องตามกันได้เยอะทีเดียว
“Stay Safe” และ “Count to Five” ทำให้ผู้ชมในฮอลล์ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง ก่อนที่ Rhye จะระเบิดฟลอร์เต้นรำเล็กๆ กับเพลง “Hunger” ที่กลิ่นอายดิสโก้ฟังก์มาแบบเต็มเหนี่ยว ปิดท้ายค่ำคืนอันแสนประทับใจของ Singha Light Live Series Vol 3.1-Rhye ด้วย “Song for You” ที่ในช่วงท้าย Rhye ค่อยๆ เบาเสียงดนตรีลง และ Mike Milosh ก็ชวนแฟนๆ ชาวไทยให้ช่วยกันร้องในท่อน “I feel your heart pain, I feel your pain. I feel your heart baby, I feel your pain.” ไปพร้อมกันๆ
Rhye
อยากจะบอกว่าที่เรากล่าวชมมาทั้งหมดมันเป็นเรื่องจริง Rhye สร้างมนต์สะกดทางเสียงดนตรีให้กระจายไปทั่วทั้ง Voice Space แต่ละเพลงของเขาไม่ได้มีจุดพีคหรือจุดไคลแมกซ์แต่อย่างใด ออกจะเนิบๆ ไปตามกรู๊ฟเรื่อยๆ เสียด้วยซ้ำ แต่สิ่งเหล่านี้กลับค่อยๆ ทำให้คนฟังก้าวเข้าสู่จักรวาลของเขาทีละนิด ทีละนิด การร้องในสไตล์อาร์แอนด์บีภายใต้ดนตรีที่หลากหลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้พบเห็นบ่อยครั้งนัก
ยิ่งเมื่อซาวด์โดยรวมออกมาดีเยี่ยม ฟังชัดทุกเครื่องดนตรี กีตาร์ เบส กลอง ไวโอลิน ทรอมโบน ไม่มีใครแย่งซีนใคร แต่ค่อยๆ ประกอบกันเป็นท่วงทำนองที่ส่งเสริมกันให้เกิดความสมบูรณ์แบบมากที่สุด เชื่อได้เลยว่าดนตรีในลักษณะนี้ต้องใช้ความละเมียดละไมในการหาจุดสมดุลเพื่อให้เกิดเสียงที่ดีที่สุด และ Rhye ก็ประสบความสำเร็จในเรื่องนี้ อีกทั้งการเรียบเรียงดนตรีใหม่ที่เพิ่มความโดดเด่นของแต่ละพาร์ตก็น่าสนใจ โดยเฉพาะเครื่องสายที่สามารถทำให้ตัวเพลงนั้นให้อีกฟีลหนึ่งเมื่อเทียบกับการฟังในซีดีหรือสตรีมมิ่งก็ตาม
ทีมนักดนตรีแบ็คอัพของ Rhye
ระบบแสงและวิชวลไม่ได้ตื่นตาตื่นใจ ทว่ากลับเน้นไปที่บรรยากาศที่จะขับเน้นตัวเพลงให้ส่งอารมณ์มาถึงคนฟังมากยิ่งขึ้น ไลท์ติ้งสีน้ำเงิน ม่วง เขียว แดง จึงออกฟีลค่อนข้างหม่นๆ ใช้ดวงไฟด้านหลังที่ทำให้สามารถเล่นกับแสงและเงาได้อย่างมีนัยยะ
ในขณะที่บรรยากาศในการชมคอนเสิร์ตครั้งนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์อันยอดเยี่ยมไม่น้อย น่ายินดีที่ “วัฒนธรรมการคุย” ระหว่างดูคอนเสิร์ตนั้นน้อยลงไปมาก คนดูยินดีทำตามในสิ่งที่ผู้จัดออกมาประกาศขอความร่วมมือก่อนโชว์ แม้จะยังคงมีกลุ่มคนจำพวกที่ขอมาสังสรรค์เฮฮาอย่างเดียวโดยที่ไม่สนใจศิลปินบนเวทีอยู่บ้าง แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีที่บ่งบอกได้ว่า “สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ในเมืองไทย” ไม่ใช่ว่าจะสิ้นหวังไปเสียทีเดียว
อีกหนึ่งมุมสวยๆ จากโชว์ของ Rhye
ย้อนกลับไปที่คำถามตั้งต้นเกี่ยวกับความคาดหวังในการไปชมคอนเสิร์ต เราก็คงยังยืนยันว่าแต่ละคนตั้งความหวังไว้ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่หากจะมีทางเลือกอีกสักทาง การไปดูการแสดงสดของศิลปินสักคนโดยไม่คาดหวัง เพียงหลับตา และปล่อยจิตใจไปกับทุกเสียงที่ได้ยิน ก็อาจเป็นความสุขอีกรูปแบบที่น่าสัมผัส
และ Rhye ก็คือศิลปินที่เราอยากให้คุณลิ้มลองความรู้สึกนั้น หากมีโอกาส
Story by: Chanon B.
Photos by: HAVE YOU HEARD?
อัลบั้มภาพ 133 ภาพ