“โอ้ โอฬาร” เมื่อแพสชั่นแห่งชีวิตยังคงพลุ่งพล่าน และการเล่นดนตรีที่ไม่เคยคิดหยุดยั้ง | Sanook Music

“โอ้ โอฬาร” เมื่อแพสชั่นแห่งชีวิตยังคงพลุ่งพล่าน และการเล่นดนตรีที่ไม่เคยคิดหยุดยั้ง

“โอ้ โอฬาร” เมื่อแพสชั่นแห่งชีวิตยังคงพลุ่งพล่าน และการเล่นดนตรีที่ไม่เคยคิดหยุดยั้ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“อย่า อย่าหยุดยั้ง ก้าวไปยังสิ่งที่หมาย... ที่เธอใฝ่และฝัน ให้สมหวังดังใจปอง...”

คำร้องอันคุ้นหูจากบทเพลงในตำนาน “อย่าหยุดยั้ง” จากวงดนตรีสัญชาติไทยนามว่า ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ (The Olarn Project) ที่ขอแหวกกระแสในตลาดเพลงบ้านเราในช่วงยุค 80s ด้วยแนวเพลงแบบเฮฟวีเมทัล ดุเดือด เกรี้ยวกราด ริฟฟ์กีตาร์ใส่มาไม่ยั้ง ในขณะที่เพลงช้าก็บาดจิตบาดใจ กลายเป็นที่พูดถึงในความหาญกล้าที่จะขอสร้างท่วงทำนองที่พวกเขาหลงใหลด้วยมันสมองและสองมือของตนเอง

แน่นอนว่าหลายคนคงจดจำน้ำเสียงแหลมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของ โป่ง-ปฐมพงศ์ สมบัติพิบูลย์ ที่ต่อมากลายเป็นฟรอนต์แมนคนสำคัญของวง หิน เหล็ก ไฟ และ The Sun ได้เป็นอย่างดี...

แต่ Sanook! Music อยากจะบอกว่า บุคคลสำคัญที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่าง และทำให้ชื่อของ ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ ยังคงได้รับการยอมรับในฝีไม้ลายมือในวงการมาตลอดกว่า 30 ปีนั้นมีชื่อว่า โอ้-โอฬาร พรหมใจ ผู้เป็นทั้งผู้ก่อตั้งวง, มือกีตาร์ และนักแต่งเพลงมือดีคนนี้ต่างหาก

โอ้-โอฬาร พรหมใจ

โอ้-โอฬาร พรหมใจ แห่ง ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์

 

ทำนองที่เต็มไปด้วยเสน่ห์เกินบรรยายของเพลง “อย่าหยุดยั้ง” รวมถึงการเรียบเรียงเพลงก็เป็นฝีมือของหนุ่มใหญ่วัย 64 ปีเช่นเขานี่ล่ะ

20 เมษายน 2562 ที่จะถึงนี้ คือนัดหมายการรวมพลชาวร็อคในคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งแรกในรอบ 32 ปีของ ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ ภายใต้ชื่อ “The Olarn Project : X-Fire ทั้งที ไม่ลังเลใจแม้แต่นิดเดียวที่จะขอสนทนากับชายผู้เปรียบเสมือนทุกสิ่งอย่างของวงดนตรีวงนี้

โปสเตอร์คอนเสิร์ต The Olarn Project : X-Fire

โปสเตอร์คอนเสิร์ต The Olarn Project : X-Fire

 

เราเลือกที่จะไม่กำหนดคำถามเอาไว้มากนัก เพราะการแลกเปลี่ยนทัศนคติระหว่างผู้เขียนและมือกีตาร์ชั้นเซียนระดับประเทศผู้นี้ซึ่งอายุห่างกันราว 2 เท่า น่าจะเป็นอะไรที่น่าสนใจ และออกรสอยู่ไม่น้อย

ไฟปรารถนาในการเล่นดนตรียังคงลุกโชน รวมไปถึงไฟในการใช้ชีวิตยังคงไม่มอดดับ เราสัมผัสได้จากแววตาอันมุ่งมั่นของเขา... โอ้ โอฬาร

 

กว่า 30 ปีในวงการเพลงเมืองไทย วงดนตรี The Olarn Project มอบอะไรให้คุณบ้าง?

มอบอะไรหรือ... ผมเป็นคนสร้างวงดนตรีวงนี้ขึ้นมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ วงๆ นี้ทำให้เรารู้สึกว่า เราจะต้องดูแลตัวเอง ดูแลวิธีการคิดของเรา มันเหมือนขุมพลังอันหนึ่ง เพราะว่าเราชื่อ โอฬาร ฉะนั้นงานของ The Olarn Project จะต้องออกมาในรูปแบบเดียวกับที่เรามีทัศนคติต่อดนตรี ต่อสิ่งรอบข้าง สิ่งรอบข้างมันเป็นทั้งความสุขของคน เป็นสิ่งที่ควรจะได้รับการซ่อมบำรุง เช่น ธรรมชาติ การที่เราพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เราไม่ได้ไปช่วยหรอก แต่เรามองเห็นว่าปัญหามันเกิดจากอะไรบ้าง จะต้องแก้ไขด้วยอะไร ทุกอย่างเกิดจากความกล้าหาญและทัศนคติของคนทั้งนั้น เราต้องกล้าหาญ เราต้องมีความรู้ให้พอ ตอนเราออกเดินทางทำทุกอย่างไม่ได้ใช้แค่สติอย่างเดียว แต่ต้องมีปัญญากำกับไว้ด้วย

แต่ในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา The Olarn Project ไม่ได้มีผลงานในเชิงอัลบั้มเต็มออกมาเลย?

10 ปีที่ผ่านมาจริงๆ ก็เตรียมงานสำหรับอัลบั้มชุดใหม่อยู่นะ ตอนแรกจะไปอัดที่อังกฤษ ที่ Abbey Road แต่ด้วยปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างก็ทำให้โครงการดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น แล้วจู่ๆ ก็คิดว่า ก่อนจะมีชิ้นงานใหม่ มันถึงเวลาแล้วที่จะให้ทุกคนกลับมารวมตัวกันอีก เอาตั้งแต่สมาชิกยุคก่อตั้ง มาจนถึงยุคที่สอง สาม สี่ มาเล่นดนตรีด้วยกัน ผมก็มีหน้าที่ที่จะต้องเรียบเรียงงานเพลงให้มีสีสันใหม่ๆ มุมมองใหม่ๆ แต่ยังคงซึ่งเรื่องราวเดิมในการนำเสนอเอาไว้ แน่นอนล่ะว่าทักษะของทุกคนมีเพิ่มเติมมากขึ้นจากที่แต่ก่อนขีดจำกัดของเราก็ยังมีอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันมันสามารถที่จะทำอะไรได้มากขึ้นโดยคงสตอรี่เดิมๆ เอาไว้

เชื่อว่าสาวกของ The Olarn Project ตั้งแต่ยุคแรกๆ คงมีความสุขกับคอนเสิร์ต The Olarn Project : X-Fire แน่นอนอยู่แล้ว แต่สำหรับเด็กรุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นใหม่ คุณอยากให้เขามาดูคอนเสิร์ตครั้งนี้ไหม?

คือ... มันก็คงเหมือนครอบครัว เวลาเราเห็นลูกๆ ก็แอบคิดว่า พ่อก็เคยมีไอเดียอย่างนี้อย่างนั้นนะ ลูกสามารถเติมแต่งหรือพัฒนาบางสิ่งบางอย่างจากไอเดียของพ่อได้ ดนตรีก็เหมือนกัน เราก็อยากให้คนมาฟังดนตรีของเรา ทั้งนักฟังเพลง หรือแม้แต่คนที่ไม่ใช่นักดนตรี ก็สามารถสัมผัสบางอย่างในมุมมองของผมได้ ที่ผ่านมาผมมีทัศนคติต่อดนตรีและสิ่งรอบข้างอย่างไรบ้าง สิ่งสำคัญก็คือ ผมเล่นดนตรีตลอด ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น (หัวเราะ) เขียนรูปกับเล่นดนตรีอยู่แค่ 2 อย่าง นอกนั้นก็ดูแลครอบครัว

 

>> สิ้นสุดการรอคอย! "The Olarn Project" ประกาศรวมตัวจัดคอนเสิร์ตใหญ่ในรอบ 32 ปี

 

การที่วงดนตรีวงหนึ่งจะได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ The Olarn Project ทำได้?

ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะ ว่า The Olarn Project คือตำนานแห่งวงการเฮฟวีเมทัลเมืองไทยอะไรอย่างนั้น หรือบางคนยกให้เราเป็น The Godfather of Thai Heavy Metal ผมอยากให้ลองเติม O ไปอีกตัว เป็น Good Father (หัวเราะ) ผมว่าอย่างนี้ดีกว่า

เอาเข้าจริงดนตรีแนวเฮฟวีเมทัลก็ไม่เคยอยู่ในกระแสหลักมาแต่ไหนแต่ไรเหมือนกับเพลงป็อป หรือป็อปร็อค ช่วงเวลาที่ผ่านมาคุณมองว่าในบ้านเรามันมีพัฒนาการในเรื่องนี้บ้างไหมว่ามันจะสามารถเข้ามาอยู่ในเมนสตรีมได้?

มันขึ้นอยู่กับองค์ประกอบมากกว่า เพราะมันมีทั้งคนฟัง คนผลิต จากฝั่งคนผลิตก็จะมีบางส่วนที่เป็นคนผลักดัน ทีนี้เราจะมองในทิศทางเดียวกันหรือเปล่าล่ะ เพราะนักดนตรีก็จะมองอีกแบบหนึ่ง

ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์

ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์

 

นักดนตรี คนฟัง คนผลิต มองเรื่องนี้กันคนละแบบ?

คนที่สื่อสารหรือนำผลงานไปสู่คนฟังเขาคิดไม่เหมือนกันนะ จะคิดแบบคอมเมอร์เชียล คิดแบบนักดนตรี นักดนตรีก็มีคิดหลายแบบอีก คิดตามผู้ผลิตซึ่งเป็นคนสั่งหรือเปล่า นักดนตรีบางประเภทก็แค่เล่น นำเสนอ และถ่ายทอดอย่างที่ตัวเองเข้าใจ อย่างที่ตัวเองต้องการ เราอาจจะใช้คำว่า แพสชั่น (passion) ได้ ซึ่งมันก็ไม่มีคำไหนที่แทนคำว่าแพสชั่นได้อีกแล้ว บางอย่างเราต้องมองในแง่มุมที่ลึก เรื่องดนตรีในเชิงลึก คำพูดต่างๆ แม้แต่ที่เราจะใช้ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย แต่สำหรับบางอย่างมันก็ยังให้คำนิยามไม่ได้ชัดเจนเท่ากับคำที่มีอยู่ ความรักในดนตรี ความทุ่มเท ความผูกพัน ความตั้งใจ ความจริงจัง ความจริงใจกับดนตรี ทั้งหมดมันรวมอยู่ในแพสชั่นใช่ไหมล่ะ นั่นแหละ เหล่านี้เราก็จะเห็นว่า ทำไมมันถึงมีข้อแตกต่างของดนตรีเยอะ ก็เพราะว่าดนตรีนั้นไม่มีใครกำหนดได้นอกจากตัวคุณเอง รสนิยมจะเป็นตัวบ่งบอกได้เลยว่าชอบไหม ไม่ชอบก็ไม่ฟัง ชอบก็ซื้อ ก็แล้วแต่ ถูกไหม

การที่วงดนตรีสักวงจะประสบความสำเร็จได้ พวกเขาต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้างในมุมมองของคนที่อยู่ในวงการมายาวนาน?

อันดับแรกต้องมีความมุ่งมั่น มีความรัก สิ่งที่จะต้องติดตัวเราไปตลอดก็คือ การมองเห็นบางสิ่งบางอย่างให้แตกฉาน การแตกฉานก็คือ แม้แต่เรื่องครอบครัว เรื่องดนตรี เรื่องเพื่อน เราปฏิบัติต่อเพื่อนอย่างไร เพื่อนปฏิบัติต่อเราอย่างไร เพราะทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต แล้วมันก็เกี่ยวข้องกับดนตรีทั้งหมด ถ้าเกิดเรามีอะไรที่ไม่ค่อยสบายใจ มันย่อมส่งผลต่อการทำงาน เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือ เราเข้าใจมัน เขาเรียกว่า มองสิ่งรอบตัวให้แตกฉานเท่าที่จะทำได้ มันสามารถนำพาเราไปสู่ทุกสิ่งทุกอย่างได้ อีกอย่างหนึ่งคือ เราไม่ได้ไปแข่งกับใคร ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากที่เราต้องถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า เราเข้าใจสิ่งที่เราสร้างขึ้นมามากน้อยแค่ไหน และเข้าใจมันหรือไม่ต่างหาก

คำว่า อย่าหยุดยั้ง สำคัญต่อคนที่เป็นศิลปินหรือนักดนตรีมากน้อยแค่ไหน?

คือพอเราเห็นปัญหาของคนมาเยอะ เราเห็นว่าจริงๆ มันไม่ใช่ปัญหาเลย มันเป็นแค่ประสบการณ์หนึ่งที่บางคนถูกหล่อหลอมขึ้นมา มันทำให้คนเหล่านี้ไม่มีพลัง ไร้กำลัง ไม่มีเลย การไปสู่จุดหมายมันไม่มีใครพาเราไปได้นอกจากตัวเราเองนะ เท่านั้นเอง เราหยุดยั้งไม่ได้ เพราะว่ามันถอยไม่ได้ หยุดได้ แค่หยุดมอง ประมวลผลว่าที่ผ่านมามันมีข้อผิดพลาดอะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าท้อแท้สิ้นหวัง คำพูดของคนทำให้เราสิ้นหวังไหม หรือตัวอย่างของใครบางคนทำให้เรารู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้ ก็แค่นำมาใช้ และแค่อย่าหยุดทำแค่นั้นเอง

 

ย้ำกันอีกครั้งสำหรับคอนเสิร์ต The Olarn Project : X-Fire ที่จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 20 เมษายน 2562 ณ BG Hall รังสิตคลอง 3 (ตรงข้ามสวนสนุกดรีมเวิลด์) พบกับสมาชิก ดิ โอฬาร โปรเจ็คต์ ทุกรุ่น นำทีมมาโดยยุคบุกเบิกซึ่งนอกจาก โอ้ โอฬาร และ โป่ง ปฐมพงศ์ แล้ว ก็ยังมี ทักษ์-พิทักษ์ ศรีสังข์ (เบส), กุ๋งกิ๋ง-ชนินทร์ แสงคำชู (กลอง) และ แตงโม-ฉัตรพงษ์ นิยมไทย (คีย์บอร์ด) และอื่นๆ อีกมากมายในวันแสดงจริง บัตรราคา 1,000 บาท จับจองกันได้ที่ All Ticket 7-11 ทุกสาขา รวมถึงเฟซบุ๊กเพจ HEAVY Organizer โต้โผของคอนเสิร์ตครั้งนี้นั่นเอง

Story by: Chanon B.
Photos by: Ditsapong K. / HEAVY Organizer

อัลบั้มภาพ 47 ภาพ

อัลบั้มภาพ 47 ภาพ ของ “โอ้ โอฬาร” เมื่อแพสชั่นแห่งชีวิตยังคงพลุ่งพล่าน และการเล่นดนตรีที่ไม่เคยคิดหยุดยั้ง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook