“วิน ศิริวงศ์” ชายผู้นำพาลมหายใจของ “Sqweez Animal” ออกเดินทางต่อ
วันที่ทราบว่า เรากำลังจะได้ฟังเพลงใหม่ของ Sqweez Animal ในรอบ 3 ปี หัวใจกลับมาพองโตอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าเพื่อนที่หายหน้าหายตาไปสักพักส่งข้อความมาทักทาย ภาพความทรงจำในอดีตทยอยหวนกลับคืนมา ภาพของผู้ชาย 2 คนที่เล่นดนตรีกันด้วยความสุข ด้วยหัวใจ ซึ่งอาจจะแตกต่างจากทุกวันนี้ ที่เหลือเพียงคนๆ เดียว ยืนอยู่ ณ ที่ตรงนั้น
วิน ศิริวงศ์ ตัดสินใจนำพาวงดนตรีที่ชื่อ Sqweez Animal เจ้าของเพลงอันคุ้นหูของแวดวงคนฟังเพลงอินดี้อย่าง “ฉันไม่เหงา”, “ไม่มองกลับหลัง”, “อาจยังไม่สาย”, “พรุ่งนี้ที่ดีกว่า”, “คำบางคำ” ฯลฯ ออกเดินทางต่อ แม้ว่าข่าวคราวการสูญเสียของอีกหนึ่งสมาชิกหลักของวงอย่าง สิงห์ มุสิกพงศ์ เมื่อราว 3 ปีที่แล้ว จะทำให้เกิดเครื่องหมายคำถามตามมามากมาย โดยเฉพาะ “จะเลิกทำวง Sqweez Animal ไหม?”
ซิงเกิลล่าสุดอย่าง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” คงเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด ที่ไม่จำเป็นต้องจัดงานแถลงข่าวเอ่ยปากตอบคำถามสื่อมวลชนแต่อย่างใด เป็นคำตอบที่ทำให้แฟนเพลง Sqweez Animal ยิ้มได้อย่างเต็มหัวใจอีกครั้ง การพูดคุยระหว่าง Sanook! Music กับ วิน ศิริวงศ์ ในวันนั้นจึงไม่ค่อยมีเรื่องราวของวันวานเข้ามาเกี่ยวข้องเท่าใดนัก เพราะเราอยากรู้สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกาล และวันต่อๆ ไปของวงดนตรีวงนี้เสียมากกว่า
และหากว่าบทเพลงนี้จะเป็นตัวแทนที่เขาอยากจะกล่าวกับแฟนเพลง ในฐานะคนฟังเพลง ก็อยากจะบอก วิน และ สิงห์ ว่า “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” เช่นกัน
วิน ศิริวงศ์ นักร้องนำและมือกีตาร์ Sqweez Animal
เมื่อ 3 ปีที่แล้ว “มอเตอร์ไซค์” คือซิงเกิลสุดท้ายที่ Sqweez Animal ปล่อยออกมาก่อนที่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทางด้านสมาชิก มันเป็นความรู้สึกที่ยากลำบากแค่ไหนในการตัดสินใจทำเพลงหรือเดินทางต่อในฐานะวงดนตรี Sqweez Animal?
ความคิดที่จะหยุดทำแทบจะไม่อยู่ในหัวเลย ทันทีที่เกิดเรื่องราวของสิงห์ (สิงห์ มุสิกพงศ์) กระแสทุกอย่างมันเข้ามาแรงและเร็วมาก Sqweez Animal จะเป็นอย่างไรต่อ คนถามกันเต็มไปหมด ซึ่งผมก็ไม่มีคำตอบให้เท่าไหร่ในตอนนั้น มันเหมือนกับจู่ๆ พายุมาแล้วบ้านพัง แล้วเราก็งงว่ามันเกิดขึ้นอะไรกับเรา ยังไม่มีเวลาให้ตัวเองเสียใจหรืออะไรมากมายเลยด้วยซ้ำ เหมือนคนรอบตัวเขาเสียใจล่วงหน้าไปก่อนผมเสียอีก พอเราอยู่ด้วยกัน 2 คนมานานมาก ช่วงหลังๆ มันก็เหมือนจะไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันเยอะๆ แล้ว มีช่วงเบรกบ้างก็ได้ ตอนนั้นสิงห์เขาก็ตั้งใจไปเรียนต่อ ผมก็เลยมองเป็นมุมอย่างนั้นไป ว่าเหมือนกับเขาไปพักร้อนหรือไปเที่ยว ไม่ได้คิดฟูมฟายว่าจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ไม่อยากคิดอย่างนั้นเพื่อให้ตัวเองดาวน์ มันเศร้าเกินไปด้วย มันยากตรงที่ผมเหมือนเป็นศูนย์กลางความเศร้าของคน เพราะแฟนคลับที่รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์นี้เขาก็อยากจะเข้ามาแสดงความห่วงใย ความเข้าใจ ให้กำลังใจเราเยอะแยะไปหมด ซึ่งตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจมน้ำอยู่ แล้วคนก็ดึงเราขึ้นมา (หัวเราะ)
จำได้ว่าตอนนั้นเต็มไปด้วยมวลบรรยากาศความเศร้ามากมาย
ใช่ครับ แต่ช่วงนั้นมันรู้สึกซาบซึ้งมากกว่าว่า คนเสียใจกันขนาดนี้ มองไปรอบๆ ตัวเห็นคนร้องไห้ ครอบครัวของสิงห์ก็เศร้ามาก ใจผมตอนนั้นเป็นห่วงคนอยู่มากกว่าคนไป คนรอบๆ ตัวผมเขาเสียใจกันมากเลย เหมือนมองหน้าผมเขาก็ร้องไห้ เขาคงจะนึกถึงอีกคนหนึ่งแหละ ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับความรู้สึกนั้น กับเหตุการณ์ที่เจอตอนนั้น ก็รู้สึกว่าเราควรจะทำสิ่งที่เป็นกำลังใจให้คนรอบตัว ให้เขาเป็นห่วงเราน้อยที่สุด ผมไม่อยากให้พวกเขาเศร้ามากไปกว่านี้แล้ว ทั้งครอบครัวสิงห์ และแฟนเพลง อย่างน้อยเราก็น่าจะบอกเขาว่า เพลงน่ะยังไม่หยุดทำนะ แล้วผมก็ตั้งใจอย่างนั้นจริงๆ ก็ดำเนินชีวิตต่อมาเรื่อยๆ นี่แหละครับ ไม่ได้คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากหรืออะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันเหมือนเราก็ต้องทำงานหนักมากขึ้น เพราะแต่ก่อนมีอีกคนช่วยกันพายเรือ ช่วยกันเดิน ตอนนี้กลายเป็นเราต้องพยายามเป็น 2 คนในร่างเดียว
FB - Sqweez Animal [SQ] Official
วิน ศิริวงศ์ และ สิงห์ มุสิกพงศ์ (ขวา) สองสมาชิกแห่ง Sqweez Animal
ยังรู้สึกว่า Sqweez Animal สามารถเดินต่อได้?
ยังไงมันก็ต้องเสร็จครับ เพราะมันเป็นโปรเจกต์ที่ทำค้างเอาไว้ วันที่สิงห์จากไป เราเพิ่งปล่อยเพลง “มอเตอร์ไซค์” ออกมาได้วันหรือสองวันเท่านั้นเอง ไม่ได้โปรโมตอะไรทั้งสิ้น ก็ปล่อยให้เป็นเพลงส่งท้ายเขาไปเลย ส่วนเพลงอื่นสิงห์เองก็รับรู้ ได้ฟังเพลงพวกนี้ไปหมดแล้ว ทำเดโมคร่าวๆ กันไว้แล้ว รู้สึกว่าอย่างไรมันก็ไปต่อได้ แค่ในตอนนั้นเรานึกไม่ออกหรอกว่า อีกหน่อยจะทัวร์คอนเสิร์ตอย่างไร จะมาพบกับแฟนเพลง คุยกับสื่อ หรือต้องรับแสงไฟ รับสปอตไลต์ รับความสนใจอยู่คนเดียว ผมจะรับมืออย่างไร สิ่งที่ยากลำบากที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีไปแล้วอะไรๆ มันเปลี่ยนแปลงไปหมด ปกติเวลาเล่นคอนเสิร์ตเราจะต้องบอกว่า มือกีตาร์ Sqweez Animal ชื่อสิงห์ครับ อะไรอย่างนี้ มันก็จะเปลี่ยนไป ขั้นตอนนั้น ช่วงเวลานั้นก็จะไม่มี ไม่ได้เป็นดูโอ้อีกแล้ว สิ่งนี้คือความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในการแสดงสด
สรุปแล้วอัลบั้มใหม่นี้ก็ยังถือว่าเป็นผลงานของวง Sqweez Animal อยู่?
ใช่ครับ คือในอัลบั้มใหม่ ถ้ารวมเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ก็จะปล่อยออกมารวมเป็น 3 เพลง แล้วก็ยังจะมีทยอยปล่อยออกมาอีก ผมคิดว่าเรายังมีสิทธิที่จะใช้ชื่อ Sqweez Animal ได้อยู่ เพราะผมกับสิงห์ทำเดโมมาด้วยกัน
คุณเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอะไรผ่านเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา”?
จริงๆ มันเป็นเพลงที่จะแต่งให้แฟนเพลง เพราะก่อนหน้านี้ Sqweez Animal ไม่มีเพลงที่จะสื่อสารกับแฟนๆ แบบตรงๆ ว่า ความรู้สึกที่เรามีให้เขามันคือความรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งนะในการที่เขามาให้คุณค่าและชื่นชอบงานของเรา บางทีเราไปเล่นคอนเสิร์ตก็จะบอกพวกเขาว่า ขอบคุณมากนะครับ ที่ผ่านมาอยู่ด้วยกันมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ นั่นคือแมสเสจที่อยากจะบอกออกไปเลยว่า คนที่ตามเรามาตั้งแต่วันแรกๆ จนถึงวันนี้ เหมือนกับเรามาฉลองให้กับปัจจุบันที่สวยงามด้วยกันดีกว่า เพราะสิ่งที่เราทำด้วยกันมาตลอดมันเป็นสิ่งที่ดี ในเวลาเดียวกันก็อยากจะบอกกับคนทั่วไปด้วยว่า ให้เขาเห็นคุณค่าในปัจจุบันของเขาดีกว่า ไม่ต้องไปจมอยู่กับอดีต ไม่ต้องไปคิดไกลว่ายังไม่ถึงเป้าหมายข้างหน้าของเราสักที แค่ปัจจุบันนี้มันดีอยู่ ไม่ป่วยไม่ไข้ และยังมีคนที่รักเราอยู่รอบๆ กายมันก็ดีแค่ไหนแล้ว แสดงว่าที่ผ่านมา สิ่งที่ทำลงไปมันถูกต้องดีอยู่แล้ว อย่างน้อยก็เตือนสติให้คนพอใจกับสิ่งที่เขามีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ได้จะรำลึกอะไรที่มันโศกเศร้า ไม่ได้คิดไปล่วงหน้า หรือไม่ได้คิดว่าจะแต่งให้สิงห์อะไรอย่างนี้เลย
คุณบอกว่า สิงห์ ได้ร่วมกับเดโมอัลบั้มชุดนี้มากับคุณ แสดงว่าเขาก็ได้ฟังเพลงนี้แล้วเช่นกัน?
เขาเป็นคนแรกที่ได้ยินนะ ซึ่งนับจากวันนั้น เพลงนี้มันเปลี่ยนไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย จริงๆ แล้วมันไม่ได้จะเป็นเพลงที่เต็มไปด้วยอารมณ์หรือมีพลังแบบนี้ ก็กะแค่ว่าเป็นเพลงที่ร้องออกไปแล้วยิ้ม อยากจะแค่ขอบคุณเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมามากๆ เพราะปัจจุบันมันดีมากเลยที่ฉันยังมีเธออยู่ตรงนี้ ข้างๆ ฉันแบบนี้ แล้วสิ่งที่พูดออกไปมันบวกหมดเลย แต่พอถึงวันที่รื้อเพลงนี้ขึ้นมาทำใหม่ ผมไม่ได้มีอารมณ์ขอบคุณแค่ยิ้มๆ อีกแล้ว มันมีอารมณ์ที่มองกลับไปแล้วรู้สึกซึมๆ เศร้าๆ แต่ก็รู้สึกขอบคุณในสิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่ดี ผมเลยเติมความเป็นเพื่อชีวิตเข้าไปสักนิด และคิดต่อว่า ถ้าเราเปลี่ยนแนวทางเพลงมาเป็นสไตล์อัลเทอร์เนทีฟที่กีตาร์โหยหวนมากขึ้น มันน่าจะถ่ายทอดความรู้สึกออกมาได้มากกว่าแค่คำว่าขอบคุณเฉยๆ มันกลายเป็นความรู้สึกขอบคุณที่แฝงไปด้วยความคิดถึง คอร์ด จังหวะเพลง การร้อง มันเปลี่ยนไปหมดเลย กลายเป็นการร้องที่เรียกได้ว่าตะโกนออกไปด้วยพลังที่เรามี เหมือนกับอยากจะบอกว่า เฮ้ย มันถูกแล้วเว้ย (หัวเราะ)
แต่หลายคนรวมถึงเรา ฟังแล้วก็คิดว่าคุณร้องให้สิงห์เหมือนกันนะ
ก็อาจจะเป็นเช่นนั้นด้วย โดยปริยาย ผมกลายเป็นบอกขอบคุณกับสิงห์ที่อยู่เคียงข้างกันมา เราทำอะไรร่วมกันมาเยอะแยะ จนปัจจุบันนี้ผมได้มาพบกับสิ่งที่สวยงามมากมาย ได้เจอพี่เมธี Moderndog ได้เจอความรักและมิตรภาพที่ SQ Crew (ทีมนักดนตรีและทีมงานของ Sqweez Animal) มีให้ผม ได้เจอกับแฟนเพลงที่ไม่หนีผมไปไหนเลย ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะไม่อยู่แล้วก็ตาม
ผู้ชายที่ชื่อ เมธี น้อยจินดา แห่ง Moderndog เข้ามาเติมเต็มในจุดไหนในเพลง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา”?
ผมว่ามันเป็นรูรั่วรูใหญ่ที่คนฟังเขาเพ่งดูอยู่ว่า Sqweez Animal ที่ไม่มีมือกีตาร์ที่แข็งแรงและมีเอกลักษณ์อย่างสิงห์ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น รูรั่วนี้จะเล็กจะใหญ่แค่ไหนนั้นคือจุดที่คนจ้องจะฟัง สำหรับพี่เมธี ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าพี่เขาจะทำได้แค่ไหน แต่พอพี่เมธีเล่นออกมา ลองเอาตัวตนพี่เขามาใส่ ผมรู้ได้ทันทีว่ารูรั่วนั้นแทบจะเป็นศูนย์สำหรับความต้องการของผม เพราะถ้าเอาคนอื่นที่ไม่มีประสบการณ์ ไม่มีตัวตนชัดขนาดนี้มาเล่น แล้วไม่ได้เป็นแนวทางนี้ อาจจะเกิดคำถามมากมายตามมา พี่เมธีคือความถูกต้องในเรื่องที่ผมอยากให้เพลงนี้มีความอัลเทอร์เนทีฟย้อนยุค แล้วพี่เมธีคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับความเป็นอัลเทอร์เนทีฟในเมืองไทย (หัวเราะ) รวมถึงเรื่องของความหมาย สัญลักษณ์ต่างๆ พี่เมธีก็เป็นฮีโร่ เป็นไอดอลของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าดวงวิญญาณของสิงห์รับรู้ได้จริง เขาก็ต้องชอบที่มีบุคคลระดับไอดอลของเขามาช่วยเล่นในเพลงนี้ ที่อยู่ในชื่อของ Sqweez Animal แล้วซาวด์ที่เล่นออกมา มันก็มีความเหมือนสิงห์ในเรื่องพลังบางอย่างที่มากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง สิงห์เขาก็มีของเขา เพียงแต่พอฟังแล้วรู้ว่า สองคนนี้มีอะไรบางอย่างคล้ายกัน
FB - Sqweez Animal [SQ] Official
ครั้งแรกที่ วิน และ เมธี Moderndog ได้ร่วมงานกัน
เสน่ห์แห่งพาร์ตดนตรีของ “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ในความรู้สึกของคุณคืออะไร?
เอาจริงๆ ถ้าไม่ใช่พี่เมธี ผมก็นึกไม่ออกนะ จะเป็นใครวะเนี่ย (หัวเราะ) แล้วพี่เมธีก็มาช่วยเรียบเรียงให้ด้วย โดยใช้ประสบการณ์และวิสัยทัศน์ของพี่เขาว่า ท่อนนี้มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็รับนะ แต่ไม่ได้รับทั้งหมด คือเราก็มีจุดยืนของเราว่า เราจะออกมาจากโซนของ Sqweez Animal ได้แค่ไหน คือถ้าออกมามากเกินไปมันก็จะกลายเป็น Moderndog ไปเลย มันมีความเสี่ยงตรงนั้นอยู่ เพราะกลิ่นอายของ Moderndog มันแรง ซึ่งถ้าฟังจริงๆ ผมว่าก็ไม่ได้นึกถึง Moderndog นะ ก็เลยรู้สึกว่าเป็นการร่วมงานกันที่แปลกดี ในส่วนอื่นก็เต็มไปด้วยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เยอะแยะไปหมด ทั้งไลน์กลอง เสียงเครื่องเขย่าหรือ Shaker ที่ไม่เคยหายไปจากเพลงของ Sqweez Animal อ้อ อีกอย่างหนึ่งก็คือ พี่เมธีโซโล่กีตาร์มาเกือบ 100 แบบ แต่ผมเลือกอันที่ทุกคนได้ฟังกัน (หัวเราะ) ผมหลับตาฟังทุกแบบแล้ว มันต้องอันนี้แหละ เพราะมันมีอะไรบางอย่างที่มีความเป็น Sqweez Animal อยู่ เป็นสิ่งที่เราต้องการ
ซึ่ง “ขอบคุณทุกช่วงเวลา” ก็ค่อนข้างเป็นสีสันใหม่ของ Sqweez Animal พอสมควร?
ใช่ครับ เพราะจริงๆ เราไม่ได้กำหนดไว้ว่าเพลงของ Sqweez Animal จะต้องเป็นแนวไหน ต้องอาร์แอนด์บีหรือฟังก์เท่านั้น อะไรที่มันเหมาะสมกับเนื้อร้อง ทำนอง และสิ่งที่อยากจะสื่อออกไป ก็เลือกทำแบบนั้น ทำในแบบที่ Sqweez Animal เป็นก็แล้วกัน
แล้วสีสันใหม่ของอัลบั้มชุดใหม่ล่ะ?
มีการคุยกันไว้ว่า พี่เมธีอาจจะเข้ามาร่วมทำงานด้วยอีก เขาสนุกกับโปรเจกต์นี้ พี่เมธีบอกว่าไม่เคยไปเล่นกีตาร์ให้ใครมาก่อนเหมือนกัน มาคิดๆ ดูก็ไม่เคยเห็นพี่เมธีไปฟีทเจอริ่งให้ใคร นอกจากนั้นก็อาจจะมีการลดบทบาทมือกีตาร์ไปนิดหนึ่ง แล้วไปเพิ่มเสียงสังเคราะห์และอย่างอื่นแทน ก็เป็นการเปลี่ยนการทำงาน เปลี่ยนบรรยากาศในหลายๆ มุม เราตั้งใจจะปล่อยเพลงทุกๆ ประมาณ 3 เดือน และควรปล่อยอัลบั้มไม่เกินกลางปีหน้า ซึ่งน่าจะเป็นเวลาเดียวกันกับที่เราอาจจะมีคอนเสิร์ตเอ็กซ์คลูซีฟของ Sqweez Animal
ได้ยินคนชอบพูดกันว่า ถ้าฉันย้อนเวลากลับไปได้ ฉันจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วคุณล่ะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คุณอยากกลับไปทำอะไร?
ก็น่าจะมีแค่เรื่องเดียว คือเรื่องของสิงห์นั่นแหละ เรื่องอื่นผมไม่ค่อยมีอะไรที่ค้างคาที่อยากจะย้อนเวลากลับไป เพราะว่าตราบใดที่เรายังมีชีวิต เรายังแก้ไขทุกอย่างได้ตลอด แต่ถ้าเราไม่มีชีวิตแล้ว มันแก้อะไรไม่ได้แล้ว ถ้าย้อนกลับไปได้ ก็อยากย้อนกลับไปตอนช่วงก่อนที่เขาจะไป ถ้าผมรู้ก่อนก็คงทำอะไรได้ดีกว่านี้ คนรู้ก่อนทำอะไรได้ดีกว่านี้กันหมดล่ะครับ แต่สำหรับเรื่องอื่นๆ ในชีวิต ผมว่าถึงรู้เมื่อสาย ก็ยังดีกว่าไม่รู้เลย แล้วเราก็ยังลุกขึ้นมาแก้ไขได้ทุกวันทุกวินาทีที่เรายังอยู่ได้
“ทุกช่วงเวลา” ของ Sqweez Animal ได้มอบอะไรให้กับผู้ชายที่ชื่อ วิน ศิริวงศ์ บ้าง?
โอ้โห มากมายครับ ทักษะ ประสบการณ์ ทั้งทางด้านดนตรี ด้านการพูดต่อหน้าสาธารณชน การวางตัวในสังคม การเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับเยาวชนหรือคนทั่วไป เพราะเรากลายเป็นคนของประชาชนขึ้นมาระดับหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นเราทำอะไรก็ต้องรับผิดชอบในการกระทำของเรามากขึ้น ได้เจอมิตรภาพดีๆ มากมาย ได้เจอแฟนเพลง เพื่อนในวงการ เพื่อนนอกวงการ มันเป็นการเปิดประตูแห่งโอกาสเยอะมากๆ Sqweez Animal ถือเป็นบทบาทใหญ่ในชีวิตผม คือถ้าไม่มี ผมก็ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ตรงไหน ป่านนี้เราจะทำอะไรอยู่ ผมนึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ แล้วผมไม่เคยทำวง Sqweez Animal ป่านนี้ผมจะเป็นอย่างไร … นึกไม่ออกจริงๆ ครับ
Story by: Chanon B.
Photos by: Thanapol W. / FB - Sqweez Animal [SQ] Official
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ