Bomb at Track กับอุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ในวันที่สังคมไทยแทบจะไม่(เคย)เปลี่ยนแปลง | Sanook Music

Bomb at Track กับอุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ในวันที่สังคมไทยแทบจะไม่(เคย)เปลี่ยนแปลง

Bomb at Track กับอุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ในวันที่สังคมไทยแทบจะไม่(เคย)เปลี่ยนแปลง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“สังคมไทยในปัจจุบัน มันไม่มีถูกผิด ไม่ว่ามึงจะขับรถชนใครตาย จนเขาแม่งต้องเข้าห้องดับจิต ขอเพียงแค่เศษกระดาษมีราคา จ่ายมาเพื่อปิดความผิด ไม่นานข่าวคราวก็เงียบหายไป จนประชาชนแม่งลืมสนิท”

วรรคแรกสุดจากซิงเกิลเปิดตัวของวงดนตรีนามว่า Bomb at Track อย่าง “อำนาจเจริญ” เมื่อ 2 ปีที่แล้วน่าจะยืนยันตัวตนและความคิดที่เด็กกลุ่มนี้มีต่อสังคมบ้านเราได้เป็นอย่างดี ความเน่าเฟะ ความโหดร้าย ความอยุติธรรมทั้งหลายที่พวกเขามองว่าอบอวลอยู่ในแทบจะทุกอณู อาวุธของใครบางคนอาจเป็นสิ่งของมีคม กระบอกปืน หรือแม้แต่แป้นพิมพ์ แต่อาวุธของพวกเขาคือ... ดนตรี

5 สมาชิกอย่าง ข้น-ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส), ปุ้ย-ปราชญานนท์ ยุงกลาง (กีตาร์), นิล-สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง), เมษ-ภควรรษ ประเสริฐศักดิ์ (กีตาร์) และ เต้-วงศกร เตมายัง (ร้องนำ) ตอกย้ำมุมมองอันตรงไปตรงมาอีกครั้งผ่านอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิตที่มีชื่อว่า White ซึ่งปล่อยออกมาเมื่อปีก่อน ไล่เรียงมาจนถึงคอนเสิร์ตใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 กับ Bomb at Track Concert #ถ้าไม่ได้ยินก็ต้องตะโกน เสียงของพวกเขาเริ่มเด่นชัดและมีพลังมากขึ้นเรื่อยๆ แม้จะเป็นเสียงจากหลืบเล็กที่ซ่อนอยู่ ที่ทั้ง 5 ชีวิตก็ตะโกนออกมาอย่างสุดชีวิต เพื่อหวังให้สังคมได้มีความเปลี่ยนแปลง

>> ถึงเวลาปลดปล่อย! Bomb at Track เตรียมมีคอนเสิร์ตใหญ่ในชื่อ “ถ้าไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกน”

ในวันที่ Sanook! Music บุกไปถึงห้องซ้อม Bomb at Track วงแร็ปเมทัลวงนี้แสดงออกถึงพลังแห่งเด็กยุคใหม่ที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร การได้ดูพวกเขาเล่นสดเพลง “ราชา” ในระยะเพียงไม่กี่เมตรนั้นส่งต่อความฮึกเหิมในการพูดถึงอะไรบางอย่างที่บางคนอาจไม่กล้าแม้แต่จะคิดได้อย่างสง่างาม หลังจากนั้นพวกเขาก็ออกมาสนทนาแลกเปลี่ยนทรรศนะกับเราอย่างออกรส

การเติบโตไม่ได้ทำให้เด็กกลุ่มนี้สูญเสียอุดมการณ์ แม้ทุกอย่างที่พวกเขาอยากจะแก้ไขให้ดีขึ้นอาจยังไม่เป็นรูปธรรมในวันนี้ แต่คอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้น จะเป็นกระบอกเสียงครั้งสำคัญของเหล่าคนรุ่นใหม่ที่อยากจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น... ในสักวัน

ก่อนหน้านี้พวกคุณมีอัลบั้มเต็มชุดแรกในชีวิตที่ชื่อ White ซึ่งแปลตรงตัวว่า สีขาว ซึ่งมันสวนทางกับเรื่องราวที่ Bomb at Track สื่อผ่านเพลงอยู่เหมือนกันนะ?

ข้น : คือเราอยากตั้งคอนเซ็ปต์ของอัลบั้มนี้ว่าเป็นสีขาวครับ สีขาวในทีนี้หมายถึง สิ่งที่บริสุทธิ์ แทนความว่างเปล่า เป็นเปลือก เป็นอะไรสักอย่างที่เกิดขึ้นใหม่โดยไม่มีสีอื่น ก่อนที่... มันจะถูกแต่งเติมสีเข้าไป เปรียบเทียบง่ายๆ ในตอนแรกมันเป็นสีขาว พอเกิดสังคม เกิดคนรูปแบบหลากหลาย มีความแตกต่างเกิดขึ้น มันจึงเกิดสีอื่น แม้แต่อารมณ์หรือการกระทำของแต่ละคนในสังคมที่อาจทำให้เกิดสีดำขึ้น หรืออาจทำให้เกิดสีที่ดูมีความสุข อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มแรกของพวกเรา เป็นสิ่งแรกสุด เราเลยเปรียบมันว่า ก่อนที่จะฟังมัน สิ่งที่ห่อหุ้มอัลบั้มนี้อยู่คืออะไรบางอย่างที่เป็นสีขาว แต่พอฟังเสร็จ อัลบั้ม White ก็จะเปลี่ยนสีไปในแบบของแต่ละคนไปเลย ตามแล้วแต่ที่จะรู้สึกจากเพลงต่างๆ White หรือสีขาวหรือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งครับ

นิล : แล้วถ้าสังเกตบนปกอัลบั้มจะมีรูปค้างคาว ภาษาอังกฤษคือ BAT ซึ่งก็ย่อมาจาก Bomb at Track ได้ อีกความหมายคือ ค้างคาวเป็นสัตว์ที่อยู่ในที่มืด ออกหากิน และมีความคล่องแคล่วในที่มืด เปรียบเสมือนเราเอาสิ่งที่มันอยู่ข้างในมืดๆ สิ่งที่คนไม่ค่อยพูดกัน หรือสิ่งที่คนไม่ค่อยอยากจะแตะต้อง ไม่อยากพูด เราจะพูดสิ่งเหล่านี้ออกมา

ข้น : คือค้างคาวจะใช้คลื่นเสียงของตัวเองสะท้อนออกไปเพื่อหาเหยื่อครับ เป็นเหมือนเรดาร์ ชอบออกหากินตอนกลางคืนโดยที่ไม่สนใจ ไม่กลัวความมืด Bomb at Track ก็เป็นค้างคาวตัวหนึ่งที่บินเข้าไปในความมืด โดยไม่มีความกลัวใดๆ แล้วใช้คลื่นเสียงเป็นสิ่งสะท้อนกลับมาหาตัวเรา ให้เราได้ยินและออกหาเหยื่อได้ ประมาณนั้น

เรื่องราวหรือสิ่งที่ Bomb at Track นำเสนอผ่านอัลบั้ม White มีความแตกต่างมากน้อยแค่ไหนกับอีพีอัลบั้มที่ปล่อยออกมาในปี 2017?

เมษ : คือตอนอีพีที่ชื่อ Bomb at Track เราจะพูดถึงสังคมที่ไม่ยุติธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ จะมีความดิบค่อนข้างมาก แต่พอมาเป็น White เราจะยึดสังคมไว้เป็นจุดตรงกลางเหมือนเดิม แต่สังคมมันสามารถพูดแตกออกไปได้หลายเรื่องมาก ใครฟังแล้วจะรู้ว่ามันมีหลากอารมณ์ แล้วก็เป็นสิ่งที่เราเจอในชีวิตอยู่ทุกวัน ส่วนพาร์ตดนตรีผมรู้สึกว่ามันเนี้ยบขึ้นนะ แต่ยังมีความดิบอยู่ แค่ในอีพีมันจะดิบมาก

ปุ้ย : คือของเดิมๆ ก็ไม่หายไปครับ แต่เพิ่มอะไรใหม่ๆ เข้ามามากกว่า

เต้ : มันมีความโตขึ้น มีเรื่องชีวิตเข้ามาเกี่ยวบ้าง ในเรื่องที่พูดถึงสังคม ก็มีเรื่องชีวิตรวมอยู่ในนั้นด้วย ไม่เน้นการก่นด่าเหมือนในอีพีขนาดนั้น

นับจากซิงเกิลแรกสุด “อำนาจเจริญ” มาจนถึงตอนนี้ที่นั่งคุยกัน Bomb at Track เปลี่ยนแปลงไปในแง่ใดบ้าง?

ปุ้ย : เราเคยยืนยันว่าจะไม่ทำเพลงรัก แต่ว่าความคิดเราเปลี่ยนไปเร็วมาก โดยที่เราไม่ได้จำกัดตัวเองในเรื่องของความคิด จริงๆ เพลงรักมันทำได้อีกแบบ เป็นในเชิงให้กำลังใจก็ได้ ไม่ต้องหวานเลี่ยนก็ได้

เต้ : หรืออย่างเรื่องเนื้อหา ผมว่าผมเปลี่ยนการใช้คำไปนิดหน่อย ไม่ได้ใช้คำที่แรงเท่าเดิม ไปเอาคำที่มีความหมายเดียวกัน แต่เป็นคำอื่นที่บางทีมันอาจจะสวยหรูกว่าบ้าง คือมันก็ยังมีเพลงแรงๆ อย่างนั้นอยู่ ยังมีความกระแทก ใส่คำแรงๆ ลงไป แต่ก็มีเพลงที่โตขึ้นไปเลยอย่าง “มิดไมล์” อันนี้คือสะท้อนอย่างเดียว ไม่มีการด่าอะไรเลย ผมใช้วิธีลองประยุกต์จากตัวเองครับ ผมลองกลับไปดูประโยคเก่าๆ มีประโยคไหนที่ใช้คำนั้นคำนี้แทนได้แล้วความหมายมันไม่เปลี่ยนแปลงบ้าง รูปคำมันอาจจะเปลี่ยนไป บางทีมันจะดูโตขึ้น กลายเป็นคนพูดนิ่งๆ แต่ความหมายเหมือนเดิม ต่างกับตอนเราเด็กๆ ที่พูดเหมือนกันเลย แต่การกระทำคือใส่ยับ ผู้ใหญ่มันแค่พูดนิ่งๆ ก็รู้เรื่องแล้ว

ตอนปล่อยอีพีออกมา มีหลายคนบอกว่า Bomb at Track เปรียบเสมือน Rage Against the Machine เมืองไทย คำกล่าวนี้มันค่อยๆ เริ่มจางหายไปหรือยัง?

ข้น : ก็ยังมีอยู่ ก็ยังมีคนมาถามว่า เราชอบฟัง Rage Against the Machine ใช่ไหม ผมก็บอกว่า เปล่าครับ พวกเราทำแบบที่อยากทำ มันแค่มีบางอย่างที่เชื่อมโยงกันเฉยๆ ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง มันคือเพลงร็อค มันคือการแร็ป หนักเบา สั้นยาว ทุ้มกลางแหลม มันมีส่วนคล้ายอยู่แล้วครับ แต่ตอนที่เราคิดงาน เราไม่ได้หยิบของเขามาทำ แต่เราทำจากความเป็นตัวเรา ความชอบของพวกเราแต่ละคน วัตถุดิบที่ทุกคนมีหามาจากการดูหนังฟังเพลง มันเกิดมาจากพวกเราจริงๆ แต่มันก็ไม่ผิดที่คนจะเปรียบเทียบ บางทีเราแค่อยากจำกัดอะไรบางอย่างที่ไม่มีชื่อ เราก็เลยบอกว่าอันนี้มันคล้ายอันนั้น เพราะคนพูดแค่อยากจะทำให้เห็นว่า ภาพมันคล้ายกัน แล้วส่วนใหญ่จะเป็นไปในทางบวกมากกว่า ไม่ได้บอกว่าไปก็อป จริงๆ แล้วบอกว่าเหมือนวงอื่นก็มีนะครับ

เต้ : เดี๋ยวนี้เริ่มไปเรื่อยแล้ว (หัวเราะ)

เมษ : บางทีไปถึง Bring Me the Horizon แล้ว (หัวเราะ) ไปไกลมากครับ แต่พวกผมก็ไม่ได้ซีเรียส แล้วก็มีคนมาปกป้องเยอะเหมือนกันครับ แบบว่า ฟังแล้วเหมือน Bomb at Track เลย ประมาณนี้

ดูเหมือนว่าสาวกของ Bomb at Track จะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วแฟนเพลงของทุกวงดนตรีมักจะมีความคาดหวังกับศิลปินที่เขารักเสมอ ไอ้ความคาดหวังมันส่งผลกระทบต่อการทำงานของวงบ้างไหม?

เมษ : ยกตัวอย่างอย่างนี้ก็ได้ สมมติว่าเราทำอีพี เพลงหนักๆ กระแทกๆ อย่างเดียว เราเคยมีความคิดว่าเราไม่อยากทำเพลงซอฟท์ๆ เดี๋ยวคนนั้นคนนี้เขาจะคิดอย่างไร แต่ไปๆ มาๆ เรากล้าที่จะทำอะไรที่ไม่เคยทำ แต่มันคือตัวเรา ซึ่งมันกลับดีมากๆ อย่างเพลง “จด” คนร้องตามดังมาก นั่นคือประสบความสำเร็จมากๆ เราไม่จำเป็นต้องย่ำอยู่กับที่ครับ คนที่เขาชอบเรา รักเราอย่างไร ผมเชื่อว่าเขาจะซัพพอร์ตเราเสมอ

ชื่อเสียงที่เพิ่มมากขึ้น มีคนรู้จัก Bomb at Track มากขึ้น มันสร้างความรู้สึกในแง่ไหนให้เกิดขึ้นบ้าง?

เมษ : มันเป็นแรงผลักดันมากกว่า อย่างช่วงนี้มีคนมาทักบ่อยกว่าเมื่อก่อนเยอะ บนดอยก็เคยเจอ ออกจากโรงหนังแล้วมาขอถ่ายรูปก็มี (หัวเราะ)

เต้ : ที่แปลกๆ มีเยอะครับ มีอยู่วันหนึ่งผมไปนั่งกินผัดไทยร่วมโต๊ะกับอีกคนหนึ่ง ซึ่งผมไม่รู้จักเขา แต่เขาดันรู้จักผมก็มี

ซึ่งก็ไม่ได้มีอยู่แค่ในกรุงเทพฯ?

เมษ : ผมว่าต่างจังหวัดนี่โคตรพีค แตกทุกร้าน

ปุ้ย : ผมกับเมษเคยเจอน้องแฟนคลับ เรียนอยู่ชั้นประถม หรือไม่ก็มัธยมต้น เป็นเด็กผู้หญิงด้วย อยู่ดีๆ เดินมาขอถ่ายรูปด้วย เฮ้ย ใช่เหรอวะ (หัวเราะ)

และล่าสุดพวกคุณกำลังจะมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรกในชีวิตในชื่อ #ถ้าไม่ได้ยินก็ต้องตะโกน ?

เต้ : ผมตื่นเต้นไปหมดเลยเนี่ย ทุกวันนี้วิ่งออกกำลังกายหนักมาก ถี่มาก เอาจริงๆ 2 ปีที่ผ่านมามันก็เป็นสิ่งที่อยู่ในหัว สิ่งที่เราคิดว่าอยากให้มีมาตลอด

เหมือนว่ามันจะเหมาะเจาะกับสถานการณ์บ้านเมืองของเราในตอนนี้อยู่ไม่น้อย?

นิล : ผมก็ว่าเหมาะสมนะ เพราะมันก็มีหลายๆ เรื่องที่ทุกๆ คนก็รู้ แต่บางอย่างมันพูดไม่ได้ ก็ต้องมาตะโกนกันในคอนเสิร์ต

ข้น : ให้คนมาปลดปล่อยในคอนเสิร์ตของพวกเราครับ เป็นช่วงเวลาที่น่าจะมันดี

แล้วแขกรับเชิญแต่ละคนก็ดุเดือดเลือดพล่านทุกคน?

เต้ : Repaze นี่พิเศษมาก เพราะพวกเราไม่เคยเล่นเพลง “คำตอบ” ที่เขามาฟีทเจอริ่งที่ไหนเลย คือไปทุกงานมีขอให้เล่นทุกงาน (หัวเราะ)

เมษ : ผมไม่เล่นเพราะว่าอยากให้ Repaze มาร้องสดเป็นคนแรก

ข้น : ส่วน S.O.L.E. นี่ ผมชอบผลงานของพี่เติ้ล (ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์ เจ้าของโปรเจกต์ S.O.L.E.) มาก ความมันระดับพี่เขาน่าจะมาแจมกันในคอนเสิร์ต แม้จะเป็นดนตรีคนละแนวก็ตาม

เมษ : คนดูถึงจุดสุดยอดแน่นอน (หัวเราะ)

แต่ที่เราสนใจมากคือ Rap Against Dictatorship เจ้าของเพลง “ประเทศกูมี” เพราะสิ่งที่พวกคุณนำเสนอดูจะมีความคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม?

เมษ : ตั้งแต่ Rap Against Dictatorship ปล่อยเพลง “ประเทศกูมี” ออกมา พวกเราก็ชื่นชอบอยู่แล้ว มีคนพูดกันเยอะว่าอยากให้มาแจมกัน ซึ่งล่าสุดพวกเราก็ปล่อยเพลง “ถ้าไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกน” ที่ได้ Liberate P กับ GSUS2 มาฟีทเจอริ่ง แต่ในวันคอนเสิร์ตจริง RAD มาครบแน่นอน คือก่อนหน้านี้มันก็มีช่วงด้อมๆ มองๆ พวกพี่เขาอยู่ แล้วมันมีช่วงที่บางสิ่งบางอย่างมันพีคมากๆ ไม่ไหวแล้ว ทักพี่ Liberate P ไปเลย

ณ วินาทีนี้ สิ่งที่อยากตะโกนออกมามากที่สุดของแต่ละคนคืออะไร?

ปุ้ย : ผมเบื่อคนขี้โกงมากเลย บางครั้งผมก็ไม่รู้จะทำอย่างไร มันทุเรศเกินไป ก็เซ็งนะ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ออกมาตะโกนด้วยกันดีกว่าว่า เราไม่ชอบคนที่ขี้โกง หรือว่าที่เขาไม่แฟร์กับเรา ไม่แฟร์มากๆ

นิล : อยากตะโกนให้ผู้ใหญ่ได้ยินกว่า เด็กก็ไม่ได้โง่ เพราะบางเรื่องเราก็เห็นกันอยู่แล้วว่า มันไม่ถูกต้อง มันไม่สมควรที่จะทำแบบนั้น ทุกคนไม่มีใครต่ำใครสูง ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่ควรโกงซึ่งๆ หน้า เราอยากตะโกนเพื่อให้เขารู้ด้วยว่า มันไม่โอเคที่จะมาเอาเปรียบกัน

เต้ : อยากตะโกนว่า ทำไมพวงมึงหน้าด้านจังวะ เขารู้ว่าพวกเรารู้ ว่าเขาทำอะไรกันอยู่ เขาเลือกที่จะไม่สนใจเฉยๆ ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เหมือนพวกเราเป็นแค่เสียงนกเสียงกาที่ไม่จำเป็นต้องไปสนใจ ก็กูจะทำอย่างนี้ แล้วมึงจะทำอะไรกูได้ ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่อึดอัดมาก แล้วมันเป็นอย่างนี้มานาน ทุกคนก็รู้สึกเหมือนกัน แค่มันพูดออกมาไม่ได้ มันทำอะไรไม่ได้จนบางคนเอือมไปเอง เหนื่อยกับความรู้สึกของตัวเองไปเอง แล้วมันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สุดท้ายก็ต้องมาจมอยู่กับตัวเอง ไม่มีอะไรถูกแก้ไข

ข้น : อยากตะโกนบอกทุกคนว่า ถ้าอยากปลดปล่อย มาคอนเสิร์ตของ Bomb at Track ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงผู้ชาย อายุเท่าไหร่ก็ช่าง เสียงดนตรีเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องได้ยินกันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ผมอยากตะโกนบอกว่า สิ่งที่พวกเราทำเป็นสิ่งที่เรารู้สึกกันจริงๆ อยากให้ทุกคนลองเปิดใจและมารับฟังพวกเราในคอนเสิร์ตนี้

เมษ : อยากตะโกนว่า Sold out (หัวเราะ)

เคยมีความกลัวในสิ่งที่ Bomb at Track นำเสนอผ่านเพลงของพวกคุณบ้างไหม?

เมษ : ผมกลัวสุดตอนปล่อยเพลง “อำนาจเจริญ” กลัวแบบขำๆ น่ะครับว่าจะเป็นอย่างไรบ้างวะ

ปุ้ย : อาจจะเป็นช่วงแรกๆ เหมือนเมษ แต่ก็ไม่ได้กลัวจริงจังขนาดนั้น แต่พอนานๆ ไปมันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้วนะ

นิล : ไม่กลัวนะครับ เพราะที่พูดไปก็เป็นเรื่องจริง เป็นความจริง ไม่ได้แต่งไปใส่ร้ายใคร มันดีด้วยซ้ำไปที่เขารู้ตัวว่า มีคนกลุ่มหนึ่งนะที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องพวกนี้

สารที่อยากจะส่งไปถึงสังคมไทยผ่านคอนเสิร์ต #ถ้าไม่ได้ยินก็ต้องตะโกน คืออะไร?

ปุ้ย : ผมอยากส่งต่อแรงบันดาลใจนะ รวมไปถึงเรื่องราวในบทเพลง ผมรู้สึกว่าเพลงได้ทำหน้าที่ของมันอยู่แล้ว มันได้ถ่ายทอดไปที่ตัวผู้ฟังอยู่แล้ว ผมว่าคนที่มาน่าจะได้ปลดปล่อย น่าจะได้แรงบันดาลใจหรือข้อคิดกลับไปแน่นอน

เต้ : ใช่ครับ ผมว่าเวลาเราดูคอนเสิร์ตจบคอนเสิร์ตหนึ่ง มันจะมีข้อคิดที่ได้กลับมาเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าเราจะไปดูคอนเสิร์ตวงไหนที่เราชอบก็ตาม ซึ่งเราได้ข้อคิดมาเพราะเราอินกับเพลงเขา บวกกับการที่ศิลปินสื่อสารบนเวที คำพูดนั่นนี่บางทีมันอาจทำให้ทุกคนฉุกคิดถึงเนื้อเพลง ถึงสิ่งที่เราได้สื่อออกไป มันทำให้ความคิดนั้นได้เปิดกว้างขึ้น

ข้น : สิ่งที่ผมอยากส่งต่อออกไปคือเรื่องของแนวดนตรี ตอนนี้ในประเทศไทยวงที่เป็นแบบเรามันก็มี แต่มันไม่ได้ขึ้นมาให้ทุกคนเยอะมากนัก แต่วงแบบเราก็ไม่ได้เป็นวงที่ป็อปปูล่าร์ที่จะไปเล่นที่ต่างๆ ได้ทั้งหมด แล้วเราก็มีโอกาสได้ทำคอนเสิร์ตใหญ่ ผมอยากเป็นจุดๆ หนึ่งที่เรียกคนที่ชื่นชอบในแนวดนตรีนี้มารวมตัวกัน อยากให้คนอื่นรู้ว่ามันมีแนวดนตรีแบบเรา เอกลักษณ์แบบนี้ รสนิยมแบบนี้ กลุ่มคนแบบนี้ ที่กำลังทำอะไรแบบนี้ ให้มันแข็งแรงขึ้นมา ให้เขาเข้ามาดูมาเสพแล้วได้รู้ว่า ประเทศไทยมีวงดนตรีที่มีความแตกต่างกันมากๆ อยู่

เมษ : เสริมจากข้นก็คือ อยากให้คอนเสิร์ตนี้เป็นพลังที่ต่อยอดพวกเราไปถึงจุดที่ว่า ทุกคนรู้ว่ามี Bomb at Track อยู่บนโลกใบนี้ คอนเสิร์ตใหญ่มันส่งต่อไปถึงภาพที่ใหญ่ แล้วภาพที่ใหญ่ก็อาจจะส่งผลไปสู่คนที่ไม่เคยรู้จักเรา เขาอาจจะรู้สึกว่า มีวงแบบนี้ด้วยหรือ แล้ววงนี้มันจัดคอนเสิร์ตใหญ่ มีคนมาขนาดนี้เลยหรือ แล้วมันจะทำให้เขาเชื่อในอะไรบางอย่างได้ พอวันหนึ่งที่เพลงของเราหรือแนวดนตรีที่เราเล่นมันขึ้นไปได้อย่างที่ตั้งใจไว้ ผมว่ามันก็จะมีพลังมากขึ้นในการเปลี่ยนอะไรบางอย่างที่เราตั้งใจเหมือนกัน หมายถึงทั้งวงการดนตรีไทยและสังคมไทยด้วย

สังคมไทยในทุกวันนี้จากสายตาเด็กอายุ 23-24 เช่นพวกคุณ มันเป็นอย่างไร?

เต้ : จากวันที่เราปล่อยเพลง “อำนาจเจริญ” มันก็ยังเหมือนเดิมครับ (หัวเราะ) หลายๆ อย่างที่ผมพูดถึงในเพลงมันยังเหมือนเดิมอยู่ เผลอๆ บางทีมันอาจจะหนักขึ้นด้วยซ้ำ

เมษ : ในความรู้สึกผมว่ามันกำลังจะเข้าสู่อะไรสักอย่าง แต่ในระหว่างทางก็อาจมีความหวังเล็กๆ บ้าง ยิ่งเวลามีคนรุ่นใหม่เข้ามาจะทำให้ประเทศพัฒนา แต่เขาอาจจะยังสู้ไม่ได้ แต่วันหนึ่งผมว่าก็ยังมีโอกาสนะ ถ้าไม่สายเกินไป

ปุ้ย : คือมันต้องแลกด้วยอะไรหลายๆ อย่างครับ ประชาธิปไตย มันก็ต้องแลกด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อน ความรู้สึกจริงๆ ตอนนี้เหมือนมันกำลังวนลูป และผมว่ามันน่าจะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันครับ ต้องรอดูต่อไป

อีก 4 ปีนับจากนี้ล่ะ?

เมษ : คือตอนนี้คนมันออกความเห็นได้ง่ายและเยอะขึ้นกว่าเมื่อก่อน แล้วมันทำให้คนตระหนักมากขึ้นนะผมว่า เขาอาจจะไม่อยู่เฉยเหมือนเมื่อก่อน แล้วมันก็อาจจะมีพลังบางอย่างที่มาช่วยกันก็ได้

ปุ้ย : หรือมันอาจจะคอนทราสต์หนักกว่าเดิมก็ได้ ทุกวันนี้คนจนยังมีเยอะเหมือนเดิม พวกโฮมเลสอะไรอย่างนี้ ข้างซ้ยาเป็นตึกสวยงาม ข้างๆ กลับเป็นตึกที่คนอีกชนชั้นอาศัยอยู่ ผมว่ามันจะเป็นแบบนี้หนักขึ้นไปอีกถ้าประเทศไทยยังเป็นแบบนี้ต่อไป ยิ่งแย่หรือเปล่าผมไม่รู้ แต่มันก็มีความหวังอยู่อย่างที่เมษบอก

พวกคุณเชื่อมากขึ้นไหมว่าบทเพลงของ Bomb at Track จะเปลี่ยนอะไรบางอย่างในสังคมไทยได้จากเมื่อ 2 ปีก่อน?

ปุ้ย : มากขึ้นชัวร์ร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ เพลงมันได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว อย่างเพลง “จด” ก็อะไรนะ...

ข้น : มีคนมาขอบคุณ บอกว่าเพลงนี้ช่วยชีวิตเขาไว้ เขามีปัญหาชีวิตอยู่ แล้วเขาคิดสั้น แต่พอฟังแล้วเขารู้สึกว่าเหมือนมีคนคอยคุยกับเขาอยู่ข้างๆ

เต้ : มันมากกว่าความเชื่อแล้วครับ เหมือนมันส่งผลให้เห็นแล้วว่า เพลงของพวกเรามันทำงานอย่างไร

เมษ : หรือเพลง “ราชา” ก็มีคนมาบอกว่า ฟังก่อนไปทำงานทุกเช้าเพื่อให้มีกำลังใจ

เต้ : ผมว่ามันคือการเปลี่ยนแปลงจิตใจคนมากกว่าครับ มันเปลี่ยนได้แน่นอน ซึ่งก็มีให้เห็นแล้วด้วย เพลงมันมีผลกระทบกับความรู้สึก กับการกระทำของมนุษย์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว คนที่ชอบ Bomb at Track มากๆ อินกับเรามากๆ เขาต้องฉุกคิดแน่นอน ไม่ใช่ว่าเขาแค่จะไปดูคอนเสิร์ตเราเพื่อไปตะโกน ไปมัน ไปเหนื่อยกัน แต่ผมว่ามันก็มีเรื่องราวที่เขาอยากจะได้ยินจากปากเรา เหมือนเขารู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขา ผมว่าตอนนี้มันส่งผลได้ดีประมาณหนึ่งเลย มันอาจจะยังไม่ชัดเจนสำหรับภายนอก แต่สิ่งที่สะท้อนเข้ามาหาตัววงเอง มันได้ผลแล้ว

ปุ้ย : ผมว่ามีคนเชื่อเรามากขึ้นจากเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนนั้นคนอาจยังไม่ค่อยเชื่อเพราะเรายังเด็กด้วย แล้วเราพูดเรื่องที่ใหญ่กว่าตัว แต่พอเราโตขึ้น เขาเริ่มเชื่อในสิ่งที่เราพูด เพราะเราจริงจังกับมัน

ข้น : แล้วเราก็ยังยืนหยัดในสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่ต้นอยู่ มันก็เลยดูเหมือนคนๆ นี้ไม่ได้พูดแค่วันสองวัน มันพูดกันเป็นเดือน เป็นปี เป็นสองปีแล้ว มันก็ยังพูดเรื่องเดิมอยู่ ยังรู้สึกเหมือนเดิมอยู่ แล้วเราก็จะทำต่อไปเรื่อยๆ

นิล : เป้าหมายหรืออุดมการณ์แรกมันยังอยู่หมดเลยครับ ไม่มีอะไรที่หายไปเลย เป็น Bomb at Track คนเดิมครับ (หัวเราะ)

เมษ : แล้วมันก็สะท้อนกลับมาที่พวกเราด้วยนะ พวกผมทำเพลงไม่ให้คนโกง แล้วพวกผมจะเอาหน้าที่ไหนไปโกงเอง คนที่ชอบเราเขาก็ต้องฉุกคิดได้บ้างว่า พวกเราเป็นคนชอบความยุติธรรมว่ะ ผมว่ามันต้องมีไม่มากก็น้อยที่เพลงของ Bomb at Track มันช่วยให้คนฟังได้คิดอะไรได้บ้าง

 

Bomb at Track Concert #ถ้าไม่ได้ยินก็ต้องตะโกน จะมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม 2562 ณ Voice Space บัตร Early Bird หมดไปเรียบร้อย แต่ล่าสุดเปิดจำหน่ายเพิ่มเติมอีกครั้งแล้ว ติดตามข่าวสารได้ทางเฟซบุ๊กเพจของ Bomb at Track ไว้ รีบจับจองกันด่วนๆ

Story by: Chanon B.
Photos by: Ditsapong K.

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ

อัลบั้มภาพ 44 ภาพ ของ Bomb at Track กับอุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ในวันที่สังคมไทยแทบจะไม่(เคย)เปลี่ยนแปลง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook