วงดนตรี “ภูมิจิต” กับนานาทัศนะเรื่องการเติบโตทางดนตรี การศึกษา และสังคมไทยทุกวันนี้
เพราะการใช้ชีวิตในสังคมมันไม่ใช่เรื่องง่าย...
วงดนตรีหลายวงจึงเลือกจะเล่าเรื่องราวสะท้อนอะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อาจเป็นเรื่องใกล้ตัวที่หลายคนมองข้าม หรือทัศนคติที่มีต่อเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง วงดนตรีที่ชื่อ ภูมิจิต ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนอย่าง พุฒิ-พุฒิยศ ผลชีวิน (ร้องนำ, กีตาร์), กานต์-เกษม จรรยาวรวงศ์ (กีตาร์), แม็ค-อาสนัย อาตม์สกุล (กลอง) และ บอมบ์-ธิตินันท์ จันทร์แต่งผล (เบส) ก็เป็นหนึ่งในศิลปินที่เดินในเส้นทางดังกล่าว
จากอัลบั้ม Found and Lost เมื่อปี 2551 สู่อัลบั้ม Bangkok Fever ในปี 2553 กับเรื่องราวของมนุษย์ การใช้ชีวิต และสังคม กับบทเพลงอย่าง “มากมายก่ายกอง”, “ด้วยความเคารพ”, “ลุมพินี” หรือแม้กระทั่ง “ตัวเรา ของเรา” เดินทางมาถึงอัลบั้มพิเศษอย่าง Home Floor ในอีก 2 ปีถัดมา สั่งสมฐานแฟนเพลงที่รักในเรื่องเล่าของ ภูมิจิต มาเรื่อยๆ แต่แล้วพวกเขาก็หายหน้าหายตาไป จนกระทั่ง…
20 มีนาคม 2561 ภูมิจิต กลับมาพร้อมซิงเกิลใหม่ “ชีพจร” ที่บอกเล่าเรื่องราวสิ่งที่คนวัยทำงานต้องประสบพบเจอ พร้อมความเปลี่ยนแปลงมากมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นบ้านหลังใหม่อย่าง สนามหลวงมิวสิก, สีสันดนตรีใหม่ๆ ที่เราไม่ค่อยได้ยินจากพวกเขามาก่อน รวมไปถึงวิธีมองโลกที่แปรเปลี่ยน จากวัยรุ่นไฟแรงที่โหมกระหน่ำทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ สู่การเป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจวิถีแห่งความเป็นไปมากขึ้น ตอกย้ำด้วยเพลงที่เพิ่งจะปล่อยออกมาอย่าง “Active Income” เพลงรักที่อยู่ท่ามกลางความฝัน การงาน และเงินทอง
ด้วยเหตุดังกล่าว Sanook! Music จึงชวน ภูมิจิต สนทนาถึงความเปลี่ยนแปลงนั้น เลยเถิดไปถึงมุมมองที่มีต่อสังคมไทยในทุกวันนี้ และเหล่าคนวัยทำงานที่ทั้ง 4 หนุ่มก็อยู่ในช่วงวัยนี้เช่นกัน … ไม่ใช่อะไรหรอก ก็อัลบั้มใหม่ที่น่าตื่นเต้นของ ภูมิจิต มีชื่อว่า Mid : Life ที่แปลความหมายได้ว่า ชีวิตวัยกลางคน นั่นไง
ไม่นานมานี้ ภูมิจิต เลือกที่จะกลับมาพร้อมเพลงเนื้อหาหนักๆ อย่าง “ชีพจร”?
พุฒิ : จริงๆ เพลงนี้เกิดมา 5 ปีกว่าแล้ว ตั้งแต่จบอัลบั้ม Bangkok Fever ต้องอธิบายว่าเมื่อก่อนเราเป็นวงที่ฟังเพลงจากทางฝั่งอังกฤษเยอะมาก แล้ว กานต์ เขาไปเป็นผู้ประสบภัยในอังกฤษมา 2 ปี ซึ่งดูเหมือนจะดี เพราะมันเป็นหนึ่งในความฝันของเรา เหมือนได้ไปเมกะแห่งโลกของดนตรี แต่กานต์กลับมาบอกว่าเจอปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ ทุกเพลงมันเหมือนกันไปหมด และการแก้ปัญหาของกานต์คือ การเลือกฟังเพลงไทย ซึ่งไม่ใช่แค่เพลงไทยสากลทั่วไปอย่างเดียว แต่ไปค้นฟังหมดทุกแนว
กานต์ : ก็จะมีของอาจารย์ดนู ฮันตระกูล เป็นหลัก คือตอนไปอยู่อังกฤษ แต่ละเพลงมันคล้ายกันมาก แล้วเราก็คิดถึงการทำอัลบั้มที่ 3 อยู่ตลอดเวลา เราอยากทำสิ่งใหม่ ไม่อยากซ้ำรอยเดิม เราจึงกลับมาที่เพลงไทย เพราะเพลงของไทยเรานี่แหละที่จะทำให้ฝรั่งเซอร์ไพรส์ได้ เลยเริ่มทำการรีเสิร์ชข้อมูลก็พบว่า มันมีเพลงไทยหลายแบบมาก แต่มาชอบเพลงของอาจารย์ดนู เพราะมีความเป็นสากลสูง
พุฒิ : จำได้ว่าเรานั่งฟังเพลงของอาจารย์ดนูกันเยอะมาก ไปฟังในป่าลึกเลยด้วย (หัวเราะ) ที่ทองผาภูมิ กาญจนบุรี หนึ่งเพลงที่ติดใจเรามากที่สุดคือ “ชีพจรลงเท้า” เป็นเพลงประกอบรายการ ชีพจรลงเท้า ที่เราได้ยินมาตั้งแต่สมัยเด็กๆ แล้วพอยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่า จังหวะมันติดหูมาก เลยคิดว่าถ้าเอาเพลงนี้มาเล่าในยุคปัจจุบัน เราจะเล่าด้วยมุมมองไหน ตอนนั้นชีพจรลงเท้า ตอนนี้ชีพจรของพวกเราเป็นแบบใด ก็เลยถอดคอร์ดมาส่วนหนึ่งแล้วพัฒนาต่อ จำได้ว่าแต่งเพลงนี้เสร็จก็กลับมากรุงเทพฯ วันต่อมาผมก็โดนไล่ออกจากงานเลย (หัวเราะ)
และเพลงสำเนียงไทยๆ ก็จะกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์หลักของอัลบั้มชุดใหม่ของภูมิจิตด้วย?
พุฒิ : ใช่ครับ จริงๆ เราทดลองกันหลายอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดก็จะเหลือแค่สิ่งที่เราคิดว่ามันลงตัวที่สุด เราใส่เสียงขิม เมโลดี้แคน เสียงฉิ่งลงไป
แม็ค : รวมถึงเครื่องดนตรีสมัยใหม่อย่างซินธิไซเซอร์หรือซาวด์อิเล็กทรอนิกส์แบบที่เขาใช้กัน มีออร์เคสตร้า เครื่องสาย มันเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งที่เคยแรงบันดาลใจในอดีต กับสิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน กับประสบการณ์ที่สั่งสมมา
พุฒิ : ผมกับกานต์คุยกันอยู่บ่อยๆ ว่า เวลาพูดถึงความเป็นไทย เรามักนึกถึงอะไรที่ไทยมากๆ แต่ใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้ ซึ่งเรากลับมองว่า เราไม่อยากให้มันถูกมองว่าแปลกแยกไปจากความเป็นไทยสากล ภูมิจิตเลยพยายามมองการทำดนตรีในมุมนี้ด้วย
กานต์ : เรียกว่าเราเอาความเป็นไทยมาบิดให้มันเข้าถึงง่ายขึ้น อย่างเพลงหมอลำ เรารู้สึกว่าการบอกเล่าตรงๆ คนทำกันเยอะแล้ว หรือการไปฟีทเจอริ่งกับนักร้องหมอลำ เราก็ว่ามันตรงไป ทำให้เกิดเป็นโจทย์ที่ว่า ทำแบบไหนล่ะ ที่จะทำให้หมอลำดูเป็นสากลโดยที่เราไม่ต้องเอามันมาทั้งก้อน เหมือนใช้ส่วนผสมเดิมๆ แต่ได้อาหารไทยจานใหม่
นั่นหมายความว่า คนฟังจะสัมผัสได้ถึงสีสันใหม่ๆ จากภูมิจิต?
แม็ค : ยิ่งถ้าติดตามภูมิจิตมาตั้งแต่แรกจะรู้สึกเลยว่า มันเป็นเรื่องใหม่มากๆ แต่สิ่งที่ใหม่สำหรับพวกเรา มันคือความเก่าแล้วของหลายๆ วง อย่างผมมีโอกาสได้ร่วมงานกับศิลปินหลายคน เขาก็จะมีหลักคิดหรือวิธีการทำงานบางอย่างที่เป็นฟอร์แมตเหมือนๆ กันเพื่อให้ขายได้ ผมเองเป็นคนมิกซ์เพลงในอัลบั้มใหม่ของภูมิจิตทั้งหมด ผมก็ลองเอาสูตรเหล่านั้นมาลองทำกับภูมิจิตบ้าง ก็เลยมิกซ์เสียงร้องให้ชัดขึ้น ซึ่งแค่นี้แหละมันก็เป็นสิ่งที่ภูมิจิตไม่เคยทำกันมาก่อน (หัวเราะ) เหมือนเราพยายามทดลองกันมาทุกอย่าง ทำอะไรก็ได้ที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน จนวันหนึ่งเราค้นพบว่า การทำตามคนอื่นนี่แหละ คือสิ่งใหม่สำหรับเรา
ไม่กังวลเหรอว่าแฟนๆ จะคิดว่า ภูมิจิต เข้าสู่เพลงกระแสหลักอย่างเต็มตัว?
พุฒิ : เราเป็นร็อคสตาร์ที่ทำเพลงป็อปอยู่แล้ว ดังนั้นเราไม่กังวลอะไรเลย
แม็ค : แปลให้ง่ายขึ้นก็คือ เราทำเพลงป็อปอยู่แล้วตั้งแต่อัลบั้ม Found and Lost แต่มันก็เป็นป็อปแค่ของเรา (หัวเราะ) นึกออกไหม แต่บังเอิญว่าคนอื่นไม่ได้มองว่ามันป็อปเหมือนเรา ซึ่งมันก็ไม่เป็นไร ทำให้วันนี้เราเลยอยากลองทางใหม่บ้าง
พุฒิ : แต่พอเราโตขึ้น ฟังเพลงมากขึ้น ความป็อปของเราก็จะกว้างขวางขึ้น เราก็คิดว่าแฟนเพลงภูมิจิตไม่ใช่คนใจแคบ และฟังเพลงหลายแนว เชื่อว่าเขาจะชอบเพลงของเรา และสนุกไปกับมันแน่นอน
(จากซ้าย) แม็ค อาสนัย, พุฒิ พุฒิยศ, บอมบ์ ธิตินันท์ และ กานต์ เกษม
ภูมิจิต ยังคงเล่าเรื่องราวของมนุษย์ สังคม สิ่งรอบตัวเหมือนที่เคยเป็นมา?
พุฒิ : ใช่ครับ แต่ก็อาจจะมีวิธีคิดที่ต่างกันมาก โดยที่ไม่ต่างกันเลย แต่ก็ต่างกันเยอะมากครับ (หัวเราะ) ในการสัมภาษณ์ครั้งนี้เราพูดถึงเวลากับประสบการณ์ค่อนข้างเยอะ อัลบั้ม Found and Lost เราเหมือนเด็กไฟแรงที่เรียนมหาวิทยาลัย Bangkok Fever จะเล่าเรื่องของ First Jobber ที่อยากทำอะไรสักอย่างที่ร้อนแรงมากๆ พอผ่านจากช่วงเวลานั้นไป 7 ปี เด็กคนเดิมก็ได้เรียนรู้วิธีการล้ม การลุกหลายๆ ครั้งซ้ำไปซ้ำมาจนค่อยๆ เติบโตขึ้น เข้าใจโลกกว่าเดิม และเกรี้ยวกราดน้อยลง เป็นคนที่อยู่กึ่งกลาง คุยได้ตั้งแต่แม่บ้านไปจนถึงซีอีโอ ดังนั้นถ้าถามว่ามันเหมือนเดิมไหม มันเหมือนเดิม แต่ถ้าถามว่ามันไม่เหมือนเดิมไหม มันก็ไม่เหมือนเดิม แต่เนื้อเพลงของเราจะกลั่นออกมาจากประสบการณ์ของเราเอง อัลบั้มของพวกเรามันคือการบันทึกชีวิตจริงๆ ไม่ได้โดนอะไรบังคับ เพราะฉะนั้นคิดอย่างไรก็พูดออกไปเลย กีตาร์คิดอะไรอยู่ก็เล่นไป ไม่ต้องมีใครมาคุมว่าต้องมีเพลงรัก 5 เพลงนะอะไรแบบนั้น
อัลบั้มใหม่ของ ภูมิจิต มีชื่อว่า Mid : Life พวกคุณเลือกจะเล่าเรื่องราวของชีวิตวัยกลางคน?
พุฒิ : ใช่ และก็ไม่ใช่ครับ (หัวเราะ) ความหมายแรกก็ตรงตัวเลย พูดถึงเรื่องชายหนุ่มที่กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนว่า ชีวิตต้องเจออะไรที่ซับซ้อนขึ้น ทำให้ต่อเนื่องมาถึงความหมายที่ 2 นั่นก็คือ คนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างอะไรบางอย่าง ต้องหาเงินไปพร้อมกับดูแลครอบครัว ต้องดูแลงานตรงหน้าไปพร้อมกับดูแลความฝัน เราคิดว่าสมัยเด็กเราอาจเลือกทำอะไรสุดโต่งเพียงอย่างเดียวได้ เช่น เป็นศิลปินเต็มตัว ทำงานวิศวกรเต็มที่ แต่พออายุมากขึ้นปรากฏว่า เรากลับเลือกให้ชีวิตสุดโต่งน้อยลง และหันกลับมาดูแลสมการขนาดใหญ่ของเราให้มันกลมกล่อม ต้องครบทั้งความรัก ความฝัน การเงิน การงาน เราจะไม่สามารถทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง เพื่อเลือกเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งได้อีกต่อไป ก็เลยกลายเป็นที่มาของชื่อ Mid : Life
ในทุกวันนี้พวกคุณมองชีวิตของคนที่กำลังก้าวเข้าสู่ “Midlife” อย่างไร มีความสุขไหม หรือต้องขวนขวายหาความสุข?
แม็ค : ผมว่าแล้วแต่คนนะ แต่ส่วนใหญ่คงมีความรู้สึกเหมือนยืนอยู่กลางสะพาน บางคนบ้านรวยมาก แต่เขาอาจต้องแบกรับบางสิ่งบางอย่าง เช่น การเป็นผู้สืบทอดกิจการ การพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า ถึงจะรวยแต่ก็ลงมือทำได้ มันก็เป็นเรื่องของการต้องอยู่ตรงกลางในบางอย่างเหมือนกัน หรือบางคนมีครอบครัวฐานะปานกลาง ก็ต้องเจอแน่นอนว่า อายุเท่านี้แล้ว ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันบ้างหรือยัง ไม่แม่ถาม ก็เมียถาม หรือไม่ก็โดนจากทั้งคู่ ผมมองว่าการยิ่งรู้จักตัวเองเร็วเท่าไหร่ ยิ่งแก้ปัญหาในช่วงวัยกลางคนได้ดี คือจริงๆ มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก ยากมากด้วยซ้ำ ผมชอบใช้คำว่าความรู้สึกกึ่งกลางในหลากหลายรูปแบบชีวิตต่างกันไป คนอายุวัยนี้ต้องเคยรู้สึกแบบนี้ล้านเปอร์เซ็นต์ ผมว่าการค้นหาตัวเองให้เจอให้เร็วที่สุดคือสิ่งสำคัญ
บอมบ์ : อย่างผมจะเป็นคนที่ชอบอะไรก็จะลงมือทำทันที และเราต้องหาเงินกับมันให้ได้ด้วย ก็จะเข้าวิกฤตวัยกลางคนอย่างสมบูรณ์แบบ สมัยเด็กพอรู้ตัวเองว่าชอบวาดรูป เราก็ขี้เกียจเรียนเลย กลายไปเป็นเด็กหลังห้อง แต่เราเริ่มงานเร็ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มสมัครงานเลย แล้วงานขีดๆ เขียนๆ เขาดูที่ฝีมือไง
กานต์ : คือผมมองว่าปัญหามันอยู่ที่ระบบการศึกษา ยิ่งตอนนี้ผมเพิ่งมีลูกด้วย ผมจะมองเห็นเลยว่า เด็กแต่ละคนมันคนละแบบกัน แต่เราไปจับยัดพวกเขาไว้ในที่เดียวเพื่อให้ออกมาเหมือนกัน ไม่มีโรงเรียนไหนมานั่งสังเกตหรอกว่าคนนี้ถนัดดนตรี แล้วมา custom ตัวต่อตัว จัดคลาสให้เน้นดนตรีเยอะหน่อย เรียนเลขนิดๆ ไม่มีหรอก ยิ่งมาผสมกับระบบครอบครัวยุคก่อนที่พยายามให้เด็กเข้าบล็อกเดิมๆ อีก แต่ยุคนี้ดีหน่อยที่พ่อแม่ก็เริ่มถามลูกว่าอยากเรียนอะไร หากิจกรรมเสริมให้ลูกได้ทำหลังเลิกเรียน
ภูมิจิต
เล่าเรื่องสังคมตามยุคสมัยมาหลากหลายเรื่องราว ภูมิจิตมองสังคมไทยทุกวันนี้เป็นอย่างไร?
พุฒิ : โชคดีอย่างหนึ่งที่สมาชิกในวงภูมิจิตไม่มีใครเหมือนกันเท่าไหร่ เราเหมือนคน 4 คนที่ไม่น่าจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ ซึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญมากในสังคมไทยยุคนี้ ที่คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่เหมือนตัวเองไม่ได้ การที่ผมเรียนวิศวะ มีเพื่อนเรียนรัฐศาสตร์อย่างกานต์ ได้รู้จักกับนักวาดการ์ตูนอย่างบอมบ์ มีบ้านนักดนตรีอย่างแม็ค มันเหมือนเป็นทางสำคัญที่เอาไว้แก้ปัญหาของสังคมไทยเลยก็ว่าได้ นั่นคือการยอมรับความแตกต่าง และเรียนรู้ความไม่เหมือนตัวเองให้ได้
แม็ค : ยกตัวอย่างง่ายๆ ก่อนหน้านี้คือผมมีวงสกา แต่ผมเกลียดสกาสามช่ามาก คือสกามันดูเท่ดูเก๋มาก แต่พอเข้ามาเมืองไทยกลับถูกทำให้เป็นลูกทุ่งสามช่า ซึ่งผมรับไม่ได้ แล้วผมเกลียดที่สงกรานต์ทีต้องมาเห็นคนแบบ ฮึ่ย! ฮึ่ย! ฮึ่ย! แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรามองมันด้วยความชื่นชม นี่แหละคือการปรับตัว การเบลนด์ให้เข้ากับคนไทย และนี่แหละคือการเรียนรู้คนที่ไม่เหมือนตัวเอง เพื่อที่จะอยู่ร่วมกันได้
พุฒิ : อีกเรื่องคือการปะทะกันระหว่างคนยุคก่อนกับคนยุคหลังเราผ่านทางหน้าเฟซบุ๊ก ผมรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแรงขึ้นเรื่อยๆ จนคิดไม่ออกว่าเราจะปะทะกันไปอีกนานเท่าไหร่ ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าปัญหาส่วนหนึ่งของคนยุคหลังเราก็มาจากผู้ใหญ่ก่อนหน้าบางกลุ่มที่ทำอะไรบางอย่างเอาไว้ ซึ่งเด็กยุคหลังเราเขาไม่ได้ต้องการให้ผู้ใหญ่มาแก้ปัญหานะ จริงๆ เขาแค่อยากให้ผู้ใหญ่ขอโทษ แต่ในทางกลับกัน ที่ผู้ใหญ่ยุคก่อนเขาทำทุกอย่างก็เพื่อพวกเรา แต่พอพยายามให้ผู้ใหญ่ขอโทษ เขาก็รู้สึกไม่ดี ทำไมเด็กพวกนี้เชื่อไม่ได้ สิ่งที่ผู้ใหญ่อยากได้ก็คือคำขอบคุณมากกว่า ดังนั้นผมว่าทางแก้ในความซับซ้อนของการปะทะกันทางวัฒนธรรมที่แตกต่างของคน 2 รุ่นก็คือ การพยายามพูดคำว่า “ขอโทษ” และ “ขอบคุณ” ให้มากขึ้น ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็ก
อยากให้เพลงของ ภูมิจิต เข้าไปมีบทบาทในสังคมอย่างไร?
พุฒิ : ตั้งแต่อัลบั้ม Bangkok Fever มันจะมีเพลงที่เรารู้สึกว่า มันเปลี่ยนทัศนคติการมองโลกของเราได้ จากที่เคยเหมือนเป็นการประกาศให้คนรู้จักตัวเรา แต่กลายเป็นว่าตอนนี้มีคนทักแชตมาหาเราว่า เขาฟังเพลงของภูมิจิตตอนเลิกยาไอซ์ แล้วก็เลิกได้สำเร็จ บางคนบอกว่าฟังเพลงเราตอนทำวิทยานิพนธ์ แล้วก็ทำได้สำเร็จ เขาขอเอาไปใส่ในเครดิตขอบคุณ หรือแม้กระทั่งเพลง “Home Floor” ที่หลายคนฟังแล้วบอกว่ารู้สึกดีเวลาไปอยู่ในเมืองแปลกหน้า เช่น คนกรุงเทพฯ ไปอยู่ขอนแก่น คนขอนแก่นไปอยู่ปารีส ผมเลยรู้สึกว่าเพลงที่เราพยายามเขียนบอกความเป็นเรามันมีประโยชน์กับคนอื่น จากที่เคยอยากบอกเล่าแค่ชีวิตของตัวเอง วันนี้เราอยากให้เพลงของภูมิจิตเป็นซาวด์แทร็ค เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา เป็นกำลังใจให้เขามีชีวิตไปด้วยกัน
Story by: Chanon B.
Photos by: Sanook! Music & สนามหลวงมิวสิก
อัลบั้มภาพ 7 ภาพ