“ฟักกลิ้ง ฮีโร่” กับ “เสียงนาฬิกาปลุก” ที่สั่งหัวใจให้กล้าเดินออกมาจากจุดเดิม
หลายครั้งที่เราได้นั่งสนทนากับ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ หรือ กอล์ฟ-ณัฐวุฒิ ศรีหมอก แร็ปเปอร์มือวางอันดับต้นๆ ของเมืองไทยให้หลากหลายเรื่องราว ซึ่งอีกหลายคราที่เขาเปิดอกสารภาพว่าเขาก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อยที่คนส่วนใหญ่จดจำเขาได้จากการเป็น “เจ้าพ่อฟีทเจอริ่ง”, “คุณพ่อของน้องชูใจ” หรือ “กรรมการรายการประกวดร้องเพลง” แต่กลับไม่ค่อยมีใครนึกถึง “เพลง” ของเขาได้สักที จะมีก็แต่ “ราตรีสวัสดิ์” ที่ร่วมร้องกับ ธีร์ ไชยเดช เมื่อราวๆ เกือบ 10 ปีที่แล้วอยู่เพียงเพลงเดียวกระมัง ที่ท่อนแร็ปของเขากลายเป็นที่โจษจัน และสั่นสะเทือนหัวใจมาจนถึงทุกวันนี้
ต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของชายหนุ่มคนนี้กลับไปปรากฏอยู่ที่เฟซบุ๊กเพจค่าย What The Duck พร้อมกับคำว่า “Soon” หรือ “เร็วๆ นี้” ที่หลายคน (รวมถึงเรา) ตั้งข้อสงสัย เพราะแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีการร่วมงานกับ The TOYS (ธันวา บุญสูงเนิน) ในเพลง “นอนได้แล้ว” เกิดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่เรื่องธรรมดา เพราะใครต่างก็รู้ว่า เขาใช้ชีวิตอยู่กับบ้านหลังหนึ่งมานานกว่า 10 ปีเข้าให้แล้ว
ความเปลี่ยนแปลงหนนี้ทำให้ Sanook! Music อยากจะกลับไปสนทนากับ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ อย่างจริงจังอีกครั้ง ในวันที่วัยของเขากำลังจะล่วงเลยสู่ตัวเลข 36 ในวันที่เขาเพิ่งจะปล่อยซิงเกิลใหม่อย่าง “Alarms (สวัสดีวันจันทร์)” ที่ได้ ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราว และในวันที่เขากล้าที่จะเดินออกมาจากพื้นที่ปลอดภัยของตนเอง เพื่อทำความฝันในการทำอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิตให้เสร็จสิ้น เพราะหากไม่ได้ทำ … เขาคงนอนตายตาไม่หลับ
ปกซิงเกิล "Alarms (สวัสดีวันจันทร์)"
พอมิวสิควิดีโอที่รับชมไปพร้อมกับการฟังเพลง “Alarms (สวัสดีวันจันทร์)” จบลง ความรู้สึกแรกที่ตรงดิ่งเข้ามาคือ การบอกเล่าชีวิตของคุณในทุกวันนี้?
(หัวเราะ) ใช่ เพลงนี้เขียนขึ้นมาจากความรู้สึกตัวเอง บางทีมันเหนื่อยมาก ขี้เกียจตื่น แล้วจริงๆ นาฬิกาปลุกคือคนที่หวังดีกับเราคนแรกของวันเลย แต่มักจะเป็นสิ่งแรกที่เราเกลียดเสมอ เพราะมันไม่เคยให้เราได้นอนต่อ เราตั้งปลุกไว้เอง แล้วเราก็รำคาญเอง ซึ่งผมเป็นคนเกลียดเสียงนาฬิกาปลุกมาก เพราะช่วงที่ทำเพลงนี้คือตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา ผมไม่มีวันพักเลย บางวันแทบไม่ได้นอนแล้วก็ต้องตื่นอีกเพื่อไปต่อ แต่สุดท้ายพอถึงจุดที่เราเป็นหัวหน้าครอบครัว เรารู้ว่าเราต้องทำเพื่ออะไร
นี่คือบทเพลงของคนที่เป็นหัวหน้าครอบครัว?
เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แค่หัวหน้าครอบครัวด้วยซ้ำ เราตัดสินใจปล่อย Video Lyrics ก่อนจะให้เห็นมิวสิควิดีโอ อย่างนักศึกษาเองก็มีมุมที่บางทียังขี้เกียจตื่นไปเรียนจะตาย แต่ถ้าพ่อแม่ส่งมาเรียนก็ต้องทำ เราคิดว่าทุกคนผูกพันกับนาฬิกาปลุกหมด เป็นแฟนกันก็ได้ หรือเป็นใครก็ตามที่ต้องตื่นมาทำงาน พนักงานออฟฟิศ มนุษย์เงินเดือน หรือแม้กระทั่งคนกวาดถนน ไปถึงขั้นนั้นเลย ทุกคนจำเป็นที่จะต้องตื่น ถ้าเลือกได้ ทุกคนก็คงชอบวันเสาร์อาทิตย์ เพราะมันได้นอนตื่นสาย มันสบาย หรือถ้าเลือกได้ ก็คงไม่มีใครอยากตื่นเร็ว เราก็ต้องอยากหลับจนเรารู้สึกพอ จริงไหม ถ้าเป็น ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ตอนอายุ 20 ผมคงเขียนเพลงนี้ออกมาแบบนี้ไม่ได้ แต่พอเกือบจะ 36 แล้วเราพบว่า บางครั้งวันเวลามันสร้างเรา และสอนอะไรเราหลายอย่าง ให้เราตกตะกอนแล้วเขียนเพลงแบบนี้เป็น
ซึ่งคุณก็ได้ร่วมงานกับตำนานเพลงเพื่อชีวิตอย่าง ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ด้วย?
ในชีวิตนี้เราเคยเจอพี่ปูแค่ 2 ครั้ง ก่อนหน้านี้เรามีโอกาสเป็นหนึ่งในทีมที่ได้ลองทำเพลงในอัลบั้มใหม่ของพี่ปู แต่ว่าสุดท้ายแล้วเพลงของเราอาจจะไม่ผ่านหรือไม่เหมาะกับพี่ปูอะไรก็ตามแต่ ก็ไม่เป็นไร วันเวลาผ่านไป เราไปเล่นคอนเสิร์ตที่จังหวัดนครปฐม เจอพี่ปูนั่งอยู่หน้าร้าน พี่ปูก็ให้คนมาเรียกเรา แกก็กรึมๆ นิดหนึ่งนะ แกบอกว่า เพลงไม่ผ่านก็ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้แล้วกัน เราตัวผู้คุยกับตัวผู้ น้องไปทำเพลงมา 1 เพลงในอัลบั้มของน้อง เดี๋ยวพี่ไปร้องให้
วินาทีนั้นเหมือนฝันเลยหรือเปล่า?
ตอนนั้นคิดว่า เฮ้ย แกเมาหรือเปล่าวะ (หัวเราะ) แต่ดีใจมากๆ แล้วผมก็กลับไปทำเพลง ผมให้โจทย์กับโปรดิวเซอร์ คุณแม็ก-ธิติวัฒน์ รองทอง (นักร้องนำและมือเบสวง The Darkest Romance) ไปว่า เรากำลังจะทำเพลงให้พี่ปูร้องนะ มันก็ทำออกมาเป็นเพลงนี้ ตอนที่ฟังเดโม่ที่แม็กส่งมา คือท่อนฮุกเสร็จก่อน ตอนนั้นเรากำลังนั่งรถไปทำงานพอดี แล้วมันเหนื่อยมาก จำได้ว่าร้องไห้เลย คิดว่าจะอัดวันรุ่งขึ้นเลย โทรหาพี่ปูว่าว่างมาอัดร้องให้ไหม พี่ปูบอกว่ามี 3 งาน จะมาถึงได้ตอนตี 1 น้องจะรอไหม ผมก็ตอบว่า รอครับ เที่ยงคืนห้าสิบแปดนาที พี่ปูลงจากรถมาอัดร้อง ชั่วโมงเดียวเสร็จ แล้วเราเอาเงินจำนวนหนึ่งใส่ซองแล้วก็คลานเอาไปให้แก แกบอกไม่เอา มาร้องให้เฉยๆ แล้วขึ้นรถตู้กลับไปเลย
ตอน ปู พงษ์สิทธิ์ เห็นเนื้อเพลง เขาพูดอะไรกับคุณไหม?
ไม่พูดอะไรเลย พี่เขาใจนักเลงมาก คือรับปากว่าจะมาก็มา บอกจะถึงตีหนึ่ง เที่ยงคืนห้าสิบแปดคือถึงแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามคำพูดหมดเลย มาก็ไม่เอาเงินด้วย ถ้าจะมีใครสักคนที่เราต้องเคารพ พี่ปูคือคนนั้น
เรามองว่าคุณทั้ง 2 คนเป็น “นักเล่าเรื่อง” เหมือนกัน เพียงแต่มาพร้อมกับดนตรีคนละสไตล์?
เรามองเพลงพี่ปูเป็นเพลงโซลด้วยซ้ำ คือร้องจากจิตวิญญาณจริงๆ คือแกเชื่ออย่างนั้นจริงๆ อย่างตอนแกมาร้องเพลงนี้ น้ำเสียงมันคือเรื่องนั้นจริงๆ แล้วแต่ละท่อน น้ำเสียงแกก็จะไม่เหมือนกัน ค่อยๆ ไล่ไดนามิกส์จากเบาสุดไปจนแรงที่สุด
ฟังไปฟังมา เพลงซึ่งเป็นที่จดจำของคุณอย่าง “ราตรีสวัสดิ์” พูดเรื่องการนอน แต่ “Alarms” พูดถึงการตื่น มันเหมือนเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ ด้วยหรือเปล่า?
เอ่อ… บังเอิญมากเลยนะ เราเคยทำเพลงที่เกี่ยวกับการนอน การหลับ ตั้งแต่ “ราตรีสวัสดิ์” วนมา “ชูใจ” ท่อนฮุกก็ร้องว่า “หลับตาสิที่รัก” หรือเพลงก่อนหน้านี้ที่ทำกับ The TOYS อย่าง “นอนได้แล้ว” พอมาถึง “Alarms” เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกันนะ
ซึ่งการเริ่มต้นใหม่ในครั้งนี้ คุณก้าวเข้ามาอยู่ในบ้าน What The Duck ด้วย?
ใช่ เราลาออกจากก้านคอคลับ ซึ่งเราใช้เวลาคิดและทบทวนเรื่องนี้ตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2017 วันนั้นเป็นวันที่เราทัวร์กับก้านคอคลับ และเราก็รู้สึกว่า เอ๊ะ โชว์ผ่านมาชั่วโมงกว่าแล้ว เพลงของเราที่เราได้ร้องคือเพลงอะไรวะ อยากทำโชว์ของตัวเองสักชั่วโมงมันจะเป็นอย่างไรวะ คือมันมีคำถามอยู่ในใจตลอดเวลา วกไปวนมา ก็คิดอยู่นาน ปรึกษาภรรยา เขาก็บอกว่า จะดีหรือ ออกไปก็จะเจอกับความไม่มั่นคงนะ ลูกก็กำลังจะเข้าโรงเรียน บ้านกับรถก็กำลังผ่อน มันจะเป็นอย่างไร มันจะมีงานหรือเปล่า แต่ท้ายที่สุดเรารู้สึกว่า เฮียโจ้ (โจอี้ บอย) จับสังเกตได้ว่า เราไม่มีความสุข วันหนึ่งเฮียก็ไลน์มาถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า อยู่บนเวทีดูไม่มีความสุขเลย เราก็ไม่กล้าพูดกับเฮียนะ ก็ตอบกลับไปว่าไม่เป็นไร จนวันหนึ่งมีโอกาสได้คุยกับ What The Duck ซึ่งเรารู้ตัวดีว่าเราไม่เก่งระบบหลังบ้านอยู่แล้ว และเราอยากทำอัลบั้มเต็ม ซึ่งแปลกมากที่คุยกันแค่ไม่กี่คำ เรารู้สึกว่าที่นี่มันพอดีกับเรา ก็รู้แล้วว่าเราจะไปไหนต่อ แต่คราวนี้จะไปบอกเฮียอย่างไร นี่แหละปัญหา แต่แกรู้นานแล้วล่ะว่าเราจะออก แกก็ไลน์มา มึงคิดว่ากูไม่รู้เหรอ (หัวเราะ)
แล้วไม่กลัวกับความไม่มั่นคงอย่างที่ภรรยากล่าวหรือ?
เรากลับรู้สึกว่า ถ้าเรายังอยู่ภายใต้เงาของเฮีย ให้เฮียโจ้เลี้ยงเราไปเรื่อยๆ สิ่งนั้นต่างหากที่เรียกว่าไม่มั่นคง ความมั่นคงที่แท้จริงคือเราต้องยืนด้วยลำแข้งของเราให้ได้ในวัยนี้ต่างหาก ไม่งั้นจะเกาะเฮียแ-กไปจนถึงอายุเท่าไหร่ คือเฮียเขาก็คงให้เกาะแ-กไปเรื่อยๆ แหละ แต่เรารู้สึกว่า นั่นคือความเสี่ยงที่สุด ความอยู่สบายที่สุดคือความเสี่ยง ถ้าไม่โดดออกจากพื้นที่ปลอดภัย มาทำอะไรเองให้มันสำเร็จ ทุกอย่างบนโลกมันก็ไม่มั่นคงทั้งนั้น แต่ชีวิตหนึ่งอย่างน้อยมันก็ได้ลอง ทุกวันนี้ก็ได้ไลน์หาเฮีย บอกสักวันผมจะกลับไป ผมอยากออกมาลุยเองดูสักตั้ง ปีนี้ก็ 36 แล้ว ไม่อยากไปเริ่มตอน 40 ถ้าเกิดยังอยู่กับเฮีย ผมว่าไม่เสร็จชัวร์ (หัวเราะ) เฮียโจ้ไม่โกรธนะครับ เฮียก็บอกทุกคนว่าไม่ได้โกรธอะไร ถ้าไปทำในสิ่งที่มันดีก็ไปเถอะ แค่เพียงว่าทำใจเดินเข้าไปลาออกกับแกไม่ได้เท่านั้นเอง
อยู่วงการนี้มากว่า 10 ปี คุณกำลังจะมีอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิต คำว่า “อัลบั้มเต็มชุดแรก” มันมีความหมายอย่างไรกับคุณบ้าง?
เราดันมาเริ่มอัลบั้มชุดแรกตอนอายุจะ 36 ปี ซึ่งมันเป็นวัยที่ไม่น่าจะเริ่มต้นอะไรได้ เป็นวัยที่ไม่น่าจะมาเสี่ยงอีกแล้ว มันควรจะทำอะไรที่มันมั่นคงกว่านี้ หนึ่งคือไม่มีใครเขาทำอัลบั้มกันแล้ว สองคือทำเพลงเยอะขนาดนี้ก็ใช่ว่าจะได้กำไร คือพูดง่ายๆ ว่าอย่างไรก็เจ๊งแน่ๆ (หัวเราะ) เพียงแต่เรารู้สึกว่า ถ้าเราไม่ได้ทำสิ่งนี้ เราจะนอนตายตาไม่หลับ สิ่งหนึ่งที่อยากทำก่อนตายคือ อัลบั้ม
ก่อนหน้านี้มันมีปัจจัยอะไรที่ยังทำให้คุณทำสิ่งนี้ไม่สำเร็จ?
ความสบายครับ เราอยู่กับเฮียโจ้ เรารู้สึกว่าเราทำอะไรก็ได้ เพราะว่าเรามีงานอยู่แล้ว เฮียเลี้ยงเราดี มีงาน มีรายได้ที่มั่นคงให้เรา เราก็จะรู้สึกสบาย เราไปกับเฮียในแต่ละเดือนเราก็มีรายได้แน่ๆ อยู่แล้ว เราเลยไม่ได้กระตือรือร้นอะไร ใครเรียกเราไปฟีทเจอริ่งก็ไป สรุปคือมีเพลงฟีทเจอริ่งกับคนอื่นอยู่ร้อยกว่าเพลง จนหลังๆ ไม่มีใครอยากเอาไปฟีทเจอริ่งแล้วเพราะมันซ้ำ มันดูช้ำไปหมด เราเพิ่งมารู้ตัวเอาช่วงหลังๆ อีกว่า เราทำอะไรอยู่วะ วง Mild เป็นรุ่นน้องเรา มันจะจัดคอนเสิร์ตใหญ่รอบที่ 2 แล้ว แสตมป์ (อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข) จัดคอนเสิร์ตใหญ่ไป 2-3 รอบแล้ว ไอ้โอม (Youngohm) มาแค่ปีเดียว ได้รางวัล JOOX Thailand Music Awards ไปแล้ว เราอยู่ที่ไหน เราทำอะไร ทำไมผลงานเรามีคนรู้จักแต่ “ราตรีสวัสดิ์” กับ “พูดไม่คิด” ซึ่งเพลงหลังนี่ก็ไม่ใช่เพลงเราด้วย ทำไมเราถึงนิ่งนอนใจอย่างนี้ แล้วเราจะตายไปแบบนี้หรือ เราจะปล่อยให้ชีวิตมันเป็นแบบนี้จริงๆ หรือ
ฟักกลิ้ง ฮีโร่
กลายมาเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต?
เราเหมือน Michael Collins ซึ่งเป็นคนควบคุมยาน Apollo 11 แต่ทำได้เพียงมอง Edwin Aldrin กับ Neil Armstrong ลงไปเหยียบดวงจันทร์ ทั้งที่จริงๆ แล้วก็อีกแค่นิดเดียว มันใกล้แค่หน้าต่างยานน่ะ แล้วคนก็ไม่เคยจำชื่อ Michael Collins ได้เลย ก็เลยรู้สึกว่า ลองดูวะ ใส่ชุดมนุษย์อวกาศแล้วลองดำผุดดำว่ายไป อีกนิดหนึ่งก็ถึงดวงจันทร์แล้ว เราอยู่มา 10 กว่าปี คนก็รู้จักเราเยอะแยะ ทวิตเตอร์คนตามเป็นล้าน อินสตาแกรมคนตามหกแสน แฟนเพจก็คนตามเป็นล้าน แต่คนมาดูลูกเราหมดเลย ไม่มีใครสนใจเพลงเราเลยว่ะ ทั้งที่จริงๆ แล้วอาชีพเราคือแร็ปเปอร์ นี่คือสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุด ทำไมเราไม่ลองไปให้มันสุดวะ ก็เลยลองทำดู
คุณตั้งชื่ออัลบั้มแรกในชีวิตไว้ว่าอะไร?
Into the New Era ครับ ซึ่ง “Alarms” เป็นซิงเกิลแรกจากทั้งหมด 20 เพลงในอัลบั้ม โดยจะแบ่งออกเป็นฮิปฮอปโอลด์สคูลครึ่งหนึ่ง กับฮิปฮอปสมัยใหม่อีกครึ่งหนึ่ง และเราตั้งใจไว้ว่า จะเป็นอัลบั้มที่ใช้ดนตรีสดในการอัดทั้งหมด แต่ยังไม่รู้ว่าเป็นไปได้แค่ไหน แต่จะพยายามทำให้ได้ และก็ยังเป็นการพูดถึงเนื้อหาที่หนัก คงได้ฟังช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
ซึ่งเราเอาจริงคุณเป็นแร็ปเปอร์สายโอลด์สคูล?
ตอนเราตัดสินใจทำอัลบั้ม แพลนคือเราจะทำทั้งหมด 3 ชุด ซึ่งอัลบั้มนี้คืออัลบั้มผิดพลาดครับ อัลบั้มที่ใช้ไว้เรียนรู้ เป็นอัลบั้มแบบเรียน เป็นครู เพราะไม่เคยทำมาก่อน อัลบั้มนี้มีไว้ลองทุกอย่างเลย ลองทำงานกับคนที่ไม่เคยทำ ลองแร็ปแบบ Youngohm แบบ Fiixd เราจะทำได้ไหม เหมือนเวลาเราเปิดหนังสือ มันจะมีหน้าเปล่าหน้าหนึ่งเป็น Space เพื่อที่พอเราเรียนรู้แล้ว อัลบั้มที่ 2 จะเป็นอัลบั้มเอาจริง และอัลบั้มที่ 3 จะเป็นอัลบั้มที่เราตกตะกอน
การเข้าไปสัมผัสโลกของฮิปฮอปสมัยใหม่เป็นอย่างไรบ้าง?
สนุกมาก เรารู้สึกว่าน็อตที่ผลิตมามันคนละโรงงานกับเรา (หัวเราะ) คือเราเอาน็อตของเราไปขันเกลียวได้ยากมาก เราเลยต้องหามุม แต่ชอบทำงานกับเด็กรุ่นใหม่มากนะ อยู่กับ Fiixd, Youngohm หรือ Maiyarap มันสนุก เพราะเด็กพวกนี้มีพลัง มีความตื่นตัวอย่างที่เราไม่มีแล้ว หรืออย่างเวลาทำงานกับ P-Hot เรารู้สึกว่า เฮ้ย มันมีภาษาอย่างนี้ด้วย มีวิธีใส่จังหวะแบบนี้ด้วย หรือแม้แต่การใส่ Auto-Tune มันเป็นเรื่องใหม่และเราสนุกกับมันมาก รวมไปถึงโปรดิวเซอร์รุ่นใหม่ๆ อย่าง ฮาย (ธันวา เกตุสุวรรณ-นักร้องนำวง Paper Planes) โห เก่งมาก Botcash (เอ้-สัณหภาส บุนนาค จาก Boom Boom Cash) ก็เก่ง หรือคุณโฟร์ 25hours (ประทีป สิริอิสสระนันท์) ซึ่งเขาเคยโปรดิวซ์ให้ จีน่า เดอซูซ่า โห มือกีตาร์ทำเพลงป็อปเก่งขนาดนี้เลยเหรอ แล้วมันเป็นป็อปสมัยใหม่ที่รายละเอียดเยอะมาก วิธีคิดของคุณโฟร์หรือคุณปู๋ (ปิยวัฒน์ มีเครือ) มือกีตาร์อีกคนของ 25hours คืออีกโลกหนึ่งของเราเลย และจากที่เราเคยไปฟีทเจอริ่งกับศิลปินอื่นๆ มาเยอะมาก อัลบั้มนี้เราเคยเรียกคนอื่นมาฟีทเจอริ่งกับเราแทบทุกเพลงเลย ตาเราบ้าง (หัวเราะ)
หากอัลบั้มนี้ไม่ประสบความสำเร็จล่ะ?
ถามว่าเจ๊งไหม เจ๊งแน่ แต่ว่ามันจะต้องได้อะไรกับชีวิตแน่ๆ อย่างน้อยก็จะได้บอกลูกได้ว่า พ่อทำได้แล้ว แต่ผมขอลองทำให้ครบ 3 อัลบั้มก่อน ถ้าเกิดว่ามันไม่สำเร็จจริงๆ ก็อาจลองไปทำอย่างอื่นดูแล้ว
ทุกวันนี้วิธีการแร็ปของคุณเปลี่ยนไปจากวันแรกๆ บ้างไหม?
เปลี่ยนไปตามอารมณ์และคอนเทนต์มากกว่า ช่วงวัยหนึ่งมันจะรู้สึกว่า อารมณ์น่ะเอาไว้เกรี้ยวกราด ด่าคนนู้นคนนี้ไปทั่ว ช่วงหนึ่งก็จะเป็นสังคม การเมือง ช่วงหนึ่งก็จะรู้สึกว่าทำเพลงให้มันจรรโลงโลกดีกว่า แต่ในวัยนี้ เราอยากแร็ปตามความจริงที่เรารู้สึก เราไม่ได้มองโลกสวยขนาดช่วงก่อนมีลูก ตอนนี้เรารู้สึกว่าโลกมันจริงกว่านั้น โลกคือสีเทา การเมืองก็เทา เราเคยเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเต็มหัวใจ วันหนึ่งพอเรามาถึงตรงจุดนี้ก็รู้สึกว่ามันมีนัยซ่อนเร้นหมด ไม่มีใครหวังดีกับประเทศชาติแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นถ้าไม่ได้เข้าใจอะไร อย่าเพิ่งไปพูดเรื่องนั้น หรือว่าไอ้ที่เราเคยทำเพลงด่าเขา ซึ่งจริงๆ มันมีแต่มุมที่เขาควรจะต้องโดนด่า แต่เราดีพอที่จะไปด่าเขาหรือยัง สมมติว่าเราด่าเขาโกง ใช่ ถูกแล้ว หลักฐานมันมีอยู่ว่าเขาโกง แต่ถ้าเรายังกลับมาดูหนังโป๊ หนังเถื่อนในเว็บ เราก็ไม่รับผิดชอบต่อตัวเองหรือเปล่า เราเองก็ยังไม่ได้ดีพอที่จะไปด่าใคร เพราะฉะนั้นถ้าจะพัฒนาใครสักคน พัฒนาที่เราก่อนคนแรก ทำให้ตัวเองดีก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน
เคยมีวินาทีไหนบ้างไหมที่คิดอยากเลิกแร็ป?
ไม่มีครับ แล้ว ณ ขณะนี้ก็มีไฟมากด้วย มีเรื่องที่อยากทำเต็มไปหมด
สมมติว่าวันหนึ่งคุณจากโลกนี้ไปโดยที่คนยังจดจำผลงานของคุณไม่ได้ จะรู้สึกเสียใจหรือเสียดายไหมที่เลือกเข้ามาอยู่ในเส้นทางนี้?
ณ วันนี้นะ ถ้าคนจำผลงานเราไม่ได้ตอนที่เรายังไม่ได้ลองทำ มันคงจะเสียดาย แต่ถ้าได้ลองทำแล้ว แล้วยังจำไม่ได้อีก อย่างน้อยก็ได้ลองแล้ว ก็คงไม่เสียดายอะไร
ฮิปฮอป และ แร็ปเปอร์ คือลมหายใจของคุณเลยหรือเปล่า?
ผมว่าไม่ใช่ลมหายใจ เราแบ่งส่วนในการหายใจให้อย่างอื่นด้วย ตอนนี้มันคือวิชาชีพครับ เป็นสิ่งเดียวที่เราทำได้ดีที่สุดในชีวิต เราเคยพยายามลองไปทำอาชีพอื่นแล้วเรารู้สึกว่าไม่ใช่ เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเรียกว่าเป็นเพลงกระบี่ไม้ตายของเรา สมมติว่ามา 10 คน เราว่า 9 คนเราแทงคอหอยไม่พลาด
ชมคลิป "ฟักกลิ้ง ฮีโร่" กับ ความจริงในใจ ของแร็ปเปอร์ไทยทุกวันนี้ ได้ที่นี่
Story by: Chanon B.
Photos by: Sidhipong W. / What The Duck
>> ฟักกลิ้ง ฮีโร่ ขยี้ใจคนรักครอบครัว ในเอ็มวีเรียกน้ำตา “Alarms (สวัสดีวันจันทร์)”
>> “The TOYS & ฟักกลิ้ง ฮีโร่” คู่หู พี่น้อง และการทดลองที่ไม่มีวันสิ้นสุด
อัลบั้มภาพ 16 ภาพ