“YOUNGOHM” ความลับของ “ธารารัตน์” และหัวใจที่พร้อมจะสู้เพื่อดนตรีที่เขารัก
กรกฎาคม 2560 ประโยคที่ว่า “ยังไม่ได้นอน...” กลายเป็นวลีฮิตที่เอื้อนเอ่ยกันทั่วบ้านทั่วเมือง
มีนาคม 2562 ประโยคที่ว่า “รู้ไหมว่าเธอน่ารักตอนเมา โอ้ธารารัตน์เบาๆ แต่ไม่ตกหลุมรักคนเมา ไม่เอาหรอก” ต่างวนเวียนอยู่ในหัวตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง
เป็นเวลาเกือบ 2 ปีที่แร็ปเปอร์หนุ่มวัยเพียง 20 ปีนามว่า YOUNGOHM (ยังโอม) หรือในชื่อที่แท้จริงว่า โอม-รัธพงศ์ ภูรีสิทธิ์ ก้าวกระโดดจากการเป็นแร็ปเปอร์ใต้ดินที่มีแฟนเพลงจำนวนไม่มากนัก เริ่มเป็นที่รู้จักจากศึกแร็ปแบทเทิลแห่งยุค The War is On จากกลุ่ม Rap is Now กระทั่งวันนี้ เขาคือแร็ปเปอร์ที่ไม่มีใครไม่รู้จัก
“เฉยเมย” กับตัวเลขกว่า 130 ล้านวิว สู่ 3 เพลงล่าสุดอย่าง “ดูไว้” ที่ใช้ระยะเวลา 4 เดือนในการสร้างยอดเข้าชมมากกว่า 120 ล้านครั้ง, “คึกคะนอง” อีก 37 ล้านวิวภายในเวลา 2 เดือน และ “ธารารัตน์” ซิงเกิลใหม่ที่กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ ทั้งในเรื่องชื่อเพลงว่า YOUNGOHM เอ่ยถึงสาวคนใด รวมไปถึงเมโลดี้ที่ติดหูหนับฟังซ้ำก็ไม่มีเบื่อ และเพียงแค่หนึ่งเดือนเศษ เพลงดังกล่าวกำลังจะขึ้นแท่น “ร้อยล้านวิว” อีกครั้ง (นับยอดวิวถึงวันที่ 12 เมษายน 2562)
ทั้ง 3 เพลงติดอันดับ Global Music Chart ของเว็บไซต์ YouTube กลายเป็นปรากฏการณ์ที่หนุ่มคนนี้สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะให้อดใจไหวต่อไปได้อย่างไร Sanook! Music จึงฉกตัว YOUNGOHM มาคุยเรื่องลับๆ ของธารารัตน์ที่หลายคนอยากรู้ และเคล็ดลับความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยที่เขาบอกกับเราด้วยแววตาที่จริงจังว่า... “ถ้าคุณไม่สู้ ก็ไม่มีใครเอามาให้คุณหรอก”
ในตอนนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่า คุณเป็นหนึ่งในแร็ปเปอร์ที่มาแรงที่สุดของยุคสมัยนี้ รวมไปถึงปรากฏการณ์ของเพลง “ธารารัตน์”, “คึกคะนอง” และ “ดูไว้” ที่ติด Global Music Chart ของ YouTube ไหนลองวิเคราะห์หน่อยสิว่า อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทั้ง 3 เพลงดังกล่าวประสบความสำเร็จในระดับนั้นได้?
ทั้ง 3 เพลงผมเป็นคนคิดคอนเซ็ปต์ทั้งหมด ผมเอามาจากเรื่องจริง จากชีวิตของผม ผมว่าคนฟังเขารู้สึกได้นะว่า นี่มันคือเรื่องจริง แล้วผมว่าทั้ง 3 เพลงมันมีข้อคิดให้คนสามารถนำไปคิดต่อได้จากเหตุการณ์ในเพลง เขาจะเอาไปเป็นแรงบันดาลใจ หรือไปทำอย่างไรต่อกับชีวิต ผมรู้สึกว่าเพลงที่ดีคือเพลงที่เราสามารถสื่อให้คนเข้าใจได้ว่า เรากำลังพูดถึงอะไรอยู่ เรากำลังอยากให้เขารู้เรื่องอะไร แล้วก็อาจจะด้วยสไตล์ของผมที่พยายามหาอะไรใหม่ๆ มาทำกับเพลงไทย ซึ่งมันยังไม่ใช่สไตล์ที่แพร่หลาย อย่าง “ธารารัตน์” จริงๆ แล้วมันก็ไม่ใช่เพลงที่แสดงทัศนคติอะไรมากมาย เป็นเพลงง่ายๆ ที่ผมเล่าเรื่องว่าไปเจอผู้หญิงเมามา เนื้อหามันสนุกดี แล้วมันเป็นเพลงป็อป เป็นเพลงที่คนไทยฟังกันง่ายๆ ร้องตามง่าย สามารถคัฟเวอร์ได้ง่าย
แสดงว่าแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงหรือเขียนท่อนแร็ปมาจากชีวิตจริงของคุณล้วนๆ?
ใช่ครับ ทั้งเรื่องราวรอบตัวที่เจอมา สิ่งที่เรารู้สึก ความคิดที่อยากจะบอกกับเพื่อน บอกกับคนที่เรารัก หรือบอกกับผู้หญิงคนหนึ่งที่เราเจอ ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมาแต่ง หรือจะให้แต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ สร้างเรื่องขึ้นมา มันก็คิดยาก ผมว่ามันง่ายที่สุดแล้วกับการเอาเรื่องรอบๆ ตัวมาเขียน เหมือนคนเล่าเรื่องให้เพื่อนฟัง กูไปเจอผู้หญิงคนนี้ที่ร้านเหล้าว่ะ เต้นโคตรเก่งเลย (หัวเราะ) อะไรแบบนี้ ผมว่าเรื่องราวเหล่านี้มันสามารถฟังได้ตลอดเวลา
เปรียบเสมือนว่าเพื่อนนั่งคุยกันในวงสังสรรค์?
ใช่ อย่างเพลง “ดูไว้” ถ้าคุยกับเพื่อนก็จะเป็นฟีลแบบว่า เออ มันดูถูกกูไว้ วันนี้ดูกูสิว่าเป็นไง แค่เราใส่ลงไปในเพลงที่มีทำนอง มีจังหวะ คนที่ฟังเขาก็ยังได้รับเรื่องราวเหมือนที่เราคุยกับเพื่อนเหมือนเดิม เพียงแค่มันสนุกขึ้น มันได้แรงบันดาลใจด้วย บางคนบอกว่าฟังเพลงก่อนสอบแล้วฮึดเลย สู้เลย ก็เหมือนผมที่บางทีฟังเพลงต่างประเทศแล้วก็ฮึดสู้เหมือนกัน เพลงฮิปฮอปบางเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสู้ชีวิต ฟังแล้วผมก็คึก อยากออกไปสู้ชีวิต
เมื่อสักครู่นี้คุณบอกว่าเพลง “ธารารัตน์” คือเรื่องจริงที่คุณไปเจอผู้หญิงคนหนึ่งมา?
แค่คืนเดียว หรือสองคืนวะ (หัวเราะ)
ทำไมคุณถึงอยากเล่าเรื่องราวของผู้หญิงคนนี้ผ่านเพลงของคุณ?
จริงๆ ผมเจอผู้หญิงเยอะมาก (หัวเราะ) แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะแต่งเพลงให้ทุกคนหรอกถ้าผมไม่ได้ประทับใจจริงๆ แต่คนนี้เขามีอะไรบางอย่างที่ผมประทับใจ เขาพูดกับผมว่า แต่งเพลงให้เขาด้วยนะ มันเป็นความรู้สึกแบบว่า ผู้หญิงคนนี้มันเล้าหลือดีว่ะ กลับมาจากวันนั้นที่เจอกันก็ยังมีคุยกันบ้าง บางทีเขาก็ถามขึ้นมาว่า แต่งเพลงให้เขาหรือยังเนี่ย เออ คนนี้มันแปลกดี แล้วมีวันหนึ่งผมก็นั่งเปิดบีตฟังไปเรื่อยๆ ก็นึกถึงผู้หญิงคนนี้ขึ้นมา ก็เลยลองแต่ง กลายเป็นเพลงนี้แหละ แค่นี้เลย (หัวเราะ) แต่งถึงเรื่องราวที่ผมเจอมาแล้วรู้สึกกับมัน ผมรู้สึกแบบนี้
ฟีดแบ็กที่หลายคนพูดถึงคือ ทำนองที่วนลูปไปเรื่อยๆ มันหลอนอยู่ในหัวเหมือนกันนะ?
(หัวเราะ) มันก็วนเวียนด้วยเมโลดี้ที่ฟังคล้ายๆ กัน เพียงแต่ว่าถ้าฟังเนื้อหา มันจะค่อยๆ เล่าไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เดินเข้ามาเจอกันจนถึงสุดท้าย ผมก็แต่งของผมไปเรื่อยๆ ไม่ได้มานั่งคิดว่าคนจะต้องจำได้
พอมาถึงจุดที่อาจจะพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าคุณประสบความสำเร็จ มันรู้สึกอย่างไร?
ก็ดีใจครับที่มีคนชอบเพลงของเรา เพราะจริงๆ มันมีบางเพลงที่ปล่อยออกไปแล้วมันก็ไม่ได้ดัง ผมรู้สึกว่าเราทำถูกแล้วที่ทำในแบบที่เราชอบไปเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าบางเพลงมันจะไม่ดัง แต่ว่าเราชอบ แค่นั้นคือจบแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้คนตัดสินกันไป ถ้าเขาชอบ เขาก็ฟังกันเยอะ ถ้าเขาไม่ชอบ เขาก็ไม่ฟัง แค่นั้นเอง แต่ถ้าย้อนกลับไปตั้งแต่เพลงแรกที่ผมทำ ผมก็ไม่ได้หวังจะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว
แร็ปเปอร์ที่ชื่อ YOUNGOHM มีสูตรสำเร็จในการแต่งเพลงไหม?
มีนะ สูตรก็คือ สมมติว่าผมไปทำเพลงกับศิลปินคนหนึ่ง เขาทำเพลงเกี่ยวกับการลืมผู้หญิงคนนี้ไม่ได้สักที ผมก็จะมานั่งคิดว่า เราคิดอย่างไรหรือเคยเจอเรื่องอะไรมากับหัวข้อนั้น เอ๊ะเราเคยรู้สึกแบบนี้นี่หว่า ทำไมผู้หญิงบางคน เรารู้ว่าเป็นคนไม่ดี แต่เราลืมไม่ได้ ผมก็แค่พูดออกไปว่าเรารู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้ เรื่องผู้หญิงคนนี้ ในทุกๆ หัวข้อ ทุกๆ โจทย์ซึ่งไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้ว ผมจะใช้เรื่องของผมเขียนลงไป
แล้วถ้าโจทย์ที่คุณได้รับ คุณไม่มีประสบการณ์ร่วมล่ะ?
ผมก็ไม่ทำ (หัวเราะ) เพราะผมไม่รู้จะพูดอะไร อย่างถ้าเป็นเรื่องการเมือง ผมก็ไม่อยากพูด เพราะผมไม่ได้สนใจหรือไม่ได้มีความรู้สึกอินอะไรขนาดนั้น ซึ่งมันก็แล้วแต่สไตล์ของแร็ปเปอร์หรือศิลปินแต่ละคน แต่ผมเลือกจะพูดในเรื่องที่ผมอยากจะพูดมากกว่า
อย่างเรื่อง ออโต้จูน ที่เคยเกิดประเด็นดราม่าเล็กๆ มันก็เป็นสิ่งที่คุณชอบและอยากนำเสนอ?
ใช่ ผมก็ไม่เข้าใจว่ามันไปเดือดร้อนใครตรงไหน ผมไม่ได้ไปยัดหูใครฟัง ใครอยากฟังก็ฟัง ใครไม่อยากฟังก็ไปฟังเพลงคนอื่น ผมมีวงที่ชอบและไม่ชอบ แต่ผมก็ไม่เคยไปต่อว่าวงที่ผมไม่ชอบ เขาก็ทำในทางของเขา ผมก็ทำในทางของผม คนไทยบางกลุ่มชอบตัดสินคนอื่นไปก่อน ตัดสินไปแล้วเขาต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่จริงๆ แล้วเขาก็เป็นตัวของเขาเอง คุณไม่ต้องไปสนหรอกว่าเขาจะทำอะไรถ้ามันไม่ได้เดือดร้อนคุณ ผมทำเพลง ผมก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเดือดร้อน ผมไม่ได้ไปขอเงินใครมาทำเพลงนะ (หัวเราะ)
เห็นว่าในช่วงนั้นคุณโดนต่อว่าค่อนข้างหนักทีเดียว?
บางทีเขาเข้ามาด่าผม แล้วผมทำเพลงด่าคืน เขาก็ยังมาร้องอีกว่า ศิลปินโดนแค่นี้ถึงกับต้องทำเพลงด่ากลับเลยหรือ แล้วผมไม่ใช่คนหรือ ผมต้องมานั่งฟังคนอื่นด่าผมอย่างเดียวหรือ ผมทำเป็นเพลงออกมาผมว่ามันคือความคิดสร้างสรรค์นะ ผมก็ยังทำเพลงให้คนได้ฟังกัน ไม่ได้มานั่งพิมพ์ด่าหน้าเฟซบุ๊กมั่วๆ ซั่วๆ ผมว่ามันสะท้อนความคิดของคนเราได้นะ บางคนเขาคิดกันได้แค่นั้นจริงๆ คนที่เขามีหน้าที่การงานที่ดีหรือมีชีวิตที่ดี เขาก็ใช้ชีวิตของเขาไป มีเงินให้ครอบครัวใช้ก็จบ ไม่ต้องคอยมานั่งตำหนิคนอื่น
ในยุคนี้มีแร็ปเปอร์รุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย คุณมองว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อวงการเพลงเมืองไทยไหม?
ดีครับ เพราะเหมือนกับว่าคนเรามีอิสระทางความคิดมากขึ้น แล้วก็กล้าที่จะทำอะไรที่ไม่ใช่แต่ที่ผู้ใหญ่บอกอย่างเดียว กล้าที่จะสู้ด้วยตัวเอง ลงมือทำด้วยตัวเอง อยากแร็ปก็แร็ป แม่ไม่ให้แร็ป กูก็จะแร็ป (หัวเราะ) สุดท้ายแล้วผมว่า ถ้าประเทศมันจะดีขึ้น ทุกคนต้องมีความสุขในอาชีพของตัวเอง ถ้าทุกคนออกไปทำงานแล้วต้องเครียดทุกวัน พวกเขาจะทำงานได้ดีได้อย่างไร ผมไม่เข้าใจนะ ที่ผมทำงานได้ ทำเพลงได้ เพราะผมมีความสุข มีเงินให้ครอบครัวบ้าง ดูแลตัวเองได้ พอผมมีความสุข ผมก็ทำเพลงแบบมีความสุข ไม่ใช่แค่ศิลปินนะ จะเป็นหมอหรือวิศวกร ที่สุดของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็เกิดจากความคิดของคนเรานี่แหละ แต่ในบางครั้งความคิดของเราก็โดนกดเอาไว้ บอกว่าแบบนี้มันผิด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันไม่มีอะไรผิดเลยถ้ามันไม่ได้ไปเดือดร้อนคนอื่น ถ้าเขาอยากทำ มันก็เป็นสิทธิของเขาในการที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ สิทธิที่จะเลือกว่าเขาจะเป็นอะไร ผมว่ามันถูกแล้วที่เด็กๆ ออกมาทำอะไรที่เขาอยากทำ ผมไม่ชอบที่ผู้ใหญ่จะมาบอกให้เด็กทำแบบนู้นทำแบบนี้ทั้งๆ ที่เขาไม่อยากทำ ผมว่าชีวิตคนเรามีค่ามากกว่าที่จะต้องโดนคนอื่นชี้แนะชี้นำว่าต้องเป็นอย่างนั้นต้องเป็นอย่างนี้
คุณมองว่าประเทศเรายังดีขึ้นได้กว่านี้อีก?
แน่นอน ผมคิดว่าในยุคที่ผ่านๆ มา ประเทศไทยในเรื่องของความคิดบางทียังโดนปิดกั้น ผู้ใหญ่จะเป็นคนชี้ทิศทางให้เด็กตลอดว่า ต้องไปเส้นทางนี้นะ ต้องเป็นหมอ ต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมเบื่อเรื่องพวกนี้นะ ผมอาจจะเสพความเป็นอเมริกาเยอะ ผมฟังเพลงฮิปฮอปอเมริกา ผมดูว่าเขาทำอะไรกัน ทำไมเด็กที่นู่นเขามีสิทธิเลือก บางคนออกจากบ้านไปสู้ชีวิตตัวคนเดียว หาเงินเอง ไม่ต้องมานั่งขอเงินพ่อแม่ อยากทำอะไรก็ออกไปสู้ ผมก็อยากเป็นแบบนั้น ผมไม่ได้อยากได้เงินจากพ่อแม่ ผมสู้ของผมเองได้ ถ้าให้ผมไปทำในสิ่งที่ผมไม่ชอบ ผมไม่ทำ สู้ให้ผมไปอยู่ข้างถนนดีกว่า การได้สู้เพื่อสิ่งที่ผมรัก มันดีกว่าผมไปสู้เพื่อสิ่งที่ผมไม่ได้รัก ผมไม่รู้จะสู้ไปเพื่ออะไร ผมรู้ว่านี่คือชีวิตของผม ผมมีชีวิตเดียว ผมจะต้องไปฟังคนอื่นแล้วใช้ชีวิตแบบนั้นไปตลอดชีวิตเพื่ออะไร ผมไม่ใช่สัตว์ ผมเป็นมนุษย์ที่มีความคิด แล้วก็คิดเอง เลือกเองได้ แต่กฎของผมก็คือ ผมจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะทำอะไร เต้นบ้าบอคอแตก ร้องเพลงหรืออะไรก็ตาม ผมจะไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ไม่ทำคนอื่นก่อน ผมอยู่ในโซนของผม เลี้ยงดูตัวเองได้ เงินเหลือก็แบ่งปัน แค่นั้นก็มีความสุขแล้ว นี่คือศาสนาของผม (หัวเราะ)
อยากประสบความสำเร็จแบบ YOUNGOHM คุณมีเคล็ดลับไหม?
ก็ต้องทำครับ ทำเท่านั้น ทำต่อไป คือผมบอกได้เลยว่า เราไม่มีวันรู้ว่าเราจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า และบางทีเราก็ไม่มีทางรู้เลยว่าจะเดินไปถึงเป้าหมายเมื่อไหร่ แต่เราก็แค่ต้องเดินต่อไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ จะใช้เวลาสัก 5 หรือ 10 ปี แต่ถ้าใจคุณยังต้องการมันอยู่ ไม่ว่านานแค่ไหนผมว่าคุณก็ต้องทำเพื่อมัน แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าไม่ต้องการแล้ว ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นแล้ว ก็ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ก็ไม่ต้องทำ แล้วคุณก็ไม่ได้มันมาครอบครอง คนที่เขาแน่จริงเขาก็ทำจนถึงวันที่เขาสำเร็จ บางคนทำมา 10 ปี 20 ปี เพิ่งจะสำเร็จก็มี แต่บางคนทำมาเดือนสองเดือนก็ยอมแพ้แล้ว แต่นั่นมันเรื่องของคุณ ถ้าคุณไม่สู้ ก็ไม่มีใครเอามาให้คุณหรอก ความสำเร็จน่ะ
ในอีก 40-50 ปีข้างหน้า YOUNGOHM อาจกลายเป็น OLDOHM เคยคิดภาพไว้ไหมว่า คุณอยากให้ OLDOHM เป็นอย่างไร?
ก็มีคิดบ้าง ผมคงมีคฤหาสน์เป็นของตัวเอง (หัวเราะ)
คฤหาสน์แบบในมิวสิควิดีโอเพลง ธารารัตน์ น่ะเหรอ?
ใหญ่กว่านั้น (หัวเราะ) คงจะเปิดโรงเรียน ให้เด็กๆ มาใช้ชีวิต สร้างระบบ สร้างอะไรบางอย่างของผมขึ้นมาสักอย่างหนึ่ง ทำให้เด็กๆ เหล่านั้นมีความสุข ทำให้พวกเขาเข้าใจชีวิตมากขึ้น ไม่รู้สิ ถ้าผมทำได้ผมก็จะทำ จะทำให้มันดีขึ้นในทุกๆ อย่าง ทุกวันนี้สำหรับผมมันก็โอเคแล้วนะ แต่ในอนาคตผมก็อยากทำอะไรให้คนอื่นบ้าง เพราะผมทำเพื่อตัวเองมาเยอะแล้ว
Story by: Chanon B.
Photos by: Thanapol W.
อัลบั้มภาพ 12 ภาพ