“The Weeknd Asia Tour Live in Bangkok” กับความอลังการทุกกระเบียดนิ้ว!
แม้จะย่างก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี 2018 แล้ว แต่คอคอนเสิร์ตชาวไทยก็ยังมีคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ให้ชมเป็นการส่งท้าย เพราะพระเอกของงานเป็นถึงเจ้าของ 3 รางวัลแกรมมี่ อวอร์ดส์ อย่าง The Weeknd เลยทีเดียว…
แอบแปลกใจพอสมควรที่การมาทัวร์ทวีปเอเชียของศิลปินหนุ่มชาวแคนาดาวัย 28 ปี ภายใต้ชื่อ “The Weeknd Asia Tour Live in Bangkok” ซึ่งจัดขึ้น ณ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี เมื่อค่ำวันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม 2561 ไม่แปะหราคำว่า Sold Out อาจเพราะคอดนตรีค่อนข้างสิ้นเนื้อประดาตัวไปไม่น้อยจากคอนเสิร์ตที่จัดกันแบบถี่ๆ จนต้องเก็บหอมรอมริบไว้ใช้จ่ายในช่วงปีใหม่กันบ้าง บริเวณโซน GA ที่เราปักหลักอยู่จึงไม่ได้เบียดเสียด ยืนกันหลวมๆ ออกสเต็ปแดนซ์กันได้สบายๆ เลยทีเดียว
โปสเตอร์ The Weeknd Asia Tour Live in Bangkok
ถึงจะเป็นค่ำวันอาทิตย์ แต่ประชาชนชาวไทยก็ยังไม่สามารถหลีกพ้นจากการจราจรที่ติดขัดได้ อาจเนื่องด้วยมหกรรมอีเวนต์ในเมืองทองธานีที่นับไม่หวาดไม่ไหว อย่างไรก็ตาม ทีมงาน Sanook! Music ก็พร้อมมากๆ ตั้งแต่ก่อนสองทุ่ม และอุ่นเครื่องด้วยโชว์เปิดสุดเจ๋งที่ทำเอาเราตาค้างจาก PNDA
หลายคนอาจสงสัยว่า PNDA เป็นใครมาจากไหน เขาคือบุรุษผู้มาพร้อมผ้าคาดปาก ชุดสีส้มเรืองแสง ไม้กลองประจำกายที่เรืองแสงเช่นกัน และเซตเพอร์คัสชั่นสเกลไม่ใหญ่ไม่เล็ก กับการผสมผสานระหว่างการหวดเพอร์คัสชั่นและดนตรี EDM เข้าไว้ด้วยกันได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ ใช่… อาจจะเรียกเขาว่าเป็นดีเจคนหนึ่งก็ได้ แต่สำหรับเรา เขาเป็นมากกว่านั้น
ความตื๊ดจากบีตอิเล็กทรอนิกส์อาจเป็นสิ่งที่ดีเจทุกคนทำได้ แต่การดีไซน์ไลน์กลองและบรรดาเครื่องเคาะ แพดต่างๆ รวมถึงเครื่องทองเหลืองลงไปกลับเป็นเอกลักษณ์ที่น่าสนใจและไม่มีใครเหมือน อีกทั้งข้อมือในการรัวไม้ลงไปในแต่ละลูกจัดว่าไม่ธรรมดา จัดรีมิกซ์เพลงฮิตในแบบฉบับของเขามาสร้างความเดือดอย่างต่อเนื่อง บอกตามตรงว่าสมราคาการเป็นศิลปินเปิดโชว์ให้ทัวร์ของ The Weeknd อย่างแท้จริง น่าเสียดายตรงผ้าคาดปากทำให้เราฟังเขาพูดไม่ค่อยจะรู้เรื่องเท่าไหร่ก็เท่านั้น
The Weeknd
พักเวทีอยู่ค่อนข้างนานทีเดียว แต่ท้ายที่สุดการรอคอยครั้งนี้ก็แสนจะคุ้มค่า The Weeknd ปรากฏตัวบนเวทีพร้อมกับสมาชิกร่วมทัวร์อีก 3 คนในตำแหน่งมือกีตาร์ กลอง และเบส (ที่เล่นคีย์บอร์ดด้วย) โปรดักชั่นบนเวทีทั้งวิชวลและระบบแสงที่คาดคะเนปริมาณดวงไฟไม่ถูกกันเลยทีเดียวว่ามีจำนวนมากเท่าไหร่ ที่น่าสนใจมากๆ คือการเซตเวทีเสมือนเป็นขั้นบันไดที่ดวงไฟอยู่ทั่วทุกจุด แต่ที่ฮือฮาไปมากกว่านั้นก็คือ หลังคากระจกขนาดมหึมาที่มีไลท์ติ้งส่องลงมาจากด้านบนอีกที เท่มาก สวยมาก อลังการมากๆ
ขออนุญาตข้ามองค์ประกอบบนเวทีไปชั่วครู่ Abel Tesfaye ที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีในนาม The Weeknd ประเดิมการมาเยือนเมืองไทยครั้งแรกด้วยความคึกคักจาก “Pray for Me” เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง Black Panther ที่ทั่วโลกต่างหลงใหล ก่อนจะต่อด้วย “Starboy” และ “Party Monster” ที่ทำให้แฟนๆ ทั้งชาวไทยและเทศโยกกันยับ ก่อนจะเบรกจังหวะลงมาเล็กน้อยด้วย “Reminder” และ “Six Feet Under”
เมื่อดนตรีอาร์แอนด์บีที่พ่วงด้วยอารมณ์ฮิปฮอปสไตล์ The Weeknd โคจรมาเจอเครื่องดนตรีสดอย่างกีตาร์ เบส กลอง นี่มันเด็ดจริงๆ นะ แทบจะก้มลงคุกเข่าคอคารวะเสียตั้งแต่ตอนนั้น เพราะสมาชิกแต่ละคนต้องบอกเลยว่าขั้นเทพ แต่ละเม็ดแต่ละไลน์ละเอียดยิบ ดนตรีสดว่าแน่นแล้ว ยิ่งเมื่อเปิดแบ็คกิ้งแทร็คเสริมเข้าไปยิ่งทำให้ตัวเพลงมีความเต็มอิ่มไปอีกขั้น และหากสังเกตให้ดี โชว์ของ The Weeknd แทบไม่มีจังหวะให้หยุดพัก บางเพลงนี่เรียงร้อยต่อกันเสมือนว่าเป็นเพลงๆ เดียวก็ว่าได้
นอกจากเพลงของตัวเองแล้ว The Weeknd ยังหยิบเอาแทร็คที่เขาไปร่วมฟีทเจอริ่งกับศิลปินคนอื่นมาโชว์ด้วย ไม่ว่าจะเป็น “Low Life” ของ Future, “Might Not” ผลงานจาก Belly หรือแม้แต่การร่วมงานกับ Drake ในเพลง “Crew Love” ก็เช่นเดียวกัน ในขณะที่เพลง “Sidewalks” ก็ทำเอาฮอลล์แทบแตก ก่อนที่หนุ่ม Abel จะหยิบเพลง “House of Balloons / Glass Table Girls” ตั้งแต่สมัยที่เขาทำมิกซ์เทปมาเล่นสดๆ ให้ฟัง แถมในเพลงหลังยังเรียบเรียงใหม่ในกลิ่นอายดนตรีร็อคอีกต่างหาก!
เซตเพลงเก่ายังคงดำเนินต่อไป เพราะ “Belong to the World” จากอัลบั้มเต็มชุดแรกอย่าง Kiss Land เมื่อปี 2013 ก็มา! ทำเอาหลายคนน้ำตาปริ่มเพราะไม่คิดว่าจะได้ฟัง ถึงคิวเพลงฮิตกันบ้างทั้ง “Secrets” และ “Can’t Feel My Face” ที่เต้นตามและร้องตามกันดังสนั่น เท่านั้นยังไม่พอ จัดกันต่อด้วย “In the Night” และ “I Feel It Comin’” เรียกได้ว่า The Weeknd จัดให้แบบรัวๆ ร้องตามกันยาวๆ
ดูทีท่าว่าเขาจะยังไม่เหนื่อยล้าลงแต่อย่างใด เหล่าสาวกของเขาก็เช่นกัน “Morning”, “Wicked Games” และอีกหนึ่งเพลงสุดฮิต “Earned It” ต่างทยอยบรรเลงออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง “Or Nah” ออริจินัลเวอร์ชั่นของ Ty Dolla $ign, “Often” และ “Acquainted” ปิดท้ายโชว์อย่างสุดประทับใจด้วยอีก 3 เพลงที่ทุกคนร้องตามได้อย่าง “Wasted Times”, “Call Out My Name” และ “The Hills” ที่ The Weeknd พาเท้าของทุกคนลอยจากพื้นฮอลล์อีกครั้ง
ต้องยอมรับว่าโปรดักชั่นสุดอลังการในทุกๆ กระเบียดนิ้วบนเวทีนั้นสร้างแรงดึงดูดใจได้อย่างอยู่หมัดแบบตลอดโชว์ แนวทางของ The Weeknd ไม่ใช่ว่าจะคึกคักชวนกระโดดโลดเต้นไปเสียทุกเพลง เพราะดนตรีอัลเทอร์เนทีฟอาร์แอนด์บีที่ผสมผสานความเป็นฮิปฮอปในแบบฉบับของเขานั้นค่อนข้างเน้นไปที่การดีไซน์ดนตรีให้ออกมามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสียมากกว่า แต่ด้วยทุกๆ องค์ประกอบของโปรดักชั่น รวมถึงการนำบทเพลงมาอะเรนจ์กับดนตรีสด กลับเพิ่มเสน่ห์ให้กับเพลงและโชว์ของเขาได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะในช่วงเพลง “Glass Table Girls” ที่จัดมาแบบร็อคหนักแน่นนี่ได้ใจสายร็อคอย่างเราไปเต็มๆ
ที่น่าตื่นตาตื่นใจแทบจะทุกวินาทีคงหนีไม่พ้นระบบแสงที่เข้าขั้นโหดเหี้ยมและยอดเยี่ยมในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะการส่องแสงลงมายังฝ้ากระจกที่แขวนไว้ด้านบนนับเป็นมิติใหม่ในการดูคอนเสิร์ตที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต ในขณะที่ระบบเสียงคงต้องบอกว่าเป็นไปตามมาตรฐาน ไม่ดีมาก และไม่แย่ เป็นระดับเดียวกับที่ศิลปินระดับโลกหลายคนมาเยือนอิมแพ็ค อารีน่า จะว่าอย่างนั้นก็คงไม่ผิดนัก
ที่อยากจะคารวะงามๆ สักหลายร้อยหลายพันครั้งก็คือ การดีไซน์โชว์ที่นำเสนอออกมาได้อย่างไร้ที่ติ นอกจากการเรียบเรียงดนตรีเสียใหม่แล้ว The Weeknd จัดการเชื่อมเพลงให้ต่อเนื่องกันแบบไร้รอยต่อในบางช่วงบางตอน เรียกได้ว่าโชว์ของศิลปินหนุ่มคนนี้แทบไม่มีช่วงเดดแอร์ และที่สำคัญ “การร้องเพลง” ของ The Weeknd นั้นอยู่ในระดับพระกาฬอย่างแท้จริง แต่ละการเปล่งเสียงในเพลงที่เขาแต่งเองมันเต็มไปด้วยความหมาย ความเข้าใจในการสื่อสาร อีกทั้งดีไซน์การร้อง เทคนิคต่างๆ และพลังนั้นไม่มีลดลงแม้แต่น้อย หากจะบอกว่า นี่คือสิ่งที่สวรรค์ประทานมาให้ Abel Tesfaye ก็คงไม่ผิดนัก และพรจากสวรรค์ดังกล่าว เขาก็นำมาต่อยอดสร้างความสุขให้กับแฟนเพลงของเขาอีกด้วย
ภาพที่ The Weeknd ยืนนิ่งพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ มุมปาก ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนในฮอลล์ ก็หวังว่าภายในใจของเขาจะเต็มไปด้วยความอิ่มเอมและยินดี จนอยากกลับมาจัดคอนเสิร์ตในบ้านเราอีกครั้งในอัลบั้มถัดๆ ไป
Story by: Chanon B.
Photos by: BEC-Tero Entertainment
อัลบั้มภาพ 50 ภาพ