ร้องร่ำคำว่า “เบ๊... เบ” คอนเสิร์ตใหญ่ “The Parkinson” ที่ทำให้อยากจะบอกรักพวกเขามากกว่าเคย
หนึ่งในวงดนตรีที่ก่อนหน้านี้อาจจะยังไม่มีอัลบั้มเต็มเป็นรูปเป็นร่าง ทว่ากว่า 4 ปีที่ผลงานซิงเกิลต่างๆ ที่ถูกปล่อยออกมาต่างประสบความสำเร็จแบบเป็นชิ้นเป็นอัน รวมไปถึงคำร่ำลือหนาหูว่าแสดงสดได้ในระดับแถวหน้าของเมืองไทย ใช่แล้วครับ พวกเขาคือ... The Parkinson
และเมื่อการเดินทางมาถึงคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิตของพวกเขากับ “The Parkinson SOULMANTIC คอนเสิร์ตจะบอกเธอว่ารัก” พร้อมกับการเปิดตัวอัลบั้มเต็มชุดแรกสุดที่ใช้ชื่อว่า แรก ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่ต้องตัดสินใจอะไรเป็นเวลานาน นี่คือหนึ่งในขุนพลคนดนตรีในยุคนี้ที่ทั้งหาตัวจับยากและน่าจับตามองเป็นที่สุด เป้าหมายของเราจึงไปหยุดอยู่ที่ บีซีซี ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัลพลาซาลาดพร้าว อย่างง่ายดายในค่ำคืนนั้น
“SOULMANTIC” คำๆ นี้ช่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า The Parkinson คือวงดนตรีที่นำเสนอดนตรีโซลมาแต่ไหนแต่ไร และใครที่เคยฟังเพลงของพวกเขาต่างก็รับรู้เป็นอย่างดีว่า แต่ละเพลงนั้นสอดผสานความโรแมนติกเย้ายวนอยู่ในที การตีโจทย์คำดังกล่าวสู่โชว์ที่คาดว่าไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมงอย่างแน่นอนจึงเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจไม่น้อย
3 สมาชิกอย่าง กานต์-นิภัทร์ กำจรปรีชา (กีตาร์, ร้องนำ), โต-ณัฐวิทย์ โอดาคิ (เบส) และ เบียร์-อริย์ธัช เกื้อจิตกุลนันท์ (กลอง) พร้อมหน้าพร้อมตาบนเวที สปอตไลท์ดวงใหญ่ฉายลงมายังตำแหน่งของทั้ง 3 อย่างเหมาะเหม็ง ด้านหลังโดดเด่นเพียงสิ่งเดียวคือดอกกุหลาบขนาดใหญ่ที่ประดับประดาไฟเอาไว้ สัญลักษณ์แห่ง “ความรัก” ที่ The Parkinson เริ่มต้นนำเสนอด้วยการเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างในวงการดนตรีเมืองไทย “จะบอกเธอว่ารัก” ซึ่งเป็นเพลงแรกในชีวิตที่ กานต์ แต่ง ดังลั่นฮอลล์ ณ ขณะนั้น
The Parkinson ไม่ใช่วงที่เงียบขรึม เพราะในช่วงแรก กานต์ ก็ยิงมุขยับอยู่เหมือนกัน ตรงเป้าบ้าง ไม่ตรงอยู่บ้าง แต่ก็ทำให้บรรยากาศในคอนเสิร์ตกลายเป็นความกันเองได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งพวกเขาก็ไม่รอช้า เริ่มด้วย “ที่เดิมในหัวใจ” จาก ตู่-ภพธร สุนทรญาณกิจ และเพลงเจ๋งๆ อย่าง “Vultures” ผลงานต้นฉบับของ John Mayer มาคัฟเวอร์ให้ฟัง ซึ่งหลายคนคงมีโอกาสเคยได้ดูในคลิปกันแล้ว แต่การมาเห็นกับตานี่มันช่างเกินบรรยายอย่างแท้จริง ต่อด้วย “พบกันใหม่?” จาก Polycat ที่มาพร้อมกรู๊ฟสไตล์ The Parkinson
และแน่นอนว่า “เบ๊... เบ” อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของพวกเขายังซ่อนอยู่ในบางวรรคบางท่อนเสมอ
ช่วงพักเบรกเวทีไม่นานนัก แต่เต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ในความครีเอทีฟอย่างแท้จริง ข้อความแนะนำ Kijjaz หรือ กิจจาศักดิ์ ตริยานนท์ แห่งวง Monotone หนึ่งในบุคลากรคนสำคัญของวงการดนตรีบ้านเราช่างน่ารักและทำให้แฟนๆ ยิ้มเพียงแค่อ่านตาม ทั้งยังเป็นการการันตีอีกครั้งว่า The Parkinson ไม่ใช่วงที่จะเอาแต่เล่นดนตรีบนเวทีเพียงอย่างเดียว
การแนะนำ Kijjaz ใช่ว่าจะไม่มีที่มาที่ไป เพราะช่วงต่อมาของคอนเสิร์ตคือการจำลองร้าน Stu-fe (สตูเฟ่) ของวง Monotone ซึ่ง The Parkinson เคยเล่นดนตรีกลางคืนอยู่ในช่วงหนึ่งนั่นเอง และเพลงในช่วงนี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพลงที่พวกเขาเคยเล่นในยุคดังกล่าวทั้งสิ้น โดยเปิดโอกาสให้แฟนเพลงเข้ามาโหวตในกรุ๊ปเพจว่าอยากจะฟังเพลงอะไรกัน เป็นที่มาที่เราได้ดู The Parkinson เล่นเพลงอย่าง “Gravity” ของ John Mayer ที่โซโล่กันยับ, “Back at One” จาก Brian McKnight ที่ทำเอาเราเคลิ้มไปกับท่วงทำนองอาร์แอนด์บี เพลงไทยอย่าง “วันของเรา” จากตัวพ่อวงการโซลอย่าง Soul After Six รวมถึง “ฟังดูง่ายง่าย” จาก Silly Fools ที่ลดทอนความร็อคลงมาเป็นสไตล์ของพวกเขา เป็นต้น
คั่นด้วยเพลงของพวกเขาเองอย่าง “หมดแก้ว” สักหน่อย ก่อนจะถึงเวลาของแขกรับเชิญคนแรก สิงโต นำโชค ที่มาซัดกีตาร์กับหนุ่มกานต์ในเพลง “อยู่ต่อเลยได้ไหม” ในเวอร์ชั่นเรียบเรียงใหม่ที่ขอปรบมือให้ดังๆ และ “อาย” ที่แจมกันพัลวัน หลังจากนั้น The Parkinson พาคนดูโยกกันแบบเบาๆ ต่อกับ “คนชั่ว 2018” ที่ เบียร์ และ โต ได้โชว์พาร์ทกลองและเบสของตนเองบ้าง กับสูทสีม่วงที่พวกเขาแต่งเต็มจนต้องร้องอื้อหือ ต่อด้วย “สักวัน” ที่สีสันทางดนตรีนี่ถึงกับต้องกลั้นหายใจฟังด้วยความตั้งใจ
พวกเขาทั้ง 3 คนหมุนเวียนเพลงของตัวเองและเพลงคัฟเวอร์สลับกันไปเรื่อยๆ เราได้ฟัง “เสมอ” จาก ปู-พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ในเวอร์ชั่นโซลๆ สักหน่อย, “เมื่อคืน” ที่พาคนดูลงไปหาสมาชิกวง Season Five ที่ทำงานด้วยกันก็เย้ายวนเสียเหลือเกิน ต่อด้วยอีกหนึ่งแทร็คปล่อยของ “ไปเถอะ” และ “ต้องโทษดาว” กับการหยิบอีกหนึ่งบทเพลงขึ้นหิ้งของ เบิร์ด-ธงไชย แมคอินไตย์ มาเล่นได้อย่าง... โห ยอมรับว่าเพราะมาก มาก มาก และถือเป็นโมเมนต์ที่ประทับใจมากที่สุดของคอนเสิร์ตครั้งนี้สำหรับผู้เขียนก็ว่าได้
ถึงคิว แสตมป์-อภิวัชร์ เอื้อถาวรสุข ที่ขึ้นมาซัดสาดกีตาร์ร่วมกับ The Parkinson บ้างในเพลง “มันคงเป็นความรัก” ที่ช่วงท้ายมีความเจร็อคที่ทำเอาอึ้งไปตามๆ กัน รวมถึง “ทั้งจำทั้งปรับ” ที่ กานต์ ไปร่วมฟีทเจอริ่ง แถมยังมีเซอร์ไพรส์จากมือเบสมาดนิ่งอย่าง โต ที่ไปซุ่มเปลี่ยนคอสตูมออกมาเป็น YOUNGOHM!!! บวกกับการโซโล่กีตาร์ไฟฟ้าของหนุ่มแสตมป์ที่เดือดดาลเอาเรื่อง ไม่เห็นภาพอันน่าตื่นเต้นแบบนี้มานานแล้ว
ล่วงเลยสู่พาร์ทสุดท้ายของคอนเสิร์ตที่ The Parkinson นำ “จะบอกเธอว่ารัก” มาเล่นอีกครั้ง ทว่ามีการปรับเปลี่ยนการเรียบเรียงอยู่พอประมาณ ก่อนที่จะเป็นเพลง “คืนนี้” ที่สายฟังกี้คงปลื้มปริ่มเพราะมาแบบโหดสุดๆ ต่อด้วยแขกรับเชิญท้ายสุดอย่าง ดา Endorphine (ธนิดา ธรรมวิมล) ที่ทำให้เพลง “ไม่ต้องรู้ว่าเราคบกันแบบไหน” เป็นเวอร์ชั่นที่เพราะที่สุดในชีวิตตั้งแต่ผู้เขียนเคยฟังและเคยดูมา แถมอีกหนึ่งเพลงกับ “ระหว่างเรา...คืออะไร” ภาคต่อของเพลงก่อนหน้าที่ กานต์ ก็ได้ร่วมงานกับนักร้องสาวนั่นเอง
ถึงเวลาแทร็คใหม่แกะกล่องอย่าง “แค่นี้...พอ” ที่คาดว่า The Parkinson นำมาเล่นสดเป็นครั้งแรก แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือแฟนๆ ร้องตามได้ดังสนั่นแม้จะปล่อยออกมาก่อนหน้าคอนเสิร์ตเพียงไม่กี่วัน ต่อด้วยเพลงจังหวะสนุกแบบยาวๆ ทั้ง “แอบชอบ” ที่ให้กลิ่นอายดนตรีกอสเปล, “เธอทั้งนั้น”, “เป็นประจำ” และ “September” ของคณะ Earth, Wind & Fire ที่ทำเอาทั้งฮอลล์ลุกขึ้นมาเต้นรำกันอย่างพร้อมเพรียง พร้อมด้วยแขกพิเศษคนสุดท้ายอย่าง เป้-ไพสิฐ คำกลิ่น มือแซกโซโฟนแห่งวง Mild
ก่อนจะปิดท้ายคอนเสิร์ตหนนี้ด้วย “เพื่อนรัก” ที่เพราะที่สุดเท่าที่เคยฟังมาอีกเช่นกัน ส่วนในช่วงอังกอร์ The Parkinson ก็ขอเซอร์ไพรส์ด้วยเพลงโซลในตำนานอย่าง “Let’s Get It On” ผลงานออริจินัลจาก Marvin Gaye ที่ไม่คิดมาก่อนแม้แต่นิดเดียวว่าพวกเขาจะหยิบมาเล่นเป็นการส่งทุกคนกลับบ้านอย่างสวัสดิภาพ
เรื่องฝีไม้ลายมือทางดนตรีคงไม่ต้องอธิบายให้เปลืองเนื้อที่ เพราะ The Parkinson ได้พิสูจน์ผ่านคอนเสิร์ตครั้งนี้แล้วว่าพวกเขายอดเยี่ยมแค่ไหน เก่งแบบ... เก่งมาก (ถ้าพิมพ์เป็นคำอุทานแบบภาษาพูดได้คงพิมพ์ไปแล้ว) แต่หากเก่งอย่างเดียวแล้วไม่สามารถสื่อสารสู่คนฟังได้ก็คงไร้ประโยชน์ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นใน SOULMANTIC คอนเสิร์ตจะบอกเธอว่ารัก คือการที่แฟนเพลงของทั้ง 3 หนุ่มร้องตามได้ “ทุกเพลง” อย่างแท้จริง
ชื่นชอบดอกกุหลาบด้านหลังที่แปรเปลี่ยนไปเป็นสีต่างๆ เป็นอย่างมาก ไม่ต้องหวือหวา แต่สื่อใจความหลักของเพลง The Parkinson ได้อย่างดีเยี่ยม เพลงรักของพวกเขาช่างโรแมนติก ทั้งในเชิงหวานซึ้ง, เศร้าสร้อย และเซ็กซี่ สามทหารเสือแห่งวงการดนตรีทำการเรียบเรียง “ทุกเพลง” ที่เลือกมาเล่นสดเสียใหม่อย่างน่าทึ่ง นี่คือเสน่ห์ของการเล่นสดที่ไม่อาจหาจากการเปิดแผ่นซีดีหรือกดจากสตรีมมิ่งที่ไหนได้
อีกทั้ง The Parkinson ก็ไม่ได้มุ่งมั่นปล่อยของกันเพียงอย่างเดียว เพราะความตลกขบขันในความเป็นธรรมชาติของพวกเขา รวมไปถึงการเล่าเส้นทางสู่การเป็นศิลปินที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบจนถึงขั้นที่วงเคยยุบไปแล้ว ก็ทำให้เราได้ทราบถึงความพยายามที่ทั้งสามสมาชิกต้องการจะนำเสนอสิ่งที่พวกเขารักมาโดยตลอด นั่นก็คือ “ดนตรีโซล” ดนตรีแห่งจิตวิญญาณที่เข้ามาอยู่ในใจคนฟังเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แม้ว่าในช่วงที่ The Parkinson เล่นเพลงคัฟเวอร์ติดๆ กัน 5-6 เพลงอาจจะดูยืดยาดยาวนานไปสักนิดในความเห็นส่วนตัว ส่วนซาวด์ในบางช่วงบางตอนอาจยังไม่ลงตัวนัก โดยเฉพาะช่วงโซโล่เบสของ โต ที่หากเราได้ยินคมทุกโน้ตมากกว่านี้คงจะดีไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดมันก็ยังเป็นความรู้สึกอิ่มเอมที่พวกเขามอบให้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยจิตวิญญาณแห่งศิลปินโซลอย่งแท้จริง
แอบหวังไว้ลึกๆ ว่า คอนเสิร์ตใหญ่ของ The Parkinson ครั้งต่อไป เราจะได้ฟังเพลงของพวกเขาเองแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และแน่นอนว่ามันต้องเพิ่มปริมาณความไพเราะไปอีกหลายเท่าตัวอย่างแน่นอน
Story by: Chanon B.
Photos by: Spicydisc
อัลบั้มภาพ 34 ภาพ