BTS กับความสำเร็จในวงการเพลงอเมริกา ที่เริ่มด้วยคำว่า "แตกต่าง" | Sanook Music

BTS กับความสำเร็จในวงการเพลงอเมริกา ที่เริ่มด้วยคำว่า "แตกต่าง"

BTS กับความสำเร็จในวงการเพลงอเมริกา ที่เริ่มด้วยคำว่า "แตกต่าง"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้ว่าจะเพิ่งก้าวเข้ามาในสนามรบวงการเพลงไม่นาน แต่ในขณะนี้วง BTS หรือ Bangtan Boys ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการเพลงโลก เพราะนอกจากพวกเขาจะคว้ารางวัล Billboard Music Awards 2018 ในสาขา Top Social Artist เป็นปีที่สองแล้ว ล่าสุดอัลบั้ม Love Yourself: Tear ของวงขึ้นอันดับหนึ่งชาร์ตอัลบั้ม Billboard 200 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อัลบั้มเคป็อปขึ้นมาติดอันดับชาร์ตนี้ และล่าสุดผลงานเพลงFake Love จากอัลบั้มนี้ ก็ได้ขึ้นอันดับ 10 ชาร์ต Billboard Hot 100 ด้วย ทำให้พวกเขากลายเป็นศิลปินเคป็อปต่อจาก Psy ที่สามารถนำเพลง "Gangnam Style" และ "Gentleman" มาติดอันดับ Top 10 ในชาร์ตดังกล่าว

 

BTS Billboard Music Awards 2018

 

ความสำเร็จของวง BTS นอกจากจะสร้างความสุขและฟินให้กับสมาชิกอย่าง JIN (คิม ซอกจิน), Suga(มิน ยุนกิ), Jimin (ปาร์ค จีมิน), RM (คิม นัมจุน), Jong Kook (จอน จองกุก), J-Hope (จอง โฮซอก) และ V (คิม แทฮยอง) รวมถึงแฟนคลับอย่าง ARMY และต้นสังกัดอย่าง Big Hit Entertainment แล้ว ยังทำให้หลายๆคนออกมาวิเคราะห์ความสำเร็จว่าทำไม 7 หนุ่มจากเกาหลีใต้ สามารถทุบทำลายกำแพงภาษาและพาผลงานเพลงพวกเขาเข้ายึดครองพื้นที่หัวใจแฟนเพลงทั่วโลกได้ โดยหลายคนมองว่าเบื้องหลังความสำเร็จ BTS ในสหรัฐอเมริกา มีจุดเริ่มต้นมาจากความแตกต่างของพวกเขา ทั้งในแง่ภาพลักษณ์และวิธีการทำงาน  

 

สมาชิก BTS จากซ้ายไปขวา J-Hope, Jimin, Suga, JIN, Jung Kook, V และ RM

 

ภาพลักษณ์เเปลกใหม่ ที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นออกมาตั้งแต่แรกเห็น

ในอดีตวงการเพลงประเทศสหรัฐอเมริกามีศิลปินกลุ่มหลายๆวงอย่างเช่น Backstreet Boys ที่สามารถร้องและเต้น รวมถึงมีเพลงฮิตที่เล่าเรื่องชีวิตวัยรุ่นได้ดี แต่สำหรับวง BTS พวกเขาถือเป็นสิ่งใหม่ที่น่าจับตาในวงการเพลงอเมริกา เพราะนอกจากจะสามารถร้องและเต้นได้แล้ว พวกเขายังมีการผสมผสานท่าเต้นแบบซิงโครไนซ์ที่พร้อมเพรียงกัน และผลงานเพลงพวกเขาก็มีดนตรีร็อคและท่อนแร็ปแบบดุดันผสมอยู่ ทำให้หลายๆคนที่ได้ฟังผลงานของวงรู้สึกชอบ จนอัลบั้มแรก Dark & Wild ของวงก็ได้เข้ามาติดอันดับ 3 ในชาร์ต World Album ของ Billboard ทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มโปรโมตในอเมริกาอย่างจริงจัง 

โดยก่อนหน้าวง BTS  ในช่วงปี 2006 ศิลปินอย่าง Rain ก็ได้มีโอกาสเดินทางไปแสดงคอนเสิร์ต Rainy Day New York พร้อมขายบัตร 12,000 ใบหมดเกลี้ยง และในปีเดียวกันเขาก็ติดอันดับ หนึ่งในร้อยผู้ทรงอิทธิพลของโลก (100 Most Influential People Who Shape Our World) จากการจัดอันดับของนิตยสาร Time ซึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนให้ความสนใจ Rain ก็คือความสามารถของเขาในการร้อง เต้น รวมไปถึงการแสดง

นอกจาก Rain แล้ว ศิลปินจากค่าย JYP อย่าง Wonder Girls เองก็เคยส่งเพลงฮิต "Nobody" เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษมาติดอันดับที่ 76 ของชาร์ต Billboard Hot 100 ช่วงปี 2009 ในขณะที่ Psy สามารถส่งเพลง “Gangnam Style” และ “Gentleman” มาติด Top 10 ชาร์ต Billboard Hot 100 ในปี 2012 -2013 โดยความสำเร็จของพวกเขานั้นมาจากความสามารถ และการนำเสนอที่แตกต่าง โดยวง Wonder Girls ได้รับความสนใจในแง่ของบุคลิกสดใสที่ต่างจากเกิร์ลกรุ๊ปตะวันตกที่มีลุคจัดจ้าน ในขณะที่ Psy เองก็เป็นศิลปินที่นำเสนอความสนุกสนานและตลกควบคู่กับเพลง จนทำให้ผลงานเขากลายเป็นไวรัลที่โด่งดังทั่วโลก 

สิ่งที่ทำให้ศิลปินเคป็อปหลายคนสามารถมีแฟนคลับในประเทศสหรัฐอเมริกาได้ ก็คือผลงานและภาพลักษณ์ที่แตกต่าง เพราะสิ่งนี้เปรียบเสมือนประตูที่ดึงดูดให้แฟนๆอยากเข้ามาทำความรู้จักวง และวง BTS ก็เป็นศิลปินอีกวงที่มีภาพลักษณ์แตกต่างจนทำให้แฟนคลับอย่าง Army อยากทำความรู้จักพวกเขา  

 

BTS ในงาน 2017 American Music Awards

ภาพการแสดงของวง BTS ในงาน 2017 American Music Awards

 

บทเพลงที่ทำลายกำแพงภาษา จากความจริงใจของสมาชิก

ในแง่ของการแต่งเพลงนั้น วง BTS ได้ให้ความสำคัญในการถ่ายทอดเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นเพลงรัก อย่าง “Danger”, “War of Hormone” และ Fake Love หรือเพลงที่พูดถึงการต่อสู้ชีวิตและผจญภัยอย่าง “Dope” และ Fire ที่ทางวงทำออกมาเพื่อส่งพลังให้กับผู้ฟัง หรือแม้แต่เพลง “Parardise” จากอัลบั้มล่าสุดที่ทางวงได้ให้แง่คิดกับแฟนๆที่กำลังหลงทางและหาเป้าหมายชีวิตไม่เจอ จนทำให้ผลงานพวกเขาสามารถเข้าไปอยู่ในใจคนฟัง พร้อมทั้งยังสร้างความสนุกสนานไปพร้อมๆกัน ซึ่งต่างจากศิลปินเคป็อปหลายวงที่ไม่ค่อยนำเสนอเรื่องราวแบบนี้ผ่านบทเพลง 

นอกจากความสามารถในการแต่งเพลงจะทำให้สมาชิก BTS ถูกมองว่าเป็นศิลปินเต็มตัวจากแฟนๆแล้ว พวกเขายังสามารถถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตลงในเพลงได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวชีวิตในแง่มุมต่างๆ รวมถึงทำให้แฟนๆได้เห็นการเติบโตของสมาชิกจากวัยรุ่นที่เต็มไปด้วยพลังจากอัลบั้มแรก Dark & Wild สู่การเป็นผู้ใหญ่ในวัย 20 ที่เข้าใจโลกมากขึ้นในอัลบั้ม Love Yourself: Tear ทำให้แฟนๆรู้สึกผูกพันกับวงเมื่อได้ชมผลงานไปเรื่อยๆ 

สิ่งที่ทำให้สมาชิกวง BTS สามารถทำผลงานเพลงที่มีเนื้อหาตรงกับชีวิตแฟนๆได้ ก็คือความสามารถในการแต่งเพลงของเหล่าสมาชิก เพราะตั้งแต่อัลบั้มแรก สมาชิก BTS ได้มีส่วนร่วมกับการทำผลงานเพลงตลอด โดยล่าสุด KOMCA (Korea Music Copyright Association) หรือสมาคมลิขสิทธิ์เพลงเกาหลี ได้ออกมารายงานในวันที่ 8 เมษายน 2018 ว่า RM หรือ Rap Monster ได้มีชื่อเครดิตแต่งเพลง 87 เพลง และติดอันดับ 6 ในฐานะไอดอลชายที่มีผลงานเพลงที่ถูกจดลิขสิทธิ์มากที่สุด ในขณะที่ Suga มีผลงานเพลงที่จดลิขสิทธิ์ 62 เพลง และติดอันดับที่ 13 ส่วน J - Hope ก็มีเพลงที่จดลิขสิทธิ์มากถึง 59 เพลง และติดอันดับที่ 19 ซึ่งนอกจากการแต่งเพลงแล้ว ทั้ง 3 หนุ่มก็ได้มีส่วนร่วมในการโปรดิวซ์เพลงจนออกมาสมบูรณ์ในหลายๆซิงเกิลด้วย ทำให้พวกเขามีอิสระในการเล่าเรื่องผ่านบทเพลง ซึ่งต่างจากไอดอลหลายๆวงที่มีทีมเพลงคอยดูแลผลงาน  

สำหรับกำแพงภาษาที่หลายคนมองว่าเป็นอุปสรรคสำหรับวง ในปัจจุบันนี้ทางวงเองได้ทำผลงานพร้อมคำแปลภาษาอังกฤษและจีน จนทำให้แฟนๆทั่วโลกสามารถเข้าไปสัมผัสความจริงใจในบทเพลงพวกเขา ถึงแม้จะไม่สามารถสื่อสารภาษาเกาหลีได้ก็ตาม และสิ่งนี้ก็ช่วยให้ผลงานเพลงวง BTS สามารถเดินทางทะลุกำแพงวัฒนธรรมเข้าสู่ใจผู้ฟังเพลงชาวอเมริกาเป็นที่เรียบร้อย 

 

 

ฺBTS Dark & Wild

ภาพของวง BTS จากอัลบั้ม Dark & Wild

 

 

 

ความเป็นธรรมชาติที่ฉีกกรอบวัฒนธรรมไอดอลเกาหลีใต้

ปกติแล้วไอดอลเคป็อปนั้น มักจะมีการเว้นช่องว่างตัวเองกับแฟนเพลง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัย แต่ BTS เป็นศิลปินที่แหกขนบธรรมเนียมนี้อย่างชัดเจน เพราะพวกเขามักจะใช้บัญชีทวิตเตอร์ BTS_twt เพื่อสื่อสารพูดคุยกับแฟนๆโดยตรง หรือแม้แต่อัปโหลดรูป Selfie ในอิริยาบถฮาๆ จนทำให้ทางวงได้รับการจดบันทึกจาก Guinness World Records ในฐานะเจ้าของบัญชีทวิตเตอร์ ที่มียอด Engagement สูงที่สุดในโลก โดยในปัจจุบันนี้บัญชี Twitter ของวงมียอดการรีทวีตเฉลี่ยสูงกว่า 200,000 ครั้งต่อทวีต ซึ่งสิ่งนี้ก็ทำให้วงสามารถยึดครอง Platform โซเชียลมีเดียและทำให้แฟนๆค่อยๆรู้จักพวกเขามากขึ้น 

อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้หลายคนประทับใจหนุ่มๆวง BTS ก็คือการที่พวกเขากล้าที่จะพูดถึงประเด็นอ่อนไหวในสังคม ไม่ว่าจะเป็นการที่สมาชิกอย่าง RM ออกมาทวีตสนับสนุนผลงานเพลง "Same Love" ของ Macklemore & Ryan Lewis ที่พูดถึงความรักที่ไม่จำกัดเพศ ในขณะที่ประเด็นเรื่องนี้ยังไม่ถูกยอมรับในเกาหลีใต้ รวมไปถึงการที่สมาชิกเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อสังคมเสมอ อย่างเช่นการบริจาคเงิน 100,000 ยูเอสดอลล่าร์ หรือประมาณ 3,500,000 บาท เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุการณ์เรือแซวอลล่มที่คร่าชีวิตชาวเกาหลีใต้มากกว่า 300 คน โดยประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องอ่อนไหวทางการเมืองและวัฒนธรรมของเกาหลีใต้จนศิลปินดาราหลายคนหลีกเลี่ยงการพูดถึง 

แม้ว่าในปัจจุบันนี้ สมาชิกของวงจะกลายศิลปินแถวหน้าของเกาหลีใต้แล้ว แต่พวกเขาก็ยังให้ความสำคัญกับแฟนเพลงไม่เปลี่ยนแปลง โดยนอกจากจะขอบคุณแฟนคลับก่อนใครๆเวลารับรางวัลแล้ว หลังจากงาน Billboard Music Awards ที่ผ่านมา เหล่าสมาชิกได้ตัดสินใจไม่ไปงาน After Party เพื่อที่จะมา LIVE พูดคุยกับเหล่าในแอปพลิเคชั่น VLIVE และเล่าประสบการณ์ในงาน ราวกับว่า Army นั้นคือเพื่อนสนิทคนแรกที่ทางวงอยากแชร์ความสุขด้วย 

 

ตัวอย่างโพสต์ที่ จีมิน เขียนขอบคุณแฟนเพลงในทวิตเตอร์วง

 

การทำงานของค่าย Big Hit ที่เหมาะสมกับวง

นอกจากสมาชิกและ ARMY แล้ว อีกหนึ่งกลุ่มคนสำคัญที่เป็นลมใต้ปีกให้กับวง BTS ก็คือต้นสังกัดอย่าง Big Hit Entertainment ที่ถึงแม้จะเป็นค่ายเพลงเล็กๆ และเริ่มต้นจากการเป็นออฟฟิศห้องเช่าเล็กๆ แต่ทางค่ายเองก็ให้การสนับสนุนสมาชิกด้วยวิธีที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการส่งให้พวกเขาไปฝึกความสามารถในการเป็นศิลปินที่อเมริกา การให้อิสระในการใช้โซเชียลมีเดียกับแฟนๆ  ก็ทำให้ทางวงอยู่ในกระแสต่อเนื่อง ซึ่งนโยบายการทำงานที่แตกต่างนี้ก็ทำให้วงเติบโตได้ในเส้นทางที่เหมาะสม 

ในด้านการทำงานนั้น ทางค่าย Big Hit ถือเป็นค่ายเพลงที่มีวิธีการทำงานที่ต่างจากบริษัทอื่นๆมาก เพราะในปัจจุบันนี้ทางค่ายมีศิลปินเพียงแค่วง BTS และศิลปินเดี่ยวอย่าง ลี ฮยอน ที่ร่วมงานกับค่ายมาตั้งแต่ปี 2009 ต่างจากค่ายเพลงขนาดกลางและใหญ่หลายๆค่ายที่มีวงไอดอลอย่างน้อย 2-3 วงขึ้นไป ซึ่งสิ่งนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ทางต้นสังกัดของวง BTS สามารถสนับสนุนวงได้เต็มที่ และทำให้ตัวค่ายเองสามารถมีรายได้อยู่ที่ 85.6 ล้านยูเอสดอลล่าร์ หรือราวๆ 2,739 ล้านบาทไทย และ ทำกำไรมากถึง 22.7 ล้านยูเอสดอลล่าร์ หรือราวๆ 725.95 ล้านบาทในปี 2017 

 

 

นอกจากความสำเร็จในวงการเพลงประเทศสหรัฐอเมริกาแล้ว ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพลง "Fake Love" ก็ได้เข้ามาติดชาร์ต JOOX TOP 100 ในอันดับที่ 8 ด้วย โดยถือเป็นเพลงเกาหลีเพลงแรกที่เข้ามาติด Top 10 ชาร์ตนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหนุ่มๆวง BTS ก็ได้รับความนิยมมากในไทยเช่นกัน 

 

ถ้าให้จะให้เราสรุปเรื่องราวความสำเร็จของ BTS ในสองพยางค์ คำว่า "แตกต่าง" คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุด เพราะการทำงานที่แตกต่างและฉีกขนบธรรมเนียมหลายอย่างของวงการเคป็อป ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้วง BTS สามารถทำลายกำแพงภาษา และเข้ายึดหัวใจ Army ด้วยผลงานเพลงที่เต็มไปด้วยความตั้งใจ

 

แต่เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จทั้งหมดของ BTS คงจะไม่เกิดขึ้น ถ้าสมาชิกทั้ง 7 ไม่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ และยอมเสียหยาดเหงื่อและน้ำตาเพื่อทำให้ผลงานและตัวตนพวกเขาเป็นที่ยอมรับของแฟนเพลง และในปัจจุบันนี้ความสำเร็จของพวกเขาก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแรงบันดาลใจสำหรับศิลปินชาวเอเชียที่อยากประสบความสำเร็จระดับโลก รวมถึงทำให้หลายคนจับตามองว่าหลังจากนี้ พวกเขาจะสามารถสร้างประวัติศาสตร์อะไรอีกบ้างในวงการเพลงประเทศสหรัฐอเมริกาและทั่วโลก 

ขอบคุณภาพจาก Getty Images

Story : Sidhipong W.

อ่านเพิ่มเติม

BTS สุดฮอต! ซูเปอร์สตาร์วงการเพลงขอถ่ายภาพด้วยใน Billboard Music Awards 2018

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ BTS กับความสำเร็จในวงการเพลงอเมริกา ที่เริ่มด้วยคำว่า "แตกต่าง"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook