พูดคุยกับดูโอ้ซินธ์ป็อป “Monarchy” กับจังหวะจะโคนที่พวกเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้โดยเฉพาะ
ในโลกใบนี้มีศิลปินที่เรียกตัวเองว่าเป็น “วงซินธ์ป็อป” ไม่รู้กี่พันกี่หมื่นวง แต่หากจะเอ่ยถึงวงซินธ์ป็อปที่มีสไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่น Monarchy จะเป็นชื่อที่หลายคนนึกถึง...
จังหวะจะโคนจากบีตเท่ๆ โชว์บนเวทีอันทรงพลัง หน้ากากและสีสันที่อำพรางใบหน้า มาพร้อมคอมตูมแปลกตาไม่เหมือนใคร Monarchy กับ 2 สมาชิกจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษทั้ง Andrew Armstrong (ดีเจ, โปรดิวเซอร์) และ Ra Black (ร้องนำ, นักแต่งเพลง) กลายเป็นวงที่ได้รับการจับตามองนับตั้งแต่เผยโฉมและปล่อยซิงเกิลมาตั้งแต่ปี 2010 ไล่เรียงมาสู่อัลบั้มเต็มจำนวน 3 ชุด ไม่ว่าจะเป็น Around the Sun (2011), Abnocto (2015) และล่าสุด Mid:Night (2019) รวมถึงอีพีอีกประปราย ซึ่งแทร็คอย่าง “Love Get Out of My Way”, “I Won’t Let Go”, “Black Widow” ก็ได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลามไม่น้อย
ด้วยเสน่ห์อันน่าหลงใหล ทำให้ Mornarchy เป็นเจ้าประจำของมิวสิคเฟสติวัลทั่วโลก อาทิ Mad Cool Festival หรือแม้แต่ Coachella และ Sanook! Music ก็ไม่ปล่อยโอกาสที่จะได้สนทนาแม้ว่าจะเป็นการส่งอีเมลข้ามทวีปก็ตาม เพราะเราอยากให้คุณผู้อ่านรู้ว่า วงเจ๋งๆ ยังแอบซ่อนตัวอยู่บนโลกใบนี้อีกเพียบ!
ความหมายภาษาไทยของคำว่า monarchy นั้นแปลว่า การปกครองโดยมีมหากษัตริย์เป็นประมุข เหตุใดพวกคุณจึงหยิบคำนี้มาใช้เป็นชื่อวง?
Andrew: เราไม่ได้คิดในแง่นั้นนะ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเรามีหรือไม่มีทางเลือกที่จะทำดนตรี เราแค่เกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เหมือนกับกษัตริย์ที่เกิดมาเพื่อทำหน้าที่ของเขา แม้กระทั่งถ้าหากเราสองคนต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง พวกเราก็จะยังทำเพลงไปตลอดชีวิตอยู่ดี
Ra: คำๆ นี้มันให้ความรู้สึกถึงบางอย่างจากจักรวาลหรือโลกไซไฟมากว่าโลกแห่งความเป็นจริงที่เราใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้น่ะ
ในอุตสาหกรรมดนตรีมีวงซินธ์ป็อปมากมาย ความแตกต่างระหว่าง Monarchy กับวงอื่นๆ คืออะไร?
Ra: พวกเราเหมือนเกล็ดหิมะที่มีความพิเศษและแตกต่าง ผมไม่รู้หรอกว่านักดนตรีคนอื่นๆ เขาจะนึกถึงการสร้างสรรค์ศิลปะมากน้อยเพียงใดในแต่ละหมวดหมู่ แต่พวกเรารักศิลปินที่คำนึงถึงศิลปะนะ แล้วเราก็ได้รับอิทธิพลจากศิลปินเหล่านั้น และพยายามสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นให้ได้
Andrew: ผมคิดว่าทุกคนมีรสชาติและกลิ่นอายในแบบฉบับของตัวเองนะ รวมถึงความแตกต่างด้วย บางวงอาจจะป็อปหน่อย บางวงให้อารมณ์เพลงที่เปิดในคลับ คือเราก็แค่แต่งเพลงในสไตล์ของเราออกมานั่นแหละ ผมเชื่อว่าคุณสามารถบอกได้นะว่าแทร็คไหนเป็นของ Monarchy แทร็คไหนของ Empire of the Sun หรือ Parcels
อัลบั้มล่าสุด Mid:Night มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปบ้าง?
Ra: มันค่อนข้างเปิดเผยมากขึ้น มีเรื่องเกี่ยวกับเพศมากขึ้น และมองโลกในแง่บวกมากขึ้น
Andrew: อัลบั้มชุดนี้ผมค่อนข้างทำงานหนักในการใส่องค์ประกอบที่ใช้มนุษย์เล่นลงไปมากขึ้น และลดในส่วนของซินธิไซเซอร์ให้น้อยลง ถ้าจะให้ลงลึก มันคือการใช้ซินธ์อนาล็อกที่ใช้คนเล่นมากขึ้นนั่นแหละครับ เป็นซาวด์ที่มีความออร์แกนิกอยู่เยอะ
สืบเนื่องจากชื่ออัลบั้ม Mid:Night พวกคุณชอบทำเพลงกันตอนกลางคืนหรือตอนกลางวัน?
Ra: คือช่วงระหว่างวันมันก็มีการจัดเรียงระบบความคิดเหมือนกันนะว่าเมื่อคืนเราอัดหรือบันทึกอะไรกันเอาไว้บ้าง แต่ผมชอบที่จะปิดสวิตช์สมองส่วนที่ใช้ความคิดหนักๆ ในช่วงเย็นๆ แล้วรับแรงบันดาลใจดีๆ บันทึกเอาไว้เป็นไอเดีย
Andrew: ผมก็ชอบทำงานระหว่างวันร่วมกับ Ra นั่นแหละ ทำไปจนถึงดึกดื่น แต่ถึงแค่เที่ยงคืนเท่านั้นนะ หลังจากนั้นผมจำเป็นต้องได้ไวน์สักแก้ว ดูรายการขยะๆ ในทีวีสักพัก เพราะผมชอบที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมความกระตือรือร้นในการทำเพลงมากกว่า
ส่วนใหญ่ในอัลบั้มเต็ม เรื่องราวที่พวกคุณเล่ามักจะเกี่ยวกับอะไร?
Andrew: ส่วนมากจะเป็นปฏิกิริยาส่วนบุคคลนะครับ แต่หลานของ Ra อาจจะเป็นข้อยกเว้นในการพิสูจน์สิ่งๆ นั้น (หัวเราะ)
Ra: ผมเคยทำมากกว่า “การบอกเล่า” ในฐานะคนเขียนเนื้อร้อง ผมคิดว่ามันจะมีความเป็นธรรมชาติเมื่อคุณมีความมุ่งมั่นและตั้งใจทำ คุณต้องใช้กระบวนการเขียนให้เหมือนเป็นการบำบัด และทำให้ความอยุติธรรมในชีวิตกลับมาถูกต้อง ทุกวันนี้ผมพยายามจะปล่อยชีวิตให้ดำเนินไปโดยส่งผลต่อเนื้อร้องที่จะเกิดขึ้น แต่จะนึกออกมาเป็นภาพมากกว่าตัวหนังสือ
การร่วมงานกับนักแสดงมากความสามารถอย่าง Dita Von Teese ในมิวสิควิดีโอเพลง “Black Widow” ล่ะ?
Andrew: เราทำงานกับเธอหลายครั้ง ครั้งแรกก็ต้องย้อนไปเมื่อปี 2013 ตอนนั้นเธอมาร่วมร้องเพลง “Disintegration” และอยู่ในมิวสิควิดีโอด้วย นั่นคือประสบการณ์อันแสนยอดเยี่ยม แล้วเธอก็มาร้องเพลง “Girls and Boys” งานคัฟเวอร์วง Blur และแสดงในเอ็มวี Black Widow เธอยอดเยี่ยมมาก มืออาชีพมากๆ ทำงานหนักมาก แต่เธอเป็นคนฮาอยู่นะ
ชมมิวสิควิดีโอเพลง “Black Widow” ได้ ที่นี่
ไอเดียเกี่ยวกับคอสตูมและหน้ากากบนเวทีตอนที่พวกคุณโชว์ล่ะมันมาจากไหน?
Ra: ในช่วงที่เราเริ่มทำวง ดูเหมือนว่าจะมีวงมากมายที่มีความเป็นธรรมชาติ และทวีตทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน มันทำให้ศิลปินเหล่านั้นน่าประทับใจนะ คือถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ตั้งใจจะเริ่มต้นไอเดียของการโชว์โดยไม่ระบุตัวตน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็ทำให้เราได้ขุดลึกลงไปสู่คำถามที่ว่า ตัวตนที่แท้จริงของเราคืออะไร
Andrew: เราชอบโชว์ที่มีเอกลักษณ์ พวกเราพยายามรักษาโชว์ในลักษณะนั้นเอาไว้ และยกระดับมันขึ้นเรื่อยๆ
ระยะเวลา 10 ปีที่พวกคุณอยู่ในวงการดนตรี ซินธ์ป็อปหรือดนตรีอิเล็กทรอนิกส์มันเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด เติบโตขึ้นไหมในความคิดของพวกคุณ?
Andrew: ผมว่าซินธ์ป็อปมันก็ยังคงอยู่ตรงนี้แหละ เหมือนดนตรีดิสโก้ที่มันก็ยังอยู่อย่างนี้เสมอมา มันมีความเปลี่ยนแปลงนะ แต่ก็ยังคงอยู่ ซึ่งมันก็น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เทคโนโลยีมันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด มันก็ดีที่เราได้เปลี่ยนซาวด์ด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น
Ra: ทุกการเปลี่ยนแปลงมันมีความเปราะบางอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังคงมีบางสิ่งที่เปลี่ยนแปลง แต่ดนตรีมันก็ยังคงมีชีวิตอยู่ได้ แม้ผมจะคิดว่าแนวเพลงต่างๆ มันได้ตายไปแล้วก็ตาม
สุดท้ายมีอะไรอยากฝากถึงแฟนเพลงชาวไทยบ้างไหม?
Ra: ประเทศไทยเป็นประเทศท็อปลิสต์ที่ผมอยากเดินทางไปมากๆ ผมโตที่ออสเตรเลียนะ แต่ไม่เคยมาไทยเลย หวังว่าจะได้ไปเยือนเร็วๆ นี้ครับ ผมชอบดำน้ำสกูบาด้วย แล้วประเทศไทยคือสถานที่ที่เพอร์เฟกต์ที่สุด
Andrew: ผมก็เคยใช้ชีวิตอยู่ในออสเตรเลียเช่นกันครับ ซึ่งผมก็อยากเดินทางไปที่ไทยมากๆ ผมเคยได้ยินถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่มหัศจรรย์ แล้วผมก็คิดถึงทวีปเอเชียมากๆ อยากกลับไปอีกครั้งแล้วล่ะ
Story by: Chanon B.
Photos by: Gigntik Music / Getty Images
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ