บทบันทึกสู่เพื่อนเก่า "Mr. Big Live in Bangkok" โดย พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์
"To Be with You"
ย้อนวันกลับไปในวัยทีนเอจ หนึ่งในคำที่คนหัดฟังเพลงพยายามค้นหาไอดอลส่วนตัวมีมากมาย ทั้งใครเล่นกีตาร์เก่งที่สุด เร็วที่สุด กลองมันที่สุด แต่คำที่สะกิดใจ และพยายามค้นหาสำหรับผมนั่นคือ Super Band ที่รวมพญาเทพมาจุติในที่เดียวกันมากที่สุด
สำหรับคนสามสิบปลายวิ่งไล่หลักสี่ไม่กี่หมากแหลกแล้ว ดนตรีที่ขึ้นมาเป็นกระแสหลักใหญ่ในบ้านเราช่วงวัยรุ่นราว 20 กว่าปีก่อนไม่พ้นกระแสโมเดิร์นร็อกจากอังกฤษ และอัลเทอร์เนทีฟที่พลิกกระแสให้ดนตรีร็อกจับต้องง่ายขึ้น ไม่ยากทั้งเรื่องภาพลักษณ์หรือดนตรีที่ซับซ้อนโซโล่ยากเกินเด็กมัธยมทั่วไปจะทำได้
ชื่ออย่าง Nirvana, Suede, Manic Street Preachers, Shed, Seven, Blur เข้ามายึดหัวหาดบ้านเราได้ไม่ยาก ยิ่งมีวงไทยที่ทำเพลงเนื้อไทยออกมาในแนวนี้เรื่องเลยไปกันใหญ่
ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในเด็กที่อยู่ในกระแสนั้น ทั้งฟัง ทั้งเล่น เป็นธรรมดาที่อิทธิพลของเพลงแนวนี้จะฝังลึกลงไปในหัว จนปัจจุบันแม้อายุที่เพิ่ม สังคมที่เปลี่ยน และรสนิยมจะพาเราไปลิ้มอรรถรสการฟังมาหลากแนว สุดท้ายก็วนมาจบที่เพลงลักษณะแบบนี้
Mr. Big
แปลกที่เวลาผ่านมาถึงตอนนี้ หากมีใครมาถามว่าวงโปรดที่สุดของตัวเองคือใคร ผมตอบอย่างไม่ลังเล แน่นอนวงโปรดตลอดกาลของผมคือ Mr.Big ร็อกแอนด์โรลจากแอลเอ ที่เดินทางมายาวนานตั้งแต่ปี 1988 ท่ามกลางวงร็อกผมยาวมากมาย บวกกับกระแสอัลเทอร์เนทีฟที่แรงเข้ามาแทนที่ร็อกผมยาวกระแสหลักในช่วงที่ Mr.Big กำลังจะก้าวไป
ทันทีที่อินโทรแสนเร้าใจของ "Daddy, Lover, Brother, Littleboy" ระเบิดขึ้นด้วยภาพของ 3 สมาชิกดั้งเดิม แม้เสียงเบสของ Billy Sheehan จะทุ้มดุดันขนาดไหน แผดเสียงคำรามจาก Ibanez Fireman ของ Paul Gilbert จะเร่าร้อนเร้าใจสักเพียงใด เช่นกันกับสุ้มเสียงและลีลาที่คุ้นเคยของ Eric Martin รอบข้างต่างพากันเฮลั่นกรีดร้องอย่างสะใจ เด็กหนุ่มราวยี่สิบปลาย รวมทั้งเด็กมัธยมที่มาในชุดนักเรียน 4-5 คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างพากันกระโดดสุดตัว
ภาพบนเวทีของ Mr. Big ที่เราคุ้นเคย
ทว่าเพลงแรกของโชว์ทำเอาผมเองน้ำตารื้นโดยไม่รู้ตัว ปากร้องตาม แต่แปลกที่ใจมันไม่คึกเท่าไหร่นัก หวิวๆ พิกล
การกลับมาของ “Mr.Big”
อาจจะแปลกหูไปบ้างกับจังหวะกลองของ Matt Star ซึ่งมาสวมบทบาทแทนที่ Pat Torpey ผู้ล่วงลับ ข่าวร้ายที่ดังก้องหูและสะเทือนใจที่สุดสำหรับแฟนเพลงพวกเขาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันนธ์ ที่ผ่านมา แต่ความประทับใจไม่ต่างไปจากครั้งก่อนๆ ที่จัดเต็มไป ณ ธันเดอร์โดม
บรรยากาศมุมกว้างของ Mr. Big Live in Bangkok
สำหรับโชว์ครั้งที่ 4 ในเมืองไทย Mr.Big ย้ำชัดว่าพวกเขาคือสุดยอด Performer ในแบบฉบับร็อกแอนด์โรลแท้ๆ ในยุคฮาร์ดร็อกแฮร์แบนด์เฟื่องฟู เพลงเร็วโยกหัวกันสะใจ แต่เหนือชั้นไปด้วยเมโลดี้ที่สวยงาม ซึ่งเป็นจุดเด่นที่แตกต่างของเพื่อนร่วมรุ่น แม้จะหนีไม่พ้นปัญหาของวงรุ่นใหญ่หลายๆ วงนั่นคือ กระแสตอบรับที่ไม่ดีนักสำหรับอัลบั้มใหม่ๆ ซึ่ง “นายใหญ่” วงนี้ผลิตสตูดิโออัลบั้มออกมาถึง 3 อัลบั้มเต็มๆ ไล่ตั้งแต่ What If... (2011), ..The Stories We Could Tell (2014) และ Defying Gravity (2017) ขนาดเพลงโปรโมต "Everybody Needs a Little Trouble” ซึ่งเป็นเพลงสุดท้ายที่มีภาพ Pat Torpey ปรากฏในเอ็มวี เสียงตอบรับก็เงียบงัน แม้ส่วนตัวผมจะรู้สึกว่าอัลบั้มล่าสุดจะออกมาดีมากเกินคาดก็ตาม
ทว่าทุกเพลงจากอัลบั้มสร้างชื่อที่ดังขึ้นมาล้วนปลุกเร้าอารมณ์ร็อกเกอร์ให้ลุกเป็นไฟทั้ง "Alive and Kickin'" หรือ "Rock & Roll Over" ก็จะเดือดขึ้นมาทันที
Take Cover : Song For Pat
รันโชว์ไปได้สักพักดูผู้ชมจะซึมลงไปนิดหน่อย เมื่อ Eric Martin พูดถึงสมาชิกดั้งเดิมยุคก่อตั้งวงที่จากไปอย่าง Pat Torpey ร่ายยาวถึงความผูกพัน ความสนุกร่วมกันมายาวนานหลายทศวรรษ แน่นอนทุกคนคิดถึงยอดฝีมือด้านกลองคนนี้ มันไม่ใช่แค่การสูญเสียของวง แต่เป็นการสูญเสียของวงการร็อกทีเดียว
Matt Starr สมาชิกใหม่แห่งครอบครัว Mr. Big
ก่อนที่บรรยากาศจะซึมมากไปกว่าเดิม Eric แนะนำให้ทุกคนได้รู้จักสมาชิกใหม่ของวง ไม่สิ เขาใช้คำว่าสมาชิกคนล่าสุดของครอบครัว Mr.Big นั่นคือ Matt Starr ซึ่งเสียงตอบรับจะสนั่นโถงอีกครั้งพร้อมอินโทรสุดคลาสสิกที่นำด้วยกลองอย่าง "Take Cover" เพลงเด็ดจากอัลบั้ม Hey Man หน้าปกหุ่นไล่กาและแบ็กกราวด์สีชมพูฟ้าพาสเทล เป็นเพลงที่แฟนร้องตามได้ทุกท่อนแม้แต่เสียงเอื้อนของ Eric ก็ไม่เว้น
Why We Call him the Great Paul?
ในโชว์นี้เรื่องที่แฟนๆ ของพวกเขาตั้งตารอนั่นคือ การตัดสลับเข้าโซโล่ระดับปีศาจจากหนึ่งในมือกีตาร์ที่เก่งที่สุดของโลกในปัจจุบันอย่าง Paul Gilbert ในวัย 51 ทั้งดุ เร็ว มากเทคนิค ที่สำคัญใส่ยับทุกเม็ด อยากเห็นอะไรล่ะ แท็ปปิ้ง สปีดนรกแตกขนาดไหน สวิป โน่นนี่นั่นดูทันก็ดูไปเลย ทำเอาให้เหล่าเลคเชอร์แมนที่ตั้งแง่มาดูกันว่าเจ๋งจริงไหมซูฮกหงายท้องไปตามกันก่อนเชื่อมเข้าเพลงอมตะ “Addicted to That Rush” หนึ่งในไฮไลต์ที่โชว์ทักษะของสมาชิกทั้งสี่ การเดินกลองที่ละเอียดยิบมากลูกเล่นแต่แข็งแรง เป็นแก่นแกนให้กีตาร์ได้ปล่อยจินตนาการเรียกเสียงว้าวจากคนดูเป็นระยะ บวกกับลูกเบสที่น่าทึ่งเร็วไม่แพ้กีตาร์ของ Billy Sheehan แน่นอนอุปกรณ์สว่านไฟฟ้าคู่ใจต้องมา
Paul Gilbert ในวัย 51 ปี
ท่อนที่ว่าถือเป็นทีเด็ดแล้ว แต่ทุกอย่างที่ได้ชมเหมือนเป็นระดับมัธยมไปในพริบตา เมื่อเพื่อนสมาชิกทั้งสามเดินลงจากเวทีปล่อยให้ พี่ใหญ่ คนบ้าเล่นเบส 2 แจ็ก Billy ในวัย 65 ปี ควง Yamaha Attitude คู่ใจใส่ยับโซโล่อยู่ร่วม 5 นาที แต่เป็น 5 นาทีที่ไม่มีเบื่อ สำหรับคนดนตรี คนบ้าเบส
Bassist Hero
การได้ดู 10 นิ้วที่ทรงพลังของ Billy Sheehan ปลดเปลื้องทุกพันธนาการ ทลายทุกกรอบจำกัดของตำรา “เบส” คำพูดที่ออกจากปากผู้ชมขณะนั้นฟังแทบไม่เป็นคำ แต่ทุกน้ำเสียงที่ออกมาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ซูฮกในความยอดเยี่ยมของโคตรเบสคนนี้ ถึงวัยจะเข้าใกล้คุณปู่ แต่ผมกล้าการันตีว่าโลกใบนี้หาคนโค่นเขาจากตำแหน่งหนึ่งในมือเบสที่เก่งที่สุดเท่าที่โลกเคยมีได้ยากเหลือเกิน ทั้งนี้หากดูกันจริงๆ คนเบสหลายคนอาจสงสัยเล็กๆ เพราะ บิลลี่ เป็นหนึ่งในเบสแถวหน้าที่ไม่นิยมโซโล่เบสด้วยการสแลป แต่จะสนไปทำไมกันเมื่อเล่นมันขนาดนี้
Billy Sheehan มือเบสระดับพระกาฬ
คลาสสิกสุดๆ เมื่อโซโล่ดังกล่าวเป็นการส่งเข้าอีกเพลงครูของคนร็อกที่อยากก้าวไปสู่คำว่า กีตาร์ฮีโร่ เบสฮีโร่ และ ซูเปอร์แบนด์ต้องผ่านไปให้ได้ นั่นคือ "Colorado Bulldog" ยกให้เป็นช่วงพีคที่สุดในการโชว์สุดยอดทักษะกับเพลงสุดซี้ดของเหล่าขาร็อก เช่นกันกับช่วงขายของที่ Mr.Big ทำได้ดีทุกครั้งในทุกโชว์ นั่นคือชุดเพลงรักหวานซึ้ง
ตามแบบฉบับบัลลาดร็อกระดับตำนาน ทั้ง "Wild World" งานเก่าจากคณะ Cat Stevens เพลงที่บอกถึงความรักล้นปรี่ที่ต่อให้คนรักคนดีอยากจากไป ก็ขอให้เก็บความรักจากหัวใจเขาติดตัวไปด้วยอย่าง "Just Take My Heart" รวมทั้งเพลงช้าที่ท้าทายมือกีตาร์และเบสอย่างร้ายกาจ ทั้งทักษะลูกเล่นที่นับไม่ทันว่า 1 ท่อนในไม่กี่วินาที Paul กับ Billy เล่นอะไรให้เราดู เช่นกันกับการเรียบเรียงให้ออกมาประสานกันลงตัวทั้งการเล่นและการร้องนั่นคือ "Green Tinted Sixties Mind" เพลงช้าที่ทั้งคู่ปล่อยแสงแห่งความอิ่มเอมใส่ผู้ชมอย่างไม่ยั้งมือ
น้ำเสียงที่ฟังแล้วอิ่มเอมทุกครั้งจาก Eric Martin
ไหนจะเพลงชาติของวงอย่าง "To Be With You" เพลงที่ทุกคนรออยู่ เพียงแค่ส่งสัญญาณเข้าเพลง กว่า 3,000 ชีวิตใน GMM Live House ร้องกันสุดเสียงจน Eric Martin แทบไม่ต้องทำอะไรนอกจากยิ้ม แล้วก็ร้องออกมาอย่างด้วยสีหน้าและท่าทางมีความสุขที่สุด โดยส่วนตัวเพลงนี้ถือเป็นเพลงโปรดลำดับต้นๆ ของชีวิต และนี่ก็คือเพลงในวันสำคัญวันแรกแห่งการเริ่มต้นชีวิตคู่ ไม่ต้องเล่าต่อก็คุณๆ คงพอเดาได้ว่าสภาพผมขณะร้องและดื่มด่ำไปกับเพลงนี้จะเป็นอย่างไร
จบจากโชว์ สิ่งที่ได้ยินหลายคนบ่นเป็นเสียงเดียวกันคงไม่พ้นเรื่องของเสียงที่ออกมาฟังยากไปนิดและไม่เคลียร์นัก เท่าที่เจอะเจอคำถามนี้ยิงใส่ ผมเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามันดีหรือไม่ ด้วยความสัตย์ผมแทบไม่ได้สนใจเรื่องแสงสีเสียงสักเท่าไหร่ จริงๆ ก็เป็นมาตั้งแต่ครั้งก่อน
3 สมาชิกยุคก่อตั้งวง
Mr.Big เป็นวงไม่ขายโปรดักชั่นนักเวลามาเมืองไทย หากคุณหวังจะเห็นแสง สี กราฟฟิก สารพัดบนเวทีให้ลืมไปเลย ส่วนเสียงก็เกินกว่าจะอธิบายได้ด้วยชั้นความรู้ที่ผมมี ที่รู้ก็แค่เพียงการได้ดูพวกเขาอีกครั้งในวัยนี้ มันเหมือนได้เจอเพื่อนเก่า ครูคนเก่า แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้เราอยากสร้างและฟังดนตรี เพื่อนคนนี้ที่อยู่หลายช่วงสำคัญของชีวิต มาเล่นดนตรีให้ฟังต่อหน้าด้วยความคิดถึงเท่านี้มันก็คุ้มค่าเหลือเกิน
ทั้งนี้ขอขอบคุณทาง Sanook ที่ชวนมาร่วมสนุกร่ายยาวบทความนี้ให้แฟนๆ Sanook ได้อ่านเป็นครั้งแรก หวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้พบกันใหม่ครับ
Mr. Big ส่งท้ายความประทับใจ
เรื่อง : พรรษิษฐ์ วิชญคุปต์ (ผู้บรรยายกีฬา/นักเขียน)
ภาพ : OD Rock Fest
อัลบั้มภาพ 45 ภาพ