Boyzlife Live in Bangkok 2018 รวมพลคนรักเพลงบัลลาดในบรรยากาศที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง
นับจากวันที่มีข่าวประกาศออกมาว่าจะมีวงเฉพาะกิจอย่าง Boyzlife ที่มีสมาชิกเพียงสองคน ได้แก่ Brian McFadden อดีตสมาชิกวง Westlife และหนุ่ม Keith Duffy สมาชิก (ปัจจุบัน) ของวงรุ่นพี่อย่าง Boyzone ร่วมออกทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันตั้งแต่เมื่อเกือบ 3 ปีที่แล้ว เราเป็นคนหนึ่งที่ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้ารอคอยคอนเสิร์ตของพวกเขามาแสดงที่เมืองไทยมาตลอด แม้ว่าจะเป็นวงที่มีสมาชิกแค่สองคน ไม่ใช่การรวมตัวร่วมทัวร์คอนเสิร์ตด้วยกันอย่างจริงจังเหมือน NKOTBSB (New Kids of the Block + Backstreet Boys) หรือ McBusted (McFLY+Busted) แต่เราก็ยังอยากชมการแสดงของวงพี่น้องสองวงนี้อยู่ดี โดยเฉพาะ Brian McFadden ที่เป็นสมาชิก Westlife คนเดียวที่เรายังไม่เคยได้เจอตัวจริงมาก่อน
>> เอาล่ะสิ! เมื่อ Boyzone+Westlife กลายเป็น Boyzlife อย่างเป็นทางการ
1 ธันวาคม 2018 ความฝันของเราก็ได้เป็นจริง เมื่อผู้จัด Teenage Dream Corporation รวมตัวพันธมิตรจัดคอนเสิร์ต Boyzlife Live in Bangkok 2018 ที่ GMM Live House ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ผู้ชมที่ร่วมงานล้วนเป็นวัยทำงานที่จูงมือแฟน เพื่อนร่วมสถาบัน หรือแม้กระทั่งจูงลูกจูงหลานมาชมคอนเสิร์ตเพลงป็อปบัลลาดตำรับไอริชสุดฮิตเมื่อราวๆ ปี ‘90s-2000s ต้นๆ ที่พวกเขาเคยได้ฟังสมัยเรียน บรรยากาศโดยรวมจึงคล้ายๆ จะเป็นการรียูเนียนของผองเพื่อนกันกลายๆ
โชว์จากศิลปินเปิดเริ่มตอน 20.00 น. ตรง แปลกใจที่ได้เห็นศิลปินไทยในตำนานยุค 2000 ต้นๆ อย่าง โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป, แอ๊นท์-พีรพงศ์ เฉลิมโยธิน สมาชิกวง Emotion Town และ ปราโมทย์ วิเลปะนะ ขึ้นเวทีมาอุ่นเครื่อง เตรียมบรรยากาศของคนในฮอลล์ให้ย้อนกลับไปสู่ยุค 2000 ต้นๆ กันชั่วโมงกว่าๆ ขนเพลงฮิตของตัวเองออกมาร้องมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “เธอคือเหตุผล”, “ใจให้ไป”, “เหตุเกิดจากความเหงา”, “คืนที่ดาวเต็มฟ้า”, “แค่คนอีกคน”, “หวาน” และอีกมากมาย นอกจากนี้ โอ้ ยังคัฟเวอร์เพลง “ตราบธุลีดิน” ของ ปู่จ๋าน ลองไมค์ และเพลง “Lost Stars” ของหนุ่ม Adam Levine ให้แฟนๆ ได้ฟังอีกด้วย แม้ว่าในค่ำคืนนั้นจะมีแฟนเพลงชาวต่างชาติเข้ามาชมไม่น้อย จึงทำให้บรรยากาศโดยรวมอาจจะเงียบๆ ไม่หวือหวามากนัก แต่สำหรับชาวไทยแล้ว การได้เห็นการกลับมาของศิลปินที่มีแต่เพลงป็อปฟังสบายสุดฮิตที่ใครๆ ก็ร้องตามกันได้มาขับกล่อมอุ่นเครื่องให้ก่อน ก็พอจะช่วยให้บรรยากาศมีสีสันขึ้นมาบ้าง
21.20 น. ถึงคิวของสองหนุ่ม Boyzlife ขึ้นเวที เร่งจังหวะให้คึกคักด้วย “When You’re Looking Like That” หนึ่งในเพลงเร็วไม่กี่เพลงของ Westlife ที่แน่นอนว่าร้องนำมาโดย Brian และร้องเสริมด้วย Keith ทั้งคู่มาในชุดธรรมดา เสื้อเชิ้ต เสื้อแจ็กเก็ต กางเกงยีนส์ ส่วน Brian มีหมวกเบเร่ต์เพิ่มมาอีกใบ ยืนร้องนิ่งๆ พอเป็นพิธี ก่อนจะวกเข้าสู่เพลงของ Boyzone กับ “Picture of You” เรียกเสียงกรี๊ดจากแฟนเพลงฝั่ง Boyzone ได้พอหอมปากหอมคอ จากนั้นก็ตัดสลับมาที่เพลงของ Westlife อีกครั้งกับ “World of Our Own” เพลงจังหวะสนุกอีกหนึ่งเพลงที่แฟนเพลงหลายคนน่าจะคุ้นเคยกันดี จังหวะที่ร้องจนใกล้จะจบเพลง เครื่องกำลังติดแบบร้อนๆ เหลือเพียงอีก 1 ท่อนฮุกสุดท้ายที่คีย์เสียงสูงขึ้น แต่จู่ๆ แบ็คกิ้งแทร็คก็ตัดจบเอาดื้อๆ แถมไม่ได้ตัดจบแบบคลีนๆ คมๆ ด้วย ปล่อยให้มีเสียงดนตรีอีก 1-2 วินาทีหลุดออกมาเหมือนคนกดปิดเพลงไม่ทัน ต้องบอกว่าจังหวะนี้เรารับรู้ถึงอารมณ์ตัดจบแบบขาดตอนที่ทำให้เหวอกลางอากาศทันที พร้อมคำถามในหัวว่า “ไหงตัดจบเพลงแบบนี้หว่า”
ตลอด 3 เพลงที่ผ่านมา แม้ว่าจะเป็นเพลงจังหวะกลางไปถึงเร็วทั้งหมด แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบ (สงัด) เนื่องจากแต่ละคนก็พ้นวัยจะส่งเสียงกรี๊ดใสๆ เชียร์ศิลปินบนเวทีกันไปเยอะแล้ว ส่วนใหญ่จึงได้แต่นั่งอมยิ้ม หรือร้องเพลงตามเบาๆ พอเป็นพิธี สองหนุ่มบนเวทีก็คงเห็นชัด จึงได้ชวนแฟนๆ ทุกคนคุยอย่างเป็นกันเอง ก่อนจะขอให้ทุกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อมาสนุกกันให้เต็มที่ แต่จังหวะจะโคนอะไรก็ผิดไปหมด เมื่อ Brian บอกทุกคนให้นั่งลงอีกครั้งเพราะพวกเขากำลังจะเข้าสู่ช่วงร้องเพลงบัลลาดช้าๆ
ตลอดทั้งการแสดงเป็นการเรียงเพลงฮิตของทั้ง Boyzone และ Westlife สลับกันไปเรื่อยๆ แต่แม้ว่าจะเป็นเพลงจากทั้งสองวง Brian และ Keith ก็สามารถร้องเพลงทั้งหมดได้อย่างลื่นไหลราวกับเป็นเพลงของวงตัวเองทั้งหมด ที่น่าสังเกตคือ เพลงของ Boyzone หลายๆ เพลง ไม่ได้มี Keith เป็นนักร้องเสียงหลัก แต่การแสดงทั้งหมด ทั้งเพลงของ Boyzone และ Westlife กลับได้ Brian เป็นนักร้องเสียงหลัก และ Keith เป็นนักร้องเสริมทุกเพลง อาจจะเป็นเพราะ Keith ประจำตำแหน่งนักร้องเสริมมาตลอด ในขณะที่ Brian เองตอนอยู่วง Westlife ได้ทำหน้าที่ทั้งนักร้องเสียงหลัก และนักร้องเสริม (แต่นักร้องเสียงหลักของ Westlife เป็น Shane Filan และ Mark Feehily ตามลำดับ) ดังนั้นท่อนเพลงที่ Ronan Keating นักร้องนำของ Boyzone เป็นคนร้อง ก็จะเป็น Brian มาร้องแทน รวมไปถึงเพลงของ Westlife ท่อนเพลงของ Shane ก็จะเป็น Brian ร้อง ในขณะที่ท่อนเพลงของ Brian เอง ก็จะเป็น Brian ร้องเองบ้าง Keith ร้องบ้าง เป็นต้น ถือว่าแปลกใหม่สำหรับเรามาก รวมถึงแฟนเพลงในฮอลล์หลายๆ คนด้วยเช่นกัน
เมื่อทั้งสองวงเป็นวงบัลลาด ช่วงเพลงบัลลาดจึงถือว่าเป็นช่วง highlight ของงานก็ว่าได้ ทั้งสองคนจัดเพลงฮิตมาติดๆ กัน ทั้ง “Words”, “A Different Beat”, “Father and Son”, “You Needed Me”, “I Love the Way You Love Me”, “No Matter What” ของ Boyzone, “Swear It Again”, “Mandy”, “Flying Without Wings”, “My Love” ของ Westlife (ที่ทุกคนในฮอลล์พร้อมใจกันลุกขึ้นถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอกันมากมาย) แต่ถึงจะเป็นช่วงบัลลาดติดกันหลายเพลงก็ไม่ได้ง่วงหรือน่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะหน่วยคุยและชงอย่าง Keith และหน่วยเล่นมุกและเอนเตอร์เทนอย่าง Brian พยายามสร้างเสียงหัวเราะให้แฟนเพลงอยู่เรื่อยๆ ตลอดทั้งโชว์ ไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบเสียงของ Ronan Keating ในเพลง “Baby Can I Hold You” และการเต้นสไตล์บอยแบนด์ยุค ‘90s ใน “Love Me For A Reason” เห็นแล้วนึกถึงการแสดงในรายการ Top of the Pops ที่หนุ่ม Keith เล่าให้ฟังว่าเป็นช่วงโปรโมตเพลงนี้ที่เขายังคงจำได้ดีจนถึงทุกวันนี้ เพราะเป็นหนึ่งในเพลงที่แฟนเพลงชาวอังกฤษให้การตอบรับบอยแบนด์จากไอร์แลนด์อย่างอบอุ่นเกินคาดนั่นเอง
ทั้งสองโบกมือลาพร้อมเสียง Brian ที่ยังทะเล้นต่อไปว่า “ยังไม่จบหรอก แต่นี่เป็นช่วงให้พวกคุณทุกคนตะโกนเรียกให้เราออกมาร้องต่อต่างหาก” แฟนเพลงรอกันไม่นาน Brian และ Keith ก็เดินลงเวทีลุยฝูงชนระยะประชิดพร้อมกับร้องเพลงดังอย่าง “If I Let You Go” และ “Uptown Girl” ของ Westlife เป็นการปิดโชว์ในครั้งนี้ โบกมือลา ขอบคุณกันพอหอมปากหอมคอก็โบกมือเดินหายเข้าไปหลังเวที
จบโชว์ ใช้เวลาทั้งหมด 1 ชั่วโมงพอดีเป๊ะ มาถึงตรงนี้ หากถามว่าแฟนเพลงประเภทที่เคยฟังเพลงของสองวงนี้แบบ “ผ่านๆ” ก็คงจะเอนจอยกับโชว์นี้ได้ไม่ยาก เพราะบรรยากาศโดยรวมดูแล้วเป็นคอนเสิร์ตที่สนุกสนาน ไม่มีช่วงน่าเบื่อ และคัดสรรมาแต่เพลงฮิตที่ทุกคนต้องเคยฟังหรือร้องตามกันได้มาแล้วทั้งนั้น แต่หากคุณเป็น “แฟนพันธุ์แท้” ไม่ว่าจะเป็นแฟนของ Boyzone หรือ Westlife ที่คุณต้องการจะได้ฟังเพลงเพราะราวกับต้นฉบับเหมือนที่เคยฟังเมื่อตอนเด็กๆ คุณอาจจะผิดหวัง เพราะการแสดงในครั้งนี้ไม่ได้มีความจริงจังในการแสดงมากเท่าที่คิด เสมือนควงกันมาร้องเพลงเอนเตอร์เทนคนดูเสียมากกว่า ทั้งในแง่ของแสงสีเสียงที่ธรรมดาจนถึงขั้นธรรมดาเกินไป (แม้จะมี confetti กับ bubbles มาเพิ่มบรรยากาศอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมาก) กราฟิกบนเวทีก็ธรรมดา มีแค่ตัวอักษร Boyzlife พร้อมฉากหลังที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีอะไรหวือหวา และไม่ได้สื่อความหมายอะไรใดๆ กับเพลงที่ร้อง ภาพบนจอมอนิเตอร์จังหวะไม่ตรงกับการแสดงจริงบนคอนเสิร์ต (และยังมีจังหวะที่เกิดการขัดข้องจนภาพนิ่ง ไม่ขยับไปเกือบนาที) แบ็คกิ้งแทร็คที่เปิดเสียงดนตรีก็แห้งเหมือนดนตรีเพลงคาราโอเกะ รวมถึงคุณภาพของ “เสียง” และเทคนิคการร้องของทั้งคู่ก็ไม่ได้ถึงขั้นท็อปฟอร์ม เสียงของ Brian อยู่ในเกณฑ์แน่นหนาดีและเอาเพลงอยู่ทุกเพลง แต่ในส่วนของเสียงสูงในเพลง “Flying Without Wings” ท่อนของ Mark เขาไม่สามารถร้องเต็มเสียงอย่างที่ Mark ร้องได้ รวมไปถึง Keith ที่น้ำเสียงยังคงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าเป็นนักร้องเสริมจะเหมาะสมกว่า
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับศิลปินที่อายุในวงการเกิน 20 ปี ก็มีให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งการร้องทับไลน์กันเองเหมือนไม่ได้ซ้อมร้องเพลงด้วยกันมาก่อน การพูดเข้าเพลงผิดของ Keith ที่พูดเข้าเพลง “Love Me For A Reason” แต่ดันเป็นคิวของเพลง “Father and Son” ก่อน จนต้องมาขอโทษแล้วจำใจต้องปล่อยผ่านอย่างเสียไม่ได้ การร้องเพลงนำจังหวะอย่างชัดเจนของ Brian ในเพลง “If I Let You Go” ซึ่งเป็นท่อนฮุคก่อนจบที่เป็น highlight ของเพลง ผิดไปจนถึงเนื้อร้องของเพลง “Uptown Girl” ที่ร้องสลับท่อน และทั้งสองลอบยิ้มให้กันเพราะรู้ตัวว่าร้องผิด ไปจนถึงการแสดงออกบนเวทีของ Brian ที่ทั้งดื่มแอลกอฮอล์ และสูบบุหรี่พ่นควันขาวโพลนบนเวทีอยู่ 2-3 ครั้งระหว่างโชว์ ทั้งๆ ที่เป็นการแสดงในคอนเสิร์ตใหญ่ที่มีลูกเด็กเล็กแดงนั่งอยู่เต็มไปหมด เพราะเป็นคอนเสิร์ตที่ไม่ได้จำกัดอายุแต่อย่างใด
ย้ำอีกครั้งว่า หากคุณชื่นชอบเพลงของ Boyzone และ Westlife แบบเคยฟังผ่านๆ อยากมาย้อนรำลึกวันวานยังหวานอยู่กับเพื่อนๆ เล่นๆ คุณจะสนุกได้อย่างเต็มที่กับโชว์ในครั้งนี้ แต่หากคุณเป็นแฟนพันธุ์แท้ที่อยากจะฟังเพลงฮิตของทั้งสองวง (หรือวงใดวงหนึ่ง) อย่างเต็มที่ เต็มรูปแบบ คงต้องผิดหวังค่อนข้างมาก เพราะไม่ได้มีส่วนไหนของโชว์ที่เข้าใกล้กับคำว่า “คอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ” เลยแม้แต่น้อย น่าจะเหมือนการแสดงสดในผับที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเสียมากกว่า
หวังว่าโอกาสหน้า แฟนๆ ของ Boyzone และ Westlife จะได้มีโอกาสชมคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบของทั้งสองวงในเมืองไทยในอนาคต รับรองว่าคุณภาพของโชว์น่าจะมาพร้อมกับจำนวนสมาชิกที่มากขึ้น ดนตรี และโปรดักชั่นที่เต็มที่มากขึ้น หรือจะร่วมทัวร์ด้วยกันอย่างจริงจังทั้งสองวงแบบครบสมาชิกเหมือน NKOTBSB ก็ย่อมได้ และน่าจะสร้างความทรงจำ และความประทับใจกลับไปได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน เพราะดูจากจำนวนแฟนเพลงในวันนี้แล้ว หากจะมีคอนเสิร์ตของทั้งสองวงมาจัดที่เมืองไทยกันอีกครั้ง ก็น่าจะมีคนเดินทางมาชมอยู่ไม่น้อย เพราะไม่ว่าอย่างไร ยุค '90s-2000s ก็ยังคงเป็นยุคทองของวงการเพลงป็อปอยู่เสมอมา และแฟนเพลงน่าจะยังคงไม่ลดหายไปง่ายๆ ในเร็วๆ นี้ อย่างแน่นอน
____________________
Story : Jurairat N.
Photos : Teenage Dream Corporation
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ