Lauv เจ้าพ่อเพลงอกหักรุ่นใหม่ ว่าที่ซูเปอร์สตาร์ในอนาคต
ในระยะหลังๆ มานี้ คอเพลงสากลอาจจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตา และคุ้นหูกับเพลงอินดี้ป็อปนุ่มๆ ของ Ari Staprans Leff หรือที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อของ Lauv (ลาฟว์) กันมากขึ้น แม้จะมีอายุเพียง 23 ปี แต่ Lauv ก็เป็นศิลปินอิสระมากความสามารถที่ทำได้ทั้งแต่งเพลง ร้องเพลง เล่นดนตรี หรือแม้กระทั่งสกิลการเป็นโปรดิวเซอร์ก็โดดเด่นไม่แพ้กันจนเข้าสามารถกลายเป็นศิลปินที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ต Billboard Top Emerging Artist หรือชาร์ตที่แสดงอันดับของศิลปินที่มีพัฒนาการมากที่สุดในแต่ละสัปดาห์ได้อีกด้วย ถึงแม้ว่า Lauv จะยังคงเป็นศิลปินหน้าใหม่ในวงการเพลง แต่เขาก็สามารถส่งซิงเกิลฮิตที่ชวนให้หลายคนฟังแล้วเคลิ้มตามและรู้จักกันอย่างซิงเกิล “The Other” หรือซิงเกิล “I Like Me Better” ที่สามารถติดบนชาร์ต Billboard Hot 100 ได้เช่นเดียวกับ “A Different Way” ที่เขาร่วมทำกับ DJ Snake
หลังจากที่ปี 2015 เขาได้ปล่อยอัลบั้ม EP ในชื่อ Lost in the Light ไปซึ่งมีซิงเกิลที่ทำให้เขาเริ่มเป็นที่รู้จักอย่าง “The Other” แล้วนั้น ต่อมาในช่วงกลางปี 2017 เขาก็ได้ปล่อยซิงเกิล “I Like Me Better” ที่เล่าถึงเรื่องราวความรักของเขาในช่วงที่ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมือง New York เพื่อเรียนต่อทางด้านดนตรีที่เขารักนั้นก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับ Lauv ขึ้นไปอีก จนเรียกได้ว่าแจ้งเกิดได้ด้วยซิงเกิลดังกล่าวเลยทีเดียว ก่อนที่ในช่วงปลายปีเดียวกันนั้นเอง (4 กันยายน 2017) เขาก็ได้ประกาศร่วมทัวร์กับป๊อปสตาร์ชื่อดังอย่าง Ed Sheeran ในการแสดงเปิดคอนเสิร์ต Divide Tour ในแถบเอเชียซึ่งรวมถึงประเทศไทยอีกด้วย
Lauv ในคอนเสิร์ต
Lauv ในประเทศไทย
พูดถึงผลงานเบื้องหน้าในฐานะของศิลปินกันไปแล้ว ผลงานเบื้องหลังของเขาก็โดดเด่นไม่แพ้กัน เขาได้ร่วมเขียนซิงเกิลฮิตอย่าง “No Promises” ร่วมกับ Cheat Codes และ Demi Lovato แถมยังร่วมทำซิงเกิลฮิตของ Charli XCX อย่าง “Boys” อีกด้วย
ถึงแม้ชื่อ Lauv จะฟังดูพ้องเสียงกับคำว่า ‘Love’ ในภาษาอังกฤษก็ตามแต่ความหมายจริงๆ ของชื่อนั้นมาจากคำว่า ‘Lion’ หรือสิงโตในภาษาลัตเวีย Lauv เกิดที่เมือง San Francisco ในปี 1994 เขามีความสนใจทางด้านดนตรีตั้งแต่เด็กๆ ทำให้เริ่มเรียนเปียโนและวิโอล่า ก่อนจะหัดเล่นกีตาร์ตอนอายุ 11 ปี เขาชื่นชอบการแต่งเพลงเกี่ยวกับความรักมากๆ ตั้งแต่ก่อนที่เขาเองจะเคยมีความรักเสียอีก
ขณะที่ Lauv เรียนอยู่นั้นเขาได้อยู่ในวงดนตรีของโรงเรียน พร้อมกับเรียนดนตรีแจ๊สก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เช่นเดียวกับในปัจจุบัน ในช่วงที่เขาเข้ามหาลัยเขายังคงเขียนเพลงที่เกี่ยวกับความรัก จนเขาได้กลายเป็นนักร้องเล่นดนตรีสดที่มีคนติดตามมากมายบนโซเชียลเน็ตเวิร์ค Lauv จบการศึกษามาจาก New York University ในสาขาเทคโนโลยีดนตรี ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยที่เขาจะสามารถเริ่มต้นเส้นทางอาชีพสายดนตรีของเขา ก่อนที่เขาจะเริ่มหันมาเขียนเพลงให้ศิลปินอื่น นอกจากเรื่องความรัก เขายังชอบเขียนเพลงที่เกี่ยวกับชีวิต และความรู้สึกส่วนตัวของเขาเอง หลังจากเขียนเพลงให้คนอื่นมาสักพัก เขาก็เริ่มหันมาทำเพลงเพื่อตัวเอง เพราะเขารู้สึกว่ามีหลายเพลงที่เขารู้สึกว่ามันพิเศษสำหรับเขา จนเขาไม่อยากเสียโอกาสที่จะได้ทำเพลงนั้นไป จนในที่สุดซิงเกิลอย่าง “The Other” ก็ได้กลายมาเป็นซิงเกิลอินดี้ป๊อปที่มีกลิ่นอายของดนตรีบลูส์ หนึ่งในอัลบั้ม EP ของเขาในที่สุดนั่นเอง
หลังจากที่ต้นปีที่ผ่านมา (2018) Lauv ได้เริ่มเดินสายทัวร์รอบโลกของเขาเป็นครั้งแรกในชื่อทัวร์ I Met You When I Was 18. ล่าสุดเขา ก็ได้ปล่อยสตูดิโออัลบั้มของเขาออกมาอย่างเป็นทางการในชื่อเดียวกัน โดยอัลบั้มดังกล่าวรวมเอาทั้งเพลงที่เขาได้ปล่อยไปใน EP ก่อนหน้า และเพลงใหม่ทั้งหมดไว้ด้วยกัน
นอกจากซิงเกิลฮิตติดกระแสที่เราเรื่องราวความอบอุ่นของการที่เราได้อยู่กับคนรักอย่าง “I Like Me Better” แล้ว เราขอแนะนำให้ได้ลองฟังเสียงนุ่มลึก ตลอดจนอารมณ์ที่เขาถ่ายทอดผ่านบทเพลง และทำนองของเขาจน Rolling Stone ถึงกับตั้งฉายาให้กับเขาว่า “Heartbreak King” หรือ ‘เจ้าพ่อแห่งเพลงอกหัก’
อย่างซิงเกิล “Bracelet” ที่ถึงแม้ว่าทำนองจะค่อนข้างเร็วก็ตามแต่อารมณ์ที่ถ่ายทอดออกมาบนเนื้อเพลงนั้นให้ความรู้สึกคิดถึง เศร้าปนเหงาในเวลาเดียวกัน
“Getting Over You” พูดถึงการที่เราไม่สามารถจะมีความรักครั้งใหม่ได้อย่างสมบูรณ์เพราะยังลืมคนรักเก่าไม่ได้ “ผมได้ลองใช้เวลากับคนใหม่ แต่ความเป็นจริงแล้วผมสามารถใช้ชีวิตทั้งชีวิตเพื่อลืมคุณ”
“Paris in the Rain” เป็นหนึ่งซิงเกิลที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นด้วยการนำเมืองปารีสยามฝนตกมาเปรียบเป็นอารมณ์ที่เราได้อยู่กับคนรัก “ที่ไหนก็ตามที่ผมอยู่กับคุณ มันให้ความรู้สึกเหมือนกับปารีสยามฝนพรำ”
“Never Not” บทเพลงที่นึกย้อนถึงตอนที่เราเคยมีความสุขกับคนที่เรารัก “หากลองมองย้อนกลับไป ไม่มีวันไหนเลยที่ฉันจะไม่คิดถึงเธอ”
“Breathe” พูดถึงความสัมพันธ์ที่ถึงแม้เราจะรักและโอเคกับคนรักเราแต่ก็มีบางมุมที่เราต้องการเวลาส่วนตัวและความเป็นตัวเองบ้างเหมือนกัน
หรือจะเพลงจังหวะ EDM อย่าง “Chasing Fire” ก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างน่าประทับใจเช่นกัน “I’m chasing fire when I’m running after you.” “การที่ผมวิ่งตามคุณมันเหมือนกับการวิ่งตามเปลวไฟ คุณมีบางอย่างที่ผมไม่อยากจะสูญเสียมันไป มันเหมือนกับการเริ่มเต้นตอนที่เพลงมันได้จบลงไปแล้ว”
____________________
ขอขอบคุณ
ข้อมูลจาก YouTube Lauv, Facebook Lauv
รูปภาพจาก Getty Images
Story by Thanaphon W.