“ต่าย อรทัย” สาวดอกหญ้าแห่งวงการลูกทุ่งไทย ผู้ไม่เคยหลงลืมรากเหง้าของตนเอง
ต่าย อรทัย... ชื่อนี้ในวงการเพลงลูกทุ่งไทยคงไม่มีใครไม่รู้จัก
นับจากปี พ.ศ. 2545 ปีที่อัลบั้ม ดอกหญ้าในป่าปูน ได้ฤกษ์วางจำหน่าย ชีวิตของสาวอุบลฯ คนนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ ลูกเอื้อนมากเสน่ห์ บทเพลงที่มอบกำลังใจให้คนฟัง ซึ่งหลายคนอาจจะเผชิญหน้าอุปสรรคขวากหนามไม่น้อยไปกว่าเธอ กับการเดินทางจากต่างจังหวัดเข้าสู่ใจกลางเมืองใหญ่ เพื่อตามหาความฝัน
ซึ่งความฝันของ ต่าย อรทัย คือการเป็นนักร้องลูกทุ่ง และอาชีพนักร้องลูกทุ่งอย่างเป็นทางการก็เปิดฉากอย่างสวยหรู เพราะอัลบั้ม ดอกหญ้าในป่าปูน รวมถึง ขอใจกันหนาว ในอีก 2 ปีถัดมา ขายได้เกิน 1 ล้านตลับในยุคสมัยแห่งเทปคาสเซตต์
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไม่ว่ากาลเวลาจะทำให้วงการเพลงแปรผันเปลี่ยนไปมากเพียงใด ต่าย อรทัย ยังคงยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองรัก ปล่อยเพลงปล่อยอัลบั้มออกมาอย่างไม่ขาดสายจวบจนทุกวันนี้ อีกทั้งกระแสความนิยมก็แทบจะไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
อีก 10 วันเศษ คอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิตของเธอผู้นี้ในชื่อ “ต่าย อรทัย ดอกหญ้ากลางเมืองใหญ่” กำลังจะเกิดขึ้น ณ ใจกลางกรุงเทพมหานครอย่าง GMM Live House ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ Sanook! Music จึงนัดสัมภาษณ์พิเศษกับสาวดอกหญ้าคนนี้ ถึงเรื่องราวเส้นทางชีวิตในการเป็นนักร้องลูกทุ่งนับตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก การเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยของเพลงลูกทุ่ง รวมถึงความในใจที่ไม่เคยบอกผู้ที่ปลุกปั้นเธอมาแต่แรกอย่าง ครูสลา คุณวุฒิ
ยังจดจำวินาทีที่อัลบั้ม “ดอกหญ้าในป่าปูน” วางแผงวันแรกได้ไหม?
จำได้ไม่เคยลืม ดีใจค่ะ ไม่คิดว่าความฝันของเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งจะเป็นจริงได้ แล้วเราก็ไม่คิดว่า เราจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง แล้วปรากฏว่าความฝันนั้นมันเป็นความจริงขึ้นมา ก็มากกว่าความฝันค่ะ ดีใจมาก แล้วก็ยังคงคิดถึงความรู้สึกนั้นไม่เคยลืมเลยนะคะ เพราะว่าถือเป็นความรู้สึกแรก และเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากๆ มาตลอด ทำให้เราได้อะไรหลายๆ กับจุดเริ่มต้น จากความดีใจ จากความรู้สึกไม่อยากเชื่อ ต่ายคิดว่ามันเป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่ทำให้เรามุ่งมั่น แล้วก็ทำทุกๆ อย่างให้ดีที่สุดกับวันเวลาที่ผ่านมาด้วย แล้วก็ทำให้ต่ายได้รับอะไรหลายๆ อย่างในวงการนี้ ก็รู้สึกดีใจและขอบคุณที่ทุกคนให้ความสำคัญ ให้กำลังใจ ให้โอกาส ความรักที่มอบให้วันแรกในวันนั้นยังคงสำคัญอยู่จนถึงวันนี้ค่ะ
คำว่า “ดอกหญ้าในป่าปูน” คงบ่งบอกตัวตนของคุณได้เป็นอย่างดี เมื่อราว 15-16 ปีที่แล้วคุณคือเด็กสาวที่มาตามหาฝันในเมืองใหญ่ ทุกวันนี้คุณยังรู้สึกว่าตนเองเป็น “ดอกหญ้า” อยู่อีกไหม?
ตอนนี้ยังเป็นดอกหญ้า อยู่ไหม ตอบเลยว่า เป็นค่ะ ต่ายรู้สึกว่า 15-16 ปีที่เราเดินทางมาได้ไม่น้อยเลย ทำให้เราได้เรียนรู้ในความหมายของคำว่า “ดอกหญ้าในป่าปูน” ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่ามันจะเป็นชื่อเพลง แล้วก็เป็นชื่ออัลบั้ม แต่เพลงนี้มันมีที่มา คือ มาจากเส้นทางการสู้ชีวิตของต่ายด้วย แล้วก็รวมถึงมันหมายถึง ดอกหญ้าใน ทุกๆ ดอก ทุกๆ ดวง ทุกๆ หัวใจเลย ที่มีหัวใจของความเป็นนักสู้ ที่จะไปสู้ชีวิตที่ไหนก็ตาม จากบ้านนอกมาสู้งานในเมืองหลวง ในกรุงเทพฯ หรือจะจากเมืองไทยไปสู้งานในต่างแดน อยู่กันคนละฟากฝั่งโลกก็ตาม อันนี้ก็คือเรียกได้เลยว่าเป็น “ดอกหญ้า” ที่มาเพื่อสู้หรือไปเพื่อสู้ เพราะฉะนั้นก็ถือว่าตัวต่ายเองเป็นดอกหญ้าดอกหนึ่งที่สู้ชีวิตเหมือนกัน แล้วก็รู้สึกดีใจที่หลายๆ คน พอเห็นต่ายแล้วก็ มีคำเรียกแทนตัวว่าเป็น “สาวดอกหญ้า” คือก็ยังรู้สึกว่าเพลงนี้ และเรื่องราวของเพลงๆ นี้ บ่งบอกความเป็นตัวตนของต่ายได้แบบชัดเจนมาก แล้วก็รู้สึกภูมิใจ ต่ายยินดีที่จะรับแล้วก็รักคำนี้มาก เพราะว่าคำนี้เป็นสิ่งหนึ่งที่คอยหล่อเลี้ยง คอยตอกย้ำให้ตัวเองรู้ว่าต่ายมาจากไหน เกิดมาได้อย่างไร และทำไมถึงเดินทางมาได้ 15-16 ปี โห... อันนี้คือถ้าเปรียบเหมือนต้นไม้ก็เป็นรากที่มั่นคงแข็งแรงในหัวใจของเรา ให้เราได้สู้ในทุกๆ อย่าง อะไรจะตามมาก็ตาม แต่ว่าแกนหลักในชีวิตมันมีอยู่ มันก็อาจทำให้เราโอนเอนอ่อนไหวไปบ้าง แต่สุดท้ายก็กลับมาเป็นตัวของตัวเองเหมือนเดิม ก็ขอบคุณมากๆ นะคะ ขอบคุณสำหรับชื่อเพลง “ดอกหญ้าในป่าปูน” แล้วก็คำว่า “สาวดอกหญ้า” แล้วก็อะไรก็ตามนะคะที่หล่อหลอมทำให้บ่งบอกความเป็นตัวตนของต่ายได้ในวันนี้ ดีใจมากแล้วก็มีความสุขมากกับคำๆ นี้ค่ะ
และคุณก็ยังนำคำว่า “ดอกหญ้า” มาใช้เป็นชื่อคอนเสิร์ตใหญ่ในวันที่ 22 มิถุนายนนี้กับ “ต่าย อรทัย ดอกหญ้ากลางเมืองใหญ่” คือคำๆ นี้มันโผล่มาตั้งแต่แรกเลยหรือเปล่า หรือว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร?
คือค่อนข้างชัดเจนมาตั้งแต่แรกว่า ดอกหญ้าในป่าปูน หรือ สาวดอกหญ้า มันบ่งบอกความเป็นต่าย คือเราแจ้งเกิด คือตัวตนของต่ายด้วย ชื่อคำว่า ต่าย อรทัย แล้วก็ฉายา สาวดอกหญ้า ที่มาจากเพลง “ดอกหญ้าในป่าปูน” มันค่อนข้างจะมาด้วยกันตั้งแต่แรก คือแจ้งเกิดด้วยกันทั้งหมดเลย ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรกเลย แล้วต่ายก็คิดว่าคงไม่มีเพลงไหนแล้วที่จะบ่งบอกความเป็นตัวตนของตัวเองได้ แล้วที่สำคัญคอนเสิร์ตวันที่ 22 มิถุนายนนี้ มันเป็นคอนเสิร์ตแรกในชีวิตของต่ายด้วยนะคะ แล้วเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ขนาดนี้ 15-16 ปีไม่เคยมีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองเกิดขึ้นมาก่อนเลย และนี่จะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตครั้งแรก เป็นประวัติศาสตร์ในชีวิตของต่ายครั้งแรก มันที่สุดแล้วค่ะ ซึ่งก็ไม่คิดว่าเราจะไปใช้คำอื่นได้ นอกจากคำๆ นี้ คิดว่าจะต้องมีคำนี้ และถ้าไม่มีคำนี้ก็จะไม่ใช่คอนเสิร์ต ต่าย อรทัย เช่นกัน เพราะฉะนั้นที่มาของคอนเสิร์ต บ่งบอกความเป็นตัวตนของต่าย อรทัย ที่สุดแล้วค่ะ
>> "ต่าย อรทัย" ฉลอง 16 ปีในวงการเพลง! ประกาศคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิต
>> "ต่าย อรทัย" โล่งอก! หลังบัตร VIP คอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกขายหมดภายใน 2 ชั่วโมง
ความเหมือนและแตกต่างระหว่าง “ต่าย อรทัย” และ “ดอกหญ้า”?
ถ้าจะให้ต่ายเปรียบเทียบความเหมือน ความแตกต่าง เริ่มจากความแตกต่างก่อนเนอะ คือ ต่าย อรทัย กับ ดอกหญ้า วิธีการเขียนต่างกันแน่นอนค่ะ (หัวเราะ) แต่ความเหมือนมันอยู่ที่ความหมาย ต่าย อรทัย ก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่มาจากต่างจังหวัด เป็นลูกชาวไร่ชาวนา คำว่า ดอกหญ้า มันก็เกิดขึ้นจาก ดอกหญ้าในป่าปูน ซึ่งทุกคนก็รับรู้ว่ามาจากการต่อสู้ของเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งที่มีความฝัน อันนี้คือชัดเจนที่สุดว่า นี่คือความเหมือนในความหมาย ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เพราะฉะนั้นมันจะแตกต่างกันก็แค่วิธีการเขียน แต่ว่าความหมายเหมือนกันแน่นอนค่ะ
อัลบั้มแรกของคุณมียอดขายเกิน 1 ล้านตลับ แต่ทุกวันนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป ไม่มีการผลิตเทปคาสเซตต์แล้ว ซีดีก็ลดน้อยถอยลงทุกวัน บรรยากาศแห่งความสำเร็จในอดีตเหล่านั้นกับความเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้มันสอนคุณในเรื่องอะไรบ้าง?
สอนในเรื่องความเป็นจริงที่มันเปลี่ยนแปลงไป ความเป็นจริงที่เราต้องยอมรับให้ได้ ความเป็นจริงที่เราจะต้องปรับตัวให้ทัน เพราะนับจากวันนั้นมันก็ยังเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ได้ วันนี้เปลี่ยนเรายอมรับมันได้ วันหนึ่งมันก็อาจเปลี่ยนเป็นอะไรก็ไม่รู้ ถ้าเรายังมีแรงและยังมีชีวิตอยู่กับเส้นทางนี้ ก็คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่อะไรก็ตาม ต่ายเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนรวมถึงต่าย ซึ่งเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่อยู่บนโลกใบนี้ล้วนมีความฝัน เดินตามความฝัน ได้ทำอะไรในสิ่งที่ฝัน สามารถทำได้ซึ่งบางสิ่งบางอย่างก็ต้องสู้ อดทน กว่าจะได้แต่ละอย่างมา แล้วเราก็ผ่านมันมาได้ แต่สุดท้ายแล้วความแน่นอนที่สุดก็คือการเปลี่ยนแปลงที่มันจะเกิดขึ้นได้ในทุกวินาที ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี แล้วก็ตลอดไปที่มันจะมีขึ้น ต่ายเชื่อว่าการที่เราไม่ย่อท้อยังมีความมุ่งมั่น การที่เรายังคงมีความฝัน ความอดทนแล้วก็ยังอยากจะมีลมหายใจที่จะยังใช้ชีวิตอยู่ อันนี้คือสิ่งที่เราจะไปได้ตลอดเวลากับสิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงและเกิดขึ้นบนโลกใบนี้ค่ะ
>> ต่าย อรทัย ทำแฟนเพลงน้ำตาไหล ปล่อยผลงานเอ็มวีหนังสั้น "ซังได้ซังแล้ว"
ซึ่ง “เพลงลูกทุ่ง” ในทุกวันนี้ก็มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปมากมาย เพลงไทยลูกทุ่งแท้ๆ ก็ดูเหมือนจะมีจำนวนลดน้อยลง คุณมองประเด็นนี้อย่างไร?
ในมุมของต่าย ต่ายคิดว่าคำถามนี้ถ้าถามหลายๆ คนก็จะมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ในมุมของต่าย ต่ายมองว่าคล้ายๆ กับคำถามและคำตอบเมื่อสักครู่เลย มันมีการเปลี่ยนแปลงได้ในทุกยุคทุกสมัยตลอดเวลาได้เหมือนกัน เพราะสังคมเปลี่ยนไป ความคิด การใช้ชีวิตของผู้คนก็ย่อมเปลี่ยนแปลงตาม แล้วบ้านเมืองที่พัฒนาและเปลี่ยนแปลงไป ผู้คนก็ต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวตาม เทคโนโลยีก็เป็นเรื่องที่สำคัญ ความหลงใหล รูปแบบในการฟังอะไรพวกนี้ รวมไปถึงความนิยมในการฟังมันก็จะเกิดขึ้นตามยุคสมัยเหมือนกัน ในยุคก่อนฟังแบบเรียบๆ ง่ายๆ สบายๆ สะอาดๆ แบบบ้านๆ แต่พอมาถึงยุคนี้อะไรๆ มันก็เร็วขึ้นแม้แต่เพลงที่บางทีเราคิดปุ๊ป แล้วจะใช้วิธีการเดิม ที่แบบว่าปล่อยไปตามขั้นตอน ตามสเต็ป อาจจะดูแบบว่าล้าหลัง หรือตามไม่ทันคนอื่นก็ได้ บางอย่างคิดได้ต้องทำเลย ต่ายคิดว่าความเป็นลูกทุ่งท่วงทำนองอะไรต่างๆ มันยังไม่หายจากโลกนี้หรอกค่ะ มันยังอยู่ แล้วเพลงลูกทุ่งของเรามันก็ยังอยู่มาได้ ลองสังเกตดูดีๆ เพลงในยุคสมัยก่อนก็มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัยเหมือนกัน ต่ายจำได้ว่าตอนเราเด็กๆ เราก็จะเห็นวิถีชีวิตการติดต่อสื่อสารกันเป็นเรื่องของจดหมาย ผ่านมาหน่อยก็เป็นโทรศัพท์ ก็โทรหากัน อย่างทุกวันนี้โทรน้อยลง ก็เป็นการพูดคุยผ่านไลน์ และช่องทางอื่นๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป อนาคตมันก็จะเปลี่ยนแปลงไป ต่ายเชื่อว่าท่วงทำนองของความเป็นลูกทุ่งยังอยู่กับคนลูกทุ่งที่มีหัวใจรักความเป็นลูกทุ่งอย่างแน่นอน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่ะ
ต่าย อรทัย คือหนึ่งในนักร้องลูกทุ่งที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา... คุณรู้สึกกับประโยคข้างต้นอย่างไร?
เอาในมุมส่วนตัวของต่ายเลยนะคะ ไม่คิดว่าตัวเองประสบผลสำเร็จมากขนาดนั้น แต่ก็รู้สึกขอบคุณแล้วก็ดีใจกับคำนี้นะคะ ต่ายรู้สึกแค่ว่าต่ายทำความฝันของตัวเองได้สำเร็จ แต่ในมุมของต่าย ต่ายรู้สึกว่ามันมากกว่าความสำเร็จ มันคือเกินความฝันแล้ว มันมากกว่าการถูกรางวัลที่หนึ่งก็ว่าได้ เพราะเราเองก็เป็นแค่ลูกชาวนาธรรมดาคนหนึ่งที่ฝันอยากจะเป็นนักร้อง แล้วก็ความฝันตั้งแต่เด็กมันก็ไกลจากความเป็นจริงมาก และก็ไม่คิดว่าเราจะสู้ไปหาประกวดร้องเพลงตามที่ต่างๆ มาเจอคนที่ไม่รู้จักมักคุ้น จนเข้าสู่วงการ เป็นศิลปินฝึกหัด ตอนนั้นจะได้เป็นนักร้องอาชีพหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันมีอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยจะบอกเราได้เลย คืออยู่กับความเสี่ยงและความไม่รู้ อยู่บนความที่เราคาดหวังอยู่ตลอดเวลา แต่สุดท้ายแล้วสิ่งที่เราฝันก็เป็นความจริง เพราะโอกาส เพราะกำลังใจของทุกคนในสังคม ผู้หลักผู้ใหญ่ แล้วก็มีรายละเอียดหลายๆ อย่างที่มันทำให้อยู่ดีๆ ก็มี ต่าย อรทัย เกิดขึ้น แล้วก็ได้เดินตามความฝัน ได้ออกอัลบั้ม ได้ร้องเพลงยาวนานเป็นเวลา 15-16 ปี มันมากกว่าความสำเร็จค่ะ แต่ก็ดีใจมากกับประโยคๆ นี้ ขอบคุณมากนะคะ
>> ครั้งแรกในชีวิต! "ต่าย อรทัย" เปิดตัวเอ็มวี "ผู้บ่าวนินจา" เอาใจสายแดนซ์
แต่เพลงลูกทุ่งไม่มีวันเลือนหายไปในวงการเพลงไทยอย่างแน่นอนในความคิดคุณ?
ใช่ค่ะ ใช่แน่นอน 100% ต่ายขอพูดคำนี้เลยนะคะว่า ท่วงทำนองของความเป็นลูกทุ่ง แล้วก็อะไรต่างๆ ที่มันเป็นลูกทุ่ง มันเกิดขึ้นในประเทศไทย มันอยู่ทุกซอกทุกมุมในประเทศไทย เลย แล้วก็ทุกคนที่มีหัวใจของความเป็นลูกทุ่งคือแบบกว้างขวางมาก เพราะมันคือเรื่องราวที่เราร้อยเรียงจากชีวิต ความคิด การใช้ชีวิต มุมมอง แง่มุมต่างๆ ของผู้คน มันจะถูกสอด แทรกลงไปอยู่ในเนื้อเพลงจากครูเพลงที่ประพันธ์เพลงออกมา ของแต่ละบุคคล แต่ละท่าน แต่ละยุคสมัย ก็ทำให้เราได้เห็นในผลงานและประจักษ์ในหลายๆ ความสำเร็จของ ศิลปินหลายๆ ท่านมาแล้วด้วย จนทุกวันนี้ศิลปินก็เกิดขึ้นมาเยอะมาก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนต่อยอดไปได้ในวงการเพลงลูกทุ่ง ซึ่งที่ผ่านมาก็เป็นแบบนี้ตลอด ต่อยอดกันมาได้เรื่อยๆ ศิลปินรุ่นต่อๆ มาก็คือรุ่นลูกหลานที่ช่วยกันสืบสาน และทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งก็ทำให้เพลงลูกทุ่งยังอยู่ตรงนี้ได้ตลอดไปเช่นเดียวกันค่ะ
มีความในใจที่อยากจะบอก “ครูสลา คุณวุฒิ” แต่ยังไม่เคยบอกบ้างไหม?
พอมาถึงคำถามนี้รู้สึกจุกยังไงไม่รู้เหมือนกันค่ะ ทุกครั้งที่ต่ายเจอคำถามนี้แล้วพูดไม่ออก แต่จริงๆ แล้วมันมีมากมายจริงๆ ในหัวใจ คือรู้สึกขอบคุณที่ครูให้โอกาสต่ายตั้งแต่แรก แล้วก็เป็นโปรดิวเซอร์ดูแลทุกอย่างในชีวิตของต่ายกับเส้นทางเพลงลูกทุ่งในวันนี้ ดูแลตั้งแต่คอนเซ็ปต์ของเพลงว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะต้องเป็นนักร้องลูกทุ่งที่ต้องถ่ายทอดเพลงอะไรให้กับคนในวงการเพลงลูกทุ่งได้ฟังกัน ดูแลว่าเด็กคนนี้จะต้องแต่งตัวและนำเสนอเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับคนที่ชอบเพลงลูกทุ่งในสไตล์นี้ได้ในรูปแบบไหน ดูแลไปถึงการวางตัวเวลาเราจะออกไปสู่สาธารณะชนยังไง แล้วก็ยังจำคำๆ หนึ่งที่ครูเคยบอกได้นะคะว่า “แต่งตัวออกจากบ้านให้เหมือนไปงานทุกครั้ง” ถึงแม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันง่ายๆ สบายๆ ของเราก็ตาม แต่อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ต่ายเองก็ไม่เคยลืมเลย ทุกครั้งที่จะไปไหนง่ายๆ สบายๆ ก็จะต้องคิดให้หนักทุกวัน เพราะเราไม่รู้ว่าเราออกไปเราจะเจอใครบ้าง จำเราได้ไหม วันเบาๆ ก็จะต้องเตรียมตัวเอง อันนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับเป็นคำที่ครูคอยขัดเกลาน่ะค่ะ แล้วก็คือเป็นคำที่คอยย้ำเตือนเราว่าจะต้องดูแลตัวเองนะ เพราะครูเองก็ไม่ได้อยู่กับเราเองตลอดเวลา แล้วก็มาเรื่องของดูแลในเรื่องของการพัฒนาตัวเองหลายอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงในแต่ละอัลบั้มก็ผ่านการเคี่ยวเข็ญในห้องอัด ซึ่งไม่ได้มีอะไรได้มาง่ายๆ ทุกอย่างที่ครูพาทำ ทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ แล้วก็ความใส่ใจ แล้วก็ความเข้าใจกับมันในทุกวินาที ทำให้ต่ายได้เห็นว่าความพยายามของครูทำให้เราได้เรียนรู้ว่าอะไรหลายอย่างในแต่ละเพลง แต่ละอัลบั้มเราควรมีการพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ ถึงทำให้การร้องเพลงในแต่ละอัลบั้มของต่ายมันยากมากๆ จนถึงวันนี้ยังหาจุดง่ายไม่มีเลย แต่ก็ขอบคุณที่ครูพาทำในสิ่งที่ยาก มันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราท้าทายแล้วก็พัฒนาตัวเอง แล้วก็เตรียมตัวเองไว้เสมอว่าเราจะเจออะไรในแต่ละครั้งที่เราจะทำงานร่วมกับครู แล้วก็มาถึงในเรื่องของการพัฒนาตัวเองในด้านการโชว์ ด้วยความที่ต่ายเองมีประสบการณ์ในเรื่องการประกวดร้องเพลงก็จริง แต่ต่ายเองไม่ได้มีความชำนาญในเรื่องของการเอนเตอร์เทนหน้าเวที พูดคุย หรือจะเล่นอะไรหน้าเวทีนอกจากการร้องเพลง เรารู้สึกมั่นใจแค่การจับไมค์แล้วร้องเพลงเฉยๆ แต่อย่างอื่นต่ายเองต้องมาฝึกตัวเองตั้งแต่แรก ตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก ตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่วงการเพลงลูกทุ่ง เริ่มใหม่ทุกอย่างแล้วครูก็พยายามให้ต่ายค่อยๆ พัฒนาตัวเองในทุกครั้งที่เราได้ขึ้นเวที ไม่ว่าจะเป็น เวทีที่ไปแบบหาประสบการณ์ตัวเอง จะเป็นงานช่วย จะเป็นงานที่แบบว่าได้ค่าตัวเล็กน้อย แม้แต่งานจ้างต่างๆ ที่ผ่านมาก็เหมือนกัน ถูกเคี่ยวเข็ญด้วยประสบการณ์แบบนั้น แล้วก็ผ่านมา 4-6 ปี ก็พยายามที่จะให้ลูกศิษย์มีรูปแบบการโชว์ ทำอย่างไรก็ได้ที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งที่อยู่ในความรับผิดชอบของตัวเองจะต้องมีการพัฒนาได้มากกว่าการเป็นนักร้องยืนร้องเพลงอยู่เฉยๆ ก็นับจากวินาทีนั้นต่ายเองก็ได้รับการเรียนรู้เรื่องการร้องเพลง การร่วมโชว์บนเวทีกับทีมงานแดนเซอร์ เราจะต้องพูดในรูปแบบการโชว์อย่างไร แล้วก็มีความสนุกสนานที่จะเสริมเติมเข้าไปในนั้นให้ทุกคนที่มาชมคอนเสิร์ตของเราแล้ว ทุกคนจะสนุกกับเราช่วงไหนบ้าง ก็ทำให้ต่ายได้พัฒนาในตรงจุดนี้ว่า บนเวทีคอนเสิร์ตมันก็ต้องแตกต่างจากเพลงที่เป็นซีดีออริจินัลในมาสเตอร์ที่คนได้ฟังนะ ครูเขาก็จะพยายามแบบขัดเกลาเรา พยายามสร้างความมั่นใจให้เรา เพราะต่ายเองเป็นคนหนึ่งที่ไม่ค่อยจะมีความมั่นใจในตัวเองเลยค่ะ
แท้ที่จริงแล้ว ต่าย อรทัย ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง?
ใช่ค่ะ แล้วก็อีกสิ่งหนึ่งที่ครูพยายามที่จะเติมลงไปก็คือ ฝึกให้ลูกศิษย์คนนี้เป็นเด็กที่ฉลาด ชอบอ่านหนังสือ หาความรู้ให้ตัวเอง จนทุกวันนี้ที่ต่ายได้ไปห้าง อันดับแรกเลยนะคะ ก็เดินหาร้านหนังสือ ทุกครั้งก็ต้องได้หนังสือกลับมา จนถึงทุกวันนี้คือมีหนังสือเยอะมาก แล้วก็ซื้อที 8-10 เล่ม (หัวเราะ) บางทีอ่านบ้าง ไม่อ่านบ้าง เลยกลายเป็นความชอบแล้วก็ซื้ออะไรก็ตามในชีวิตจะรู้สึกเสียดาย แต่พอซื้อหนังสือนี่คือซื้อได้ จ่ายได้ หนักแค่ไหนก็หอบมาได้ เป็นความสุขอีกอย่างของต่ายเลย แล้วก็มีอีกสิ่งหนึ่งนะคะที่ต่ายเองได้รับจากครู ก็คือความตั้งใจในการทำงาน ตั้งใจแต่ไม่เคยกดดันลูกศิษย์ มันทำให้ต่ายเองคือพอเรามีทีมงานเล็กๆ ก็ทำให้เราสนุกกับทุกคน แต่ในขณะเดียวกันทุกคนก็จริงจังในการทำงาน อันนี้คือสิ่งที่ต่ายเองได้รับโดยธรรมชาติในการร่วมงานกับครูมา 10 กว่าปี พอถึงงานที่ต้องซ้อมก็จะต้องนัดวันกันซ้อม พอเวลาไปถึงที่ทำงานก็ต้องตั้งใจจริง แต่ในขณะเดียวกันบรรยากาศการทำงานครูเองก็ไม่เคยดุ ด่าหรือว่ากดดันเรา สบายๆ ด้วยซ้ำ แล้วก็ทำให้การทำงานของเราที่มันยากในแต่ละขั้นตอน เพลงที่มันยากมากๆ 4-5 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ถึงมันจะยากแต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี เพราะบรรยากาศที่สนุกสนานมันทำให้ต่ายได้นำสิ่งนี้มาพัฒนาตัวเองแล้วก็มาใช้ในทีมงานของตัวเอง มันเป็นอะไรที่ดีมากๆ เลยค่ะ มันเยอะมากเลยค่ะในสิ่งที่ได้รับ อยากจะขอบคุณครูมากๆ ที่วันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ครูให้โอกาสหนู ครูไม่ได้เป็นแค่ครูที่แต่งเพลง แต่ครูเป็นทุกอย่าง ช่วยหล่อหลอมทำให้ต่ายเป็นต่ายในวันนี้ได้ เป็นนักร้องที่ยังเป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ขอบคุณที่ครูคอยดึงเราให้คงอยู่ในเส้นทาง ขอบคุณครูที่ทำให้ผู้หญิงธรรมดาคนนี้มีอาชีพที่รักและฝัน นั่นคือ อาชีพร้องเพลง
>> "JOOX" จัดโปรเจกต์ "100x100" จับคู่ศิลปินร้อยล้านวิวต่างสไตล์ทำเพลงใหม่
ขอเหตุผลที่ห้ามพลาดคอนเสิร์ตใหญ่ของคุณในครั้งนี้?
ห้ามพลาดเพราะว่าเป็นคอนเสิร์ตแรกในชีวิตของต่าย ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทุกคนคาดหวังกับคอนเสิร์ตครั้งแรกมันจะเป็นอย่างไร เพราะว่าตัวต่ายเป็นเจ้าของคอนเสิร์ตเองในวันนี้ยังรู้สึกตื่นเต้นมาก วันที่ 22 มิถุนายนนี้คือตัวเองจะเจออะไรบ้าง ทั้งๆ ที่ก็เริ่มซ้อมแล้ว ตัวเองคือรู้แล้วว่าจะต้องร้องเพลงอะไร ร้องกี่เพลง แล้วตอนขึ้นโชว์มีพาร์ทโชว์อะไรบ้าง แต่ละช่วงจะต้องอะไรอย่างไรบ้าง (หัวเราะ) เอาแค่มุมของต่าย ต่ายยังรู้สึกตื่นเต้น ต่ายก็อยากให้ทุกคนได้มารับรู้ รับทราบความตั้งใจในครั้งนี้ เพราะต่ายเองก็บอกไม่ได้เลยนะคะว่า คอนเสิร์ตครั้งต่อไปมันจะมีขึ้นและเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ เพราะนี่คือ 15-16 ปีกับทุกประสบการณ์ในชีวิตของต่ายเลย มันจะมาถูกหลอมรวม แล้วก็ถูกสร้างขึ้นมาในคอนเสิร์ตใหญ่ในครั้งนี้ “ดอกหญ้ากลางเมืองใหญ่” 22 มิถุนายนนี้ ที่ GMM Live House at Central World ชั้น 8 จะเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกในชีวิตของต่าย เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกชีวิตของต่าย เป็นอะไรครั้งแรกที่ต่ายจดจำ และอยากที่จะให้ทุกคนมาจดจำร่วมกัน เพราะนี่คือความประทับใจครั้งแรกจริงๆ ค่ะ เพราะต่ายเองก็ไม่เคยลืมตั้งแต่อัลบั้มชุดแรก และนี่ก็เป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก ต่ายว่ามันจะต้องมีอะไรที่มันพิเศษมากๆ เพราะฉะนั้นทุกคนต้องมา อยากให้ทุกคนมา แล้วต่ายเองก็อยากให้ทุกคนมาร่วมประทับใจกับความตั้งใจครั้งนี้ของต่าย แล้วก็ทีมงานทุกคน คือทุกคนพร้อมมากๆ ที่จะนำเสนอทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราอยากจะให้แฟนๆ ทุกคนเห็นในวันนี้นะคะ เพราะฉะนั้นมานะคะ มากันเยอะๆ มาร่วมกันเป็นสักขีพยานและร่วมให้กำลังใจ แล้วก็มาร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับวันเวลาที่มันเคยผ่านมาแล้ว เรากลับมาร้องเพลงที่เคยได้ยินร่วมกันอีกครั้งหนึ่งนะคะ มากันหลายๆ เด้อ
ใครสนใจไปร่วมเป็นสักขีพยานคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของ ต่าย อรทัย สามารถจับจองกันได้ที่ ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ทุกสาขา บัตรบางโซนหมดไปเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง รีบๆ กันหน่อย เราไม่อยากให้พลาด
Story by: Chanon B.
Photos by: แกรมมี่ โกลด์ / FB - Tai Orathai / FB - บ้านครูสลา คุณวุฒิ
อัลบั้มภาพ 10 ภาพ