Nothing But Thieves กับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ “ได้ใจ” แฟนเพลงที่สุด | Sanook Music

Nothing But Thieves กับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ “ได้ใจ” แฟนเพลงที่สุด

Nothing But Thieves กับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ “ได้ใจ” แฟนเพลงที่สุด
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คอนเสิร์ตในฝันของทุกๆ คนเป็นอย่างไร?

สำหรับเราแล้ว นอกจากจะเป็นคอนเสิร์ตของศิลปินที่เราชื่นชอบมากๆ แล้ว เซ็ตลิสต์ หรือเพลงที่เล่นในคอนเสิร์ตก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเซ็ตลิสต์เต็มไปด้วยเพลงที่ชอบ ร้องตามได้คล่องปาก แค่อินโทรขึ้นก็รู้แล้วว่าเพลงอะไร พร้อมกับกรี๊ดจนคอแตก ปรบมือจนมือพัง และดื่มด่ำกับทุกนาทีตรงหน้าจนลืมยกมือถือขึ้นมาเก็บภาพอย่างที่เคยทำ จากเซ็ตลิสต์ในฝัน ก็จะกลายเป็นคอนเสิร์ตในฝันไปได้โดยปริยาย

ครั้งแรกของ Nothing But Thieves วงอัลเทอร์เนทีฟร็อครุ่นใหม่แต่ฝีมือไม่แพ้รุ่นพี่จากเกาะอังกฤษวงนี้ มาแสดงคอนเสิร์ตที่เมืองไทย ณ Moonstar Studio เป็นครั้งแรกใน Nothing But Thieves Live in Bangkok เมื่อคืนวันที่ 2 ส.ค. 2018 ที่ผ่านมา โดยผู้จัด The Very Company พร้อมกับเซ็ตลิสต์ที่เราว่าน่าจะเป็นเซ็ตลิสต์ในฝันของใครหลายคน เพราะมีทั้งเพลงเก่า เพลงใหม่ และเพลงที่ไม่ค่อยได้เล่นที่ไหน แต่เป็นเพลงของแฟนๆ ที่นี่ด้วย น่าชื่นชมในความใส่ใจต่อการจัดเซ็ตลิสต์ของเหล่าสมาชิกในวงจริงๆ

 

nbt-037

nbt-041

19.45 น. โดยประมาณ เป็นเวลาของศิลปินไทยอย่าง Monomania ประกอบไปด้วย บูม-ณภัทร พฤษชาติถาวร, ปลาย-คฑาวุธ จันทน์แดง, เคน-คเณศร์ องอาจวุฒิวงศ์, ปิง-ธนชัย แซ่ซิ่น, ต่าง-ณัฐพากย์ กวีธรรมวงศ์ ที่เป็นวงเปิดอุ่นเครื่องให้กับศิลปินหลักในค่ำคืนนี้ได้เป็นอย่างดี ด้วยดนตรีละเมียดละมัย ก้องกังวาน แต่ช่วงที่ลากเข้าสู่ช่วงมืดหม่นก็ด่ำดิ่งพร้อมขึ้นยานแม่ได้อย่างชัดเจน จนบางครั้งบางคราวทำให้นึกถึงวงดนตรีสากลรุ่นพี่อย่าง Radiohead ขึ้นมาเล็กน้อย ยิ่งเมื่อเจอเข้าไปกับซาวนด์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เสียงร้องของตัวเองวนลูปกันสดๆ ถึงแม้จะฟังแปลกหู แต่ก็จุดที่ควรกระแทกกระทั้น และจุดที่ควรอ่อนเบาลงก็ทำได้คมชัดดีกว่าที่คิด สมาชิกในวงแต่ละคนใส่เต็มที่ จังหวะไฟบนเวทีก็สอดคล้องกับจังหวะดนตรีได้ดีจนสามารถดึงสมาธิของเราให้จดจ่อกับดนตรี และศิลปินตรงหน้าได้รวดเดียวจบ ถือเป็นวงเปิดที่ฝีมือคุณภาพ และเราว่าโกอินเตอร์ได้สบาย

 

nbt-050

nbt-067

21.00 น. สมาชิกของวง Mattnimare ขึ้นมาเตรียมระเบิดความมันกันต่อ แต่โชว์เริ่มส่งสัญญาณไม่ดีตั้งแต่ช่วงไม่กี่วินาทีแรก เมื่อเราเหลือบเห็นสายสะพายกีตาร์ของนักร้องนำ ว่าน-ปรีติ์ อัศวรักษ์ หลุด และเริ่มทำหน้าเหยเกจนสุดท้ายพูดออกไมค์ว่า “My guitar doesn’t f**king work!” จากนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความหฤหรรษ์ สมาชิกในวงที่เหลืออย่าง ซุง-กิดาการ ฉัตรแก้วมณี, แอป-จิรกิตติ์ ท้าวติ และ บาบูน-บริบูรณ์ วีระวง เริ่มประสบปัญหากับเครื่องดนตรีของตัวเองไปทีละคน จนต้องส่งสัญญาณให้กับทีมงานเข้ามาดูแลกันระหว่างเล่นเพลงตลอดทั้งโชว์ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับปัญหาเครื่องดนตรีที่ค่ำคืนนี้ไม่เป็นใจเอาเสียเลย ด้วยการตัดฉับเวลาของการแสดงลงเหลือเพียงครึ่งเดียว รวมทั้งเพลงที่เล่นด้วย สุดท้ายปิดการแสดงด้วยคำขอโทษสำหรับการแสดงที่เต็มไปด้วยปัญหาในค่ำคืนนี้ และสัญญาว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในครั้งหน้า แต่อย่างไรก็ยอมรับในสปิริตของทุกๆ คนที่ยังพยายามประคับประคองการแสดงให้ไปได้อย่างตลอดรอดฝั่งจนถึงนาทีสุดท้าย แม้ว่าจะแอบเห็น บาบูน มือกลอง ชกกลองให้พังคามือก่อนเดินกลับเข้าหลังเวทีก็ตาม

เสียดายเล็กน้อยที่ฉากหลังระหว่างที่ Monomania และ Mattnimare เล่น เป็นชื่อวง Nothing But Thieves อยู่ด้านหลัง ถ้าปิดชื่อวงเอาไว้ก่อน หรือมีชื่อวงของทั้งสองวงอยู่ด้านหลังแทน เวลาถ่ายภาพน่าจะสวยงาม และเห็นว่าใครเป็นใครมากกว่านี้

 

nbt-117

nbt-090

22.00 น. ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย กับการปรากฏตัวของ 5 หนุ่ม Conor Mason, Joe Langridge-Brow, “Dom” Dominic Craik, Philip Blake และ James Price หลักจากหนุ่ม Conor (ที่มาพร้อมชุดเอี๊ยมยีนส์น่ารักตะมุตะมิ) ทักทายแฟนๆ “Hey Bangkok” กันสั้นๆ พอหอมปากหอมคอ สมาชิกทุกคนก็กระหน่ำเพลงให้ทั้งฮอลล์โยกหัวรัวๆ ด้วยแทร็คจากอัลบั้มล่าสุดอย่าง I Was Just A Kid” ต่อเนื่องความมันด้วย “Number 13” ลากยาวไปที่ Wake Up Call” ซิงเกิลแรกจากอัลบั้มแรกที่ปลุกแฟนเพลงแต่ละคนให้ตะโกนร้องเพลงตามได้อย่างไม่หยุดปาก จากนั้นจึงค่อยๆ ลดจังหวะลงด้วย Hostage” และ Soda ที่แน่นอนว่าแฟนๆ ร้องตามได้สบายๆ เช่นเคย

“It’s has been just 5 minutes but I love you already, that’s amazing.” หนุ่ม Conor หยอดคำหวานจนแฟนเพลงส่งเสียงชื่นชมกันอย่างเซ็งแซ่ เมื่อลดจังหวะลงจนได้ที่แล้ว ช่วงที่เซ็ตลิสต์จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละที่ ก็เริ่มทำให้แฟนๆ ลุ้นกันว่าเพลงต่อไปจะเป็นเพลงอะไร สุดท้ายเมื่อได้ยินอินโทรสั้นๆ เราทราบทันทีว่ามันคือ Graveyard Whistling” แทร็คโปรดของแฟนๆ ชาวไทยหลายคน ที่จะเข้าๆ ออกๆ จากเซ็ตลิสต์อยู่เรื่อยๆ เป็นโชคดีของชาวกรุงเทพที่ได้ฟังเพลงนี้สดๆ เพราะน้ำเสียงโหยหวนแต่ทรงพลังของ Conor Mason ทำเอาทุกคนในฮอลล์ตกอยู่ในภวังค์ จากนั้นจึงค่อยๆ เร่งจังหวะขึ้นด้วยแทร็คที่อธิบายถึงอัลบั้มใหม่โดยรวมได้อย่างชัดเจนจนนำมาตั้งเป็นชื่ออัลบั้มอย่าง Broken Machine”, “I’m Not Made by Design” และ Live Like Animals” ที่ Conor ขอให้ทุกคนลุกขึ้นมาเต้นกันให้เต็มที่

จากนั้นก็ค่อยๆ ลดจังหวะลงอีกครั้งด้วย “Particles” เร่งจังหวะอีกครั้งด้วย Trip Switch” ที่ Conor ปล่อยให้คนดูร้องท่อน “trip, switch, trip, switch” และท่อนคอรัสทั้งท่อน เพราะแฟนๆ ร้องตามเสียงดังฟังชัดทุกถ้อยคำอย่างสบายๆ ยิ่งต่อด้วยแทร็คเดือดๆ อย่าง Ban All the Music” ยิ่งทำให้เวที และคนในฮอลล์เดือด โยกหัว กระโดดตามจังหวะเพลง และตะโกนร้องเพลงตามกันอย่างบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าคนดูกำลังอินหนักแล้ว Nothing But Thieves ก็ปล่อยหมัดเด็ดอีกหมัดด้วย If I Get High” เพลงเรียกน้ำตาคนอกหักได้เป็นอย่างดี ยิ่งต่อด้วย Sorry” ที่มีประโยคเด็ดๆ ให้แฟนๆ ร้องตามกันได้แทบจะทั้งเพลง ทั้ง “Maybe I'm bad natured or maybe I'm young. I'm sorry, so sorry for what I've done” หรือจะเป็นท่อนที่ให้คนดูร้องดังๆ อย่าง “I've waited for this. I'm ready for it. I've been waiting so long” ก็ยิ่งเข้าถึงอารมณ์ของเพลงกันได้มากขึ้นทั้งคนดู และศิลปิน ที่ลากเสียงยากได้ชัด และคมกริบจนแฟนๆ ต้องปรบมือให้ไม่หยุด

nbt-080

nbt-094

nbt-112

นอกจากน้ำเสียงของ Conor Mason นักร้องนำที่อาจเรียกได้ว่าจิ๋วแต่แจ๋ว ที่เอาอยู่ทุกเพลงไม่ว่าจะเพลงเร็วจังหวะร็อคๆ ที่ไม่โดนดนตรีกลบหายไป หรือจะเป็นเพลงช้าที่ส่งอารมณ์ได้ดีจนขนลุก และสามารถลากเสียงได้ยาวต่อเนื่องสบายๆ แล้ว ในส่วนของดนตรีก็ต้องขอยืนปรบมือให้นานๆ ไม่ว่าจะเป็นกีตาร์ เบส หรือกลองก็เล่นได้แน่น กระแทกกระทั้น และคมกริบ เมื่อถึงจังหวะที่ดนตรีต้องหยุดก่อนขึ้นท่อนใหม่ สมาชิกทุกคนก็หยุดและเริ่มเล่นใหม่กันอย่างพร้อมเพรียงโดยไม่มีเสียงแกว่งๆ ได้ยิน ถึงแม้ว่าตัวศิลปินจะไม่ได้พูดคุยทักทายคนดูมากมายนักนอกจากการถามว่า คำว่า “ขอบคุณ” ภาษาไทยพูดว่าอย่างไร แต่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มระหว่างการแสดงของสมาชิกทุกคน ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขากำลังมีช่วงเวลา และความทรงจำที่ดีกับแฟนเพลงชาวไทยแน่นอน

แสง สี เสียงถือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานทั่วไป ไม่หวือหวาอะไรมาก เพราะด้านหลังไม่ได้มาพร้อมจอ LED ที่มีภาพประกอบเพลง หรือลูกเล่นอื่นใดให้เราตื่นเต้น เหมือนทางวงเลือกที่จะสื่อสาร และเอนเตอร์เทนกับคนดูด้วยดนตรีล้วนๆ มากกว่า แต่ถึงกระนั้นธงชาติไทยที่แขวนอยู่ด้านหลังข้างๆ กลองก็ทำให้แฟนๆ ชาวไทยแอบปลื้มกันไม่น้อยเหมือนกัน

 

nbt-122

มาถึงช่วง encore ช่วงสุดท้ายของโชว์ Nothing But Thieves เอาใจแฟนเพลงชาวไทยถึงที่สุดด้วย Lover, Please Stay” ที่พวกเขาแทบจะไม่ได้เล่นที่ไหนในช่วงนี้ แม้จะออกตัวว่าไม่ค่อยได้เล่นเพลงนี้เท่าไร แต่น้ำเสียงของ Conor ที่ทั้งทรงพลัง โหยหวน แต่นุ่มนวล และยังเพิ่มและลดระดับเสียงได้ดีไร้ที่ติ จึงทำให้บรรยากาศในฮอลล์เต็มไปด้วยความโรแมนติกเข้าครอบคลุมอย่างช้าๆ จนทำเอาลืมเวลาไปเลย ได้ใจแฟนเพลงชาวไทยเต็มๆ ณ จุดนี้ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาตั้งใจเตรียมเซ็ตลิสต์นี้เพื่อแสดงโชว์ที่เมืองไทยโดยเฉพาะ

จากนั้นจึงปิดท้ายด้วย Itch” และแทร็คเด็ดอย่าง Amsterdam” ที่เลือกเพลงสุดมันมาปิดท้ายการแสดงในค่ำคืนนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด เพราะทุกคนได้กระโดดโยกหัว และตะโกนร้องเพลงตามส่งท้าย ปล่อยพลังกันหมดจนหยดสุดท้ายกันจริงๆ เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยความสนุก ความมันในแบบฉบับของชาวร็อก แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องยืนซับน้ำตาให้กับเพลงรักอกหักที่ลึกซึ้งกระแทกใจ เป็นค่ำคืนที่เต็มไปด้วยอารมณ์มากมาย แต่สุดท้ายก็อิ่มเอมในทุกอารมณ์ ทุกด้าน เพราะสำหรับ Nothing But Thieves แล้ว ต้องยอมรับว่าพวกเขาเล่นได้สุดทุกทางจริงๆ

“ถ้าพวกเรากลับมาอีกครั้ง พวกคุณจะมากันไหม?” Conor นักร้องนำถามทิ้งท้าย “คราวหน้าพาเพื่อนมาดูกันอีกเยอะๆ เลยนะ” สำหรับเราแล้ว ถึงไม่บอกก็เชื่อสนิทใจว่าครั้งหน้าถ้า Nothing But Thieves จะมาอีกครั้ง Moonstar Studio คงจะแคบเกินไปแน่นอน

 

 

____________________

Story : Jurairat N.

Photos : The Very Company

 

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ

อัลบั้มภาพ 11 ภาพ ของ Nothing But Thieves กับคอนเสิร์ตครั้งแรกในไทย ที่เต็มไปด้วยเพลงที่ “ได้ใจ” แฟนเพลงที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook