Boyzone กับคอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายในไทยพร้อมภาพจำที่อบอวลด้วยรอยยิ้มและมิตรภาพ
Boyzone บอยแบนด์จากประเทศไอร์แลนด์บนถนนสายดนตรีป็อปกว่า 25 ปี เป็นหนึ่งในวงที่เรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็นวงยุค ‘90s อย่างแท้จริง และยังมีผลงานออกมาให้แฟนเพลงได้ติดตามกันอยู่เรื่องจนถึงปัจจุบัน กับอัลบั้มล่าสุดเมื่อปี 2018 อย่าง Thank You & Goodnight ที่พวกเขาเตรียมกล่าวลาแฟนเพลงในฐานะสมาชิก Boyzone และเริ่มต้นชีวิตการทำงานด้วยชื่อของตัวเองโดยไร้นามสกุลชื่อวงอย่างถาวร
ในงานแถลงข่าวคอนเสิร์ต BOYZONE THANK YOU & GOODNIGHT FAREWELL TOUR 2019 เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2019 โดยผู้จัด Godzillionaire ที่ผ่านมา นอกจากความประทับใจที่เหล่าสมาชิกทั้ง 4 คน Keith Duffy, Ronan Keating, Mikey Graham และ Shane Lynch ยืนยันว่าชอบอาหาร วัฒนธรรม และสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ รวมถึงผู้คนในประเทศไทยที่ให้การตอบรับพวกเขาอย่างอบอุ่นเสมอมา ทำให้พวกเขาไม่ลังเลที่กลับมาหาแฟนๆ ชาวไทยกันอยู่เรื่อยๆ และเป็นประเทศไทยเอเชียเพียงไม่กี่ประเทศที่พวกเขาเลือกที่จะทัวร์คอนเสิร์ตในนาม Boyzone เป็นครั้งสุดท้ายด้วยกันแล้ว พวกเขายังยืนยันอีกด้วยว่า พวกเขาไม่ได้หายไปไหน แม้ว่าจะไม่มี Boyzone แล้ว แต่พวกเขาก็จะยังคงวนเวียนอยู่ในวงการดนตรีที่พวกเขารัก รวมไปถึงสายงานบันเทิง และการเป็นคุณพ่อที่ดีของภรรยา และลูกๆ ที่น่ารักที่บ้านเกิดด้วย
บรรยากาศงานแถลงข่าว BOYZONE THANK YOU & GOODNIGHT FAREWELL TOUR 2019
คืนวันต่อมา 28 มีนาคม 2019 แฟนเพลงยุค ‘90s พาเพื่อน พี่น้อง สามีภรรยา ควงคู่กันมาชมคอนเสิร์ตเพื่อระลึกความหลังกันอย่างพร้อมเพรียงที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี แม้ว่ารถจะติดหนักพอสมควร แต่ส่วนใหญ่ก็มาจับจองที่นั่งในฮอลล์คอนเสิร์ตกันตามเวลา 20.00 น. แต่เมื่อคอนเสิร์ตเริ่มเลทไป 1 ชั่วโมง เวลาราว 21.00 น. ก็มีเสียงประกาศมาว่า Keith Duffy ป่วยกะทันหัน กำลังอยู่ในความดูแลของแพทย์ที่หลังเวที และคอนเสิร์ตจะเริ่มขึ้นในไม่ช้าด้วยสมาชิกวงที่เหลืออยู่ 3 คน วินาทีนั้นนึกเป็นห่วงสุขภาพของหนุ่ม Keith มากๆ ว่าจะเป็นอะไรมากหรือไม่ เพราะนอกจากคอนเสิร์ตในไทยแล้ว พวกเขายังต้องทัวร์ต่ออีกหลายประเทศ โดยวันรุ่งขึ้นพวกเขาต้องรีบบินไปทัวร์ทวีปออสเตรเลียต่อทันที แต่อีกใจหนึ่งก็รู้สึกเสียดายที่คอนเสิร์ตครั้งสุดท้ายของ Boyzone ในไทยจะไม่มีหนุ่มอารมณ์ดีขี้เล่นคนนี้บนเวที
21.08 น. โดยประมาณ จอมอนิเตอร์ปรากฎภาพทั้ง 4 หนุ่มในมาดเท่พร้อมกับอินโทรเพลง “Who We Are” จากอัลบั้ม BZ20 ที่ท่อนเพลง “We are worriors” ทำให้หนุ่มๆ ในมาดนักรบดูเท่ขึ้นอีกเท่าตัว เมื่อจอดับมืดลง สมาชิกที่เหลือทั้ง 3 คน Ronan Keating, Mikey Graham และ Shane Lynch เดินออกมาพร้อมท่อนเปียโนที่คุ้นหูจนทำให้แฟนๆ กรี๊ดลั่นตั้งแต่เพลงแรกกับ “Love Is A Hurricane” ท่าเต้นก้าวหน้าก้าวหลังในท่อนฮิต “One step forward, two steps back” ยังคงน่ารักน่ามองตามสไตล์บอยแบนด์สายร้องยุค ‘90s แม้อายุอานามแต่ละคนจะขึ้นเลข 4 กันหมดแล้วก็ตาม
หลังจากพูดคุยทักทาย และกล่าวขอโทษที่ให้รอนาน พร้อมฝากคำลาจาก Keith ที่ยังคงนอนป่วยอยู่หลังเวทีเรียบร้อยแล้ว หนุ่มๆ ก็เริ่มลดจังหวะมาที่เพลงซึ้งๆ อย่าง “Isn’t It a Wonder” ผลงานจากอัลบั้ม A Different Beat ในปี 1996 ในค่ำคืนนี้หนุ่มๆ สัญญาว่าทุกเพลงฮิตของ Boyzone ตั้งแต่ปี 1995 จนถึงปัจจุบัน ทุกคนจะได้ฟังกันอย่างเต็มที่แน่นอน ดังนั้นเพลงในยุค 1995-1999 อย่าง “Coming Home Now”, “Baby Can I Hold You”, “You Needed Me”, “All That I Need” และ “I Love the Way You Love Me” จึงทยอยร้องต่อๆ กันมาเรื่อยๆ คั่นไปกับช่วงคุยทักทายสั้นๆ ว่าคืนนี้พวกเราจะได้ยินคำว่า “ขอบคุณ” ตลอดโชว์แน่นอน เพราะพวกเขาตั้งใจทัวร์คอนเสิร์ตนี้เพื่อขอบคุณแฟนๆ ที่ให้การสนับสนุนพวกเขามาตลอด 25 ปี และนั่นก็เป็นที่มาของชื่ออัลบั้มล่าสุด Thank You & Goodnight อีกด้วย
“Father and Son” อีกหนึ่งเพลงโปรดของแฟนๆ ทั่วโลกที่โด่งดัง และสร้างชื่อให้กับ Boyzone อย่างมาก ถูกขับร้องโดย 3 สมาชิกที่เมื่อขาดเสียง Keith ไปแล้วก็รู้สึกว่าเสียงประสานไม่กลมกล่อมนุ่มนวลเท่าที่เคย เพราะขาดเสียงทุ้มต่ำนุ่มๆ ไป และน่าเสียดายที่ Shane กล่าวว่า เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของ Keith เพราะปล่อยออกมาในช่วงที่เขาเพิ่งจะได้พ่อคนครั้งแรกด้วย แต่เมื่อเหลือ 3 คน การร้องเพลงแทนกันเป็นไปอย่างธรรมชาติ อาจจะด้วยเพราะ Ronan Keating เป็นนักร้องหลักที่ร้องแทบจะทั้งเพลงอยู่แล้ว (ฮา) แต่การที่เสียงร้องหายไปเสียงหนึ่งในเวลากะทันหัน การแสดงตลอดทั้งโชว์ที่ยังคงทำได้ดีตามมาตรฐานเดิม ก็เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม อาจจะเพราะ 25 ปีที่ผ่านมาคงจะทำให้พวกเขาเจอเหตุการณ์ไม่คาดฝันบนเวทีมาทุกรูปแบบแล้วก็ได้
หลังการเสียชีวิตของ Stephen Gately คอนเสิร์ตของ Boyzone จะมีช่วง tribute ให้เขาอยู่เสมอ แต่พิเศษขึ้นอีกนิดที่มี VTR ที่สมาชิกแต่ละคนพูดถึง Stephen โดยเฉพาะ หลังจากย้อนเวลาไปในยุค ‘90s กันมาหลายเพลง จุดนนี้ทำให้แฟนๆ หลายคนนึกถึงภาพในความทรงจำของ Boyzone ในช่วงที่มี Stephen อยู่ในวงกันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่พวกเราได้ฟังเสียงของ Stephen ร้องคลอไปพร้อมกับเสียงของสมาชิกในวงบนเวที โดยพวกเขาเลือกเปิดไฟสปอตไลท์ยิงขึ้นมาจากพื้นเวที ประหนึ่งว่าเป็นตำแหน่งที่ Stephen จะยืนอยู่ ยืนเคียงข้าง และกอดคอกันร้องเพลง “Dream” ลงานจากอัลบั้มล่าสุดที่มีเสียงของ Stephen อยู่ในเพลงออริจินัลด้วย และต่อด้วยเพลงที่ทำให้หลายคนน้ำตารื้นอย่าง “Everyday I Love You” ที่ท่อนร้องของ Stephen ไม่สามารถหาเสียงใครมาร้องแทนได้จริงๆ
หากยังนึกถึง Stephen กันไม่มากพอ Boyzone จัดเพลง “Key To My Life” พร้อมมิวสิควิดีโอบนจอมอนิเตอร์ เผยให้เห็นสมาชิกในวงแต่ละคนในวัยละอ่อนหน้าใส ก่อนจะเข้าสู่เพลงฮิตในบ้านเราอีกเพลงอย่าง “Words” ผลงานคัฟเวอร์จากวง Bee Gees ที่พวกเขาชื่นชม และเป็นเกียรติที่ได้ร้องเพลงนี้จนถึงปัจจุบัน
การแสดงคอนเสิร์ตกับธันเดอร์โดมเป็นสิ่งที่เราห่วงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นศิลปินคนไหนที่มาเล่นก็มักจะตกม้าตายกับที่นี่เสมอ เพราะด้วยโครงสร้างที่เป็นสเตเดี้ยมแข่งกีฬามากกว่าจะเอาไว้จัดคอนเสิร์ต จึงทำให้ระบบเสียงมีปัญหามาหลายงาน แต่สำหรับงาน Boyzone อาจจะด้วยความโชคดีที่ไม่ได้ใช้ดนตรีสด บวกกับที่นั่งของเราในวันนี้ไม่ได้อยู่บนอัฒจรรย์ด้านบนอย่างเคย จึงอาจจะได้รับประสบการณ์ในการฟังเพลงในฮอลล์นี้แตกต่างจากงานอื่นๆ ถือว่าคุณภาพเสียงอยู่ในระดับดีทั้งจากเสียงดนตรี และเสียงนักร้องจากไมโครโฟน แต่การร้องเพลงกับ backing track ก็เป็นข้อเสีย เพราะอาจทำให้การแสดงโดยรวมดูแห้ง จืดชืด ไม่น่าสนใจเอาได้ง่ายๆ ซึ่งก็เกิดขึ้นกับโชว์ครั้งนี้ในบางช่วงเวลาเช่นกัน สิ่งที่ดีคือพวกเขาเรียบเรียงดนตรีของเพลงใหม่เกือบทั้งหมด นั่นจึงทำให้เกิดข้อแตกต่างจากการฟังเพลงในซีดีบ้างไม่มากก็น้อย นอกจากนี้เสียงร้องของ Ronan Keating ยังคงดีไม่มีตก พลังล้นเหลือจนสามารถลากเสียงยาวๆ ได้สบายๆ จุดนี้ทำเอาแฟนเพลงปรบมือให้ทั้งฮอลล์
ซึ้งปนเศร้ากันมาพอสมควร หนุ่มๆ ขอเพิ่มจังหวะให้ทุกคนได้โยกย้ายกับเพลงจากอัลบั้มล่าสุด “Talk About Love” ที่ Ronan กล่าวก่อนเข้าเพลงเอาไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า สมัยนี้ไม่มีใครซื้ออัลบั้มมานั่งฟังตั้งแต่เพลงแรกถึงเพลงสุดท้ายกันแล้ว ดังนั้นแทนที่จะคลุมโทนของอัลบั้มให้ไปในทิศทางเดียวกันทุกเพลงอย่างที่เป็นสูตรสำเร็จในการทำอัลบั้มของพวกเขาที่เคยทำมา ครั้งนี้พวกเขาลองทำอัลบั้มใหม่ด้วยการรวมเพลงที่แต่ละคนในวงชอบเข้าไว้ด้วยกัน แต่ละคนชอบเพลงไม่เหมือนกัน แต่ก็เอาเพลย์ลิสต์เพลงที่ตัวเองชอบมาใส่รวมไว้ด้วยกัน ดังนั้นอัลบั้มนี้จึงมีทุกแนวเท่าที่เรานึกออก urban pop, country, rock, EDM และอีกมากมาย และเพลง “Talk About Love” ก็เป็นอีกหนึ่งเพลงที่พวกเขาได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่พวกเขาไม่เคยทำมาก่อน เท่าที่เราเคยฟังมาแล้ว เราก็สงสัยเหมือนกันว่าไหงจู่ๆ ลุงๆ ก็มาสายป็อป EDM เหมือนกำลังฟัง “Something Just Like This” ของ Coldplay feat. The Chainsmokers เลยทีเดียว (มีจังหวะที่ Ronan ลืมเนื้อเพลงด้วย คงยังร้องไม่ค่อยเข้าปากเท่าเพลงเก่าๆ สินะ)
น่าเสียดายที่เพลงใหม่อาจจะไม่ใช่สไตล์ที่วัย 30+, 40+ ที่นั่งกันอยู่ในฮอลล์ลุกขึ้นมาเต้นหรือโบกไม้โบกมือได้มากนัก หนุ่มๆ จัดเพลงสนุกๆ ในอัลบั้มรวมเพลง Back Again...No Matter What ปี 2008 อย่าง “Love You Anyway” (เพลงโปรดของเราอีกเพลง) มาแบบไร้รอยต่อ อุ่นเครื่องพอให้อุ่นๆ แล้วก็จัดเพลงฮิตที่เหลืออยู่อย่าง “When You Say Nothing At All” เพลงฮิตของ Ronan Keating ที่กลายเป็นเพลงประจำคอนเสิร์ต Boyzone มาหลายทัวร์, “Love Me For A Reason” ที่ทุกคนร้องตามกันได้ทั้งฮอลล์อีกครั้ง, “When The Going Gets Tough” และเพลงธีมปิดโชว์ของ Boyzone อย่าง “A Different Beat” ที่ยังคงความขลังของเพลงที่พูดถึงมนุษยชาติ พร้อมท่าเต้นยกมือไปด้านข้างที่ปเ็น signature ของเพลงเอาไว้ได้ดีเหมือนเดิม
จังหวะนี้แฟนเพลงที่นั่งติดเก้าอี้นิ่งๆ เริ่มลุกกรูกันออกไปหน้าเวที เมื่อมีจังหวะที่แฟนเพลงสาวยื่นตัไปจับมือกับ Ronan ได้ หลังตะโกนเรียก encore ไม่กี่นาที ทั้งสามก็ออกมาเอนเตอร์เทนต์แฟนๆ เต็มที่กับ “Life Is a Rollercoaster” เพลงเดี่ยวของ Ronan ที่ยกให้ Boyzone ร้องประจำอีกเพลง และ “Picture of You” เพลงจังหวะน่ารักสนุกๆ ที่แฟนเพลงชาวไทยหลงรัก แต่ช่างน่าเสียดายที่แอบรู้สึกว่าแฟนเพลงในฮอลล์ “เครื่องร้อน” ช้าไปหน่อย หากลุกขึ้นโบกไม้โบกมือกันตั้งแต่ครึ่งโชว์แรก บรรยากาศโดยรวมของคอนเสิร์ตคงสนุกสนานมากกว่านี้ เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าพลังงานของทุกคนยังคงเหลือเฟือ พร้อมฟังเพลงเพราะๆ ต่อได้อีกหลายเพลง ศิลปินบนเวทีเองก็ผุดยิ้มพิมพ์ใจขึ้นมาบนใบหน้าอย่างชัดเจน (Ronan ไล่จับมือ และทำท่า mini heart ให้แฟนเพลงด้วย) ก่อนจะก้มตัวขอบคุณ และโบกมือลากับแฟนเพลงตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะสมาชิกวง Boyzone
ในฐานะที่เราเป็นแฟนเพลงของ Boyzone มายาวนานหลายปี และเคยชมการแสดงของพวกเขาที่มาเมืองไทยยเมื่อครั้งที่แล้วได้ ถึงแม้ว่ารูปแบบการแสดงคอนเสิร์ตของหนุ่มๆ จะไม่ได้มีอะไรหวือหวา ท่าเต้นดุ๊กดิ๊กน่ารักน่าเอ็นดูของทุกคนที่เป็นเอกลักษณ์ของบอยแบนด์สายร้องยุค ‘90s ก็เทียบอะไรไม่ได้กับรูปแบบโชว์ตระการตา ท่าเต้นเป๊ะทุกองศาของวง K-POP หลายๆ วงในปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่บอยแบนด์รุ่นพี่อย่าง Boyzone มีไม่แพ้ศิลปินวงไหนๆ คือความรักในเสียงดนตรี รักที่จะร้องเพลงในแบบที่พวกเขาเป็น ซื่อสัตย์กับตัวเองในการทำงานเพลมาตลอด 25 ปี กับเพลงเพราะฟังง่ายไม่อิงตามกระแสหลักจนเสียความตัวของตัวเองไป และความสัมพันธ์ฉันพี่น้องของสมาชิกในวงที่ยืนยาวจนเรียกได้ง่ายๆ ว่าเป็นครอบครัว นี่คือสิ่งที่เป็นเสน่ห์ที่ยากจะเลียนแบบของบอยแบนด์ยุค ‘90s
จนกว่าจะพบกันใหม่ ไม่ว่าจะในฐานะอะไรก็ตาม
Thank you & goodbye
____________________
Story : Jurairat N.
Photos : Godzillionaire
อัลบั้มภาพ 26 ภาพ