คอนเสิร์ตใหญ่ Bomb at Track ร่ำร้องความเป็นจริง แต่ถ้าไม่ได้ยิน... ก็ต้องตะโกน
เคยไหม... ที่พูดอะไรออกไป แต่ผู้คนกลับไม่ได้ยิน หรือว่าพวกเขาได้ยิน... แต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ไม่ว่าจะได้ยินหรือไม่ เด็กหนุ่ม 5 คนที่สร้างวงดนตรีนามว่า Bomb at Track ขึ้นมาเป็นกระบอกเสียงในการเล่าเรื่องราวที่ “เกิดขึ้นจริง” ในสังคมก็พยายามตะโกนสิ่งที่พวกเขารู้สึกนึกคิดมาตลอด โดยมีดนตรีแร็ปเมทัลอันหนักหน่วงห่อหุ้ม ผ่านอีพีอัลบั้มชื่อเดียวกันกับวง สู่อัลบั้มเต็มชุดแรกในชื่อ White และคอนเสิร์ตใหญ่เต็มรูปแบบครั้งแรกในชีวิตที่เราเชื่อว่า พวกเขาคงอยากจะเล่าอะไรหลายๆ อย่างผ่านโชว์ๆ นี้
เพราะเพียงแค่ชื่อ Bomb at Track คอนเสิร์ต “ถ้าไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกน” ก็ทำให้เราอยากรู้แทบจะในทันทีที่มีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า พวกเขาอยากจะตะโกนอะไรออกมากันบ้าง...
ด้วยความที่บัตร Early Bird หมดเกลี้ยง รวมถึงมีการเปิดจำหน่ายบัตรเพิ่มอีกเพียง 200 ใบ ทำให้บรรยากาศ ณ Voice Space ซึ่งถือเป็นฐานบัญชาการคอนเสิร์ตในค่ำคืนดังกล่าวคึกคักตั้งแต่หัววัน บ้างก็มานั่งรอเพื่อเข้าฮอลล์เป็นคนแรกๆ หรือไม่ก็มาต่อคิวซื้อสินค้าที่ระลึกของวงซึ่งยาวเหยียดทีเดียว
อุ่นเครื่องกันก่อนกับแก๊ง Lord Liar Boots ที่บ้าคลั่งเอาการ ดนตรีป็อปพังก์เดือดๆ ที่เข้ากับคอสตูมอันเป็นเอกลักษณ์ของวง ตัดสลับกับเพลงช้าเมโลดี้สวย ไม่ว่าจะเป็น “Don’t Tell Mom”, “นาฬิกา”, “รองเท้า”, “สาย 4”, “Bhutan Girl” และ “ขี้งอน” ที่มือกลองอย่าง บลู อิงควัชร์ หวดสแนร์จนไม้หัก แอบเสียดายเล็กๆ ตรงที่ถ้าหนุ่มบลูหวดต่อด้วยไม้กลองอันเดียวก็คงจะพังก์ไม่น้อยเลยทีเดียว ส่วนเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ของวงดนตรีวงนี้นั้นหายห่วง บ้าระห่ำได้ใจทุกโชว์ มีเพียงซาวด์โดยรวมที่ออกมาไม่สมดุลสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเสียงกลองชุดที่เบามากๆ โดนกีตาร์และเบสกลบเสียจนหมด
ยังไม่ทันหายเหนื่อยก็ต่อกันด้วย S.O.L.E. โปรเจกต์เดี่ยวของ ไตเติ้ล-ปฏิภาณ สุวรรณสิงห์ นักร้องนำและมือกีตาร์วง The Whitest Crow ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องการแสดงสดที่สุดแสนจะเดือดดาล และก็ยังคงความรู้สึกนั้นไม่เปลี่ยนแปลง ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์กลิ่นอายเรฟจ๋าๆ ก็ทำเอาทั้งฮอลล์โยกกันเป็นว่าเล่นทั้ง “Bangkok Teenage Renaissance”, “Cyber Punk”, “Psycho Killer”, “When Everyone Is Doing a Moshpit”, “Call Me”, “Life Is Nothing but Anime” และ “Like a Magic” แม้ว่าบรรยากาศโดยรวมจะคึกคักดีแท้ แต่ปัญหาเรื่องซาวด์ก็ยังคงมี โดยเฉพาะเสียงกลองที่ยังคงโดนกลบ ไม่หนักแน่นเท่าที่ดนตรีแนวนี้ควรจะเป็น
ถึงเวลาตะโกนกันแล้ว เสียงสัญญาณเตือนที่มาพร้อมแสงสีแดงฉาบไปทั่วอาณาบริเวณบนเวที ตกกระทบไปถึงนั่งร้านเหล็ก 4 แท่นที่ตั้งเรียงรายจากซ้ายไปขวา เสียงตะโกน Bomb at Track ซ้ำไปซ้ำมาจากเหล่าสาวกด้านล่างที่พร้อมกันมานานแล้ว ในที่สุด 5 สมาชิกนำโดย เต้-วงศกร เตมายัง (ร้องนำ), ข้น-ศาสตร์ พรมุณีสุนทร (เบส), นิล-สิรภพ เลิศชวลิต (กลอง), ปุ้ย-ปราชญานนท์ ยุงกลาง (กีตาร์) และ เมษ-ภควรรษ ประเสริฐศักดิ์ (กีตาร์) ก็ประจำการตามตำแหน่ง ทุกคนตะโกนท่อนที่ร้องว่า “คำว่าสันติภาพนั้นไม่มีวัน” ดังไปทั่วทุกสารทิศ เปรียบเสมือนเสียงปืนที่ให้สัญญาณออกตัวนักวิ่ง คอนเสิร์ตครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ
“สันติภาพ”, “ฉวย”, “หุบปาก”, “ผู้ใหญ่”, “ราชา” คือการรัวหมัดความมันชุดแรกของ Bomb at Track ที่แทบจะไม่มีช่วงให้พักหายใจ ก่อนจะได้เวลาของแขกรับเชิญสุดพิเศษอย่าง ริม-กฤษณะ ปานดอนลาน แห่งวง Silly Fools ที่มาจัดเพลง “จด” ให้แฟนๆ ร้องกันกระหึ่ม ก่อนจะปิดเซตแรกด้วย “มิดไมล์” อีกหนึ่งเพลงเจ๋งในอัลบั้ม White ที่เราชื่นชอบมากๆ
แต่... ซาวด์กลองยังเบา ซาวด์โดยรวมยังบางเหลือเกิน นี่คือสิ่งที่เราแอบเป็นห่วง...
หลังจากนั้นตัวอักษร 3 ตัวบนจอด้านหลังก็ทำเอาทุกคนฮือฮา เพราะมีแค่ “ประ...” ให้เดากันเล่นๆ ว่าจะต่อด้วยคำว่าอะไร ท้ายที่สุดเฉลยว่าคือ “ประเทศกูมี” กับการปรากฏตัวของ Rap Against Dictatorship แก๊งฮิปฮอปที่ยืนแน่นขนัดบนเวที กับดนตรีเรียบเรียงใหม่ที่ดุขึ้นในสไตล์ Bomb at Track แน่นอนว่าเพลงถัดมาก็ยังได้ 2 สมาชิกจาก RAD อย่าง Liberate P และ GSUS2 ร่วมกันเดือดในเพลงธีมของคอนเสิร์ตอย่าง “ถ้าไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกน”
เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ เพราะหลังจากเพลง “พ่อใหญ่” จบลง โชว์ก็ต้องหยุดไปพักใหญ่เนื่องจาก เมษ มือกีตาร์ประสบอุบัติเหตุตกเวที ต้องปฐมพยาบาลกันนานพอสมควร ยังดีที่ เต้ และ ปุ้ย ยังแก้ไขสถานการณ์ด้วยการชวนคนดูคุยบ้าง ยกเครื่องดื่มขึ้นมาดื่มบ้างอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งในท้ายที่สุดความกังวลว่าคอนเสิร์ตจะไปต่ออย่างไรก็สิ้นสุดลงเมื่อมือกีตาร์โซโล่ประจำวงก้าวขึ้นสู่เวทีอีกครั้งด้วยเพลง “เสือกทำไม” ที่นำเพลงเก่าของ Dajim มาคัฟเวอร์นั่นเอง
เสียงดนตรีบนเวทีเงียบลงอีกครั้ง คั่นเวลาด้วยสไลด์ความเป็นมาของวงที่ฉายขึ้นบนจอด้านหลัง ซึ่งก็ถือเป็นการคั่นเวลาที่นานพอสมควร แต่พอฟรอนท์แมนของวงอย่าง เต้ ออกมาอีกครั้งก็รู้ทันทีว่าเหตุใดจึงต้องฉายสไลด์ยาวนานเช่นนั้น เต้ ไปตัดผมทรงโมฮอว์กหลังเวทีมาน่ะสิ! ซึ่ง Bomb at Track ก็จัดหนักต่อด้วยเพลง “คำตอบ” ซึ่งเล่นสดเป็นครั้งแรกในโลก กับการมาเยือนของแร็ปเปอร์ฝีปากจัด REPAZE ซึ่งเขาก็นำเพลงของตนเองอย่าง “Boring Syndrome” มาแจมกับ Bomb at Track แบบเดือดๆ อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
วงแร็ปเมทัลที่มีสมาชิกอายุเพียง 24-25 ปีวงนี้ยังคงสาดใส่ความมันสู่ผู้ชมอย่างไม่หยุดยั้ง ต่อด้วย “เจ้าหน้าที่” ก่อนจะคั่นด้วยโซโล่กลองชุดและเบสที่จัดจ้านไม่ซ้ำเดิมทีเดียว และถึงคิวของ “เดนมนุษย์”, “นิทาน” และ “สูญเสีย” ที่ เมษ และ ปุ้ย มาซัดสาดกีตาร์ใส่กันผ่านการดีไซน์ที่น่าสนใจไม่น้อย ก่อนที่ช่วงสุดท้าย Bomb at Track ยังคงตะโกนความในใจออกมาผ่านแทร็คอย่าง “ฆาตกรคีย์บอร์ด”, “โจรในเครื่องแบบ” และ ปิดท้ายด้วย “อำนาจเจริญ” ที่มอชพิท เซอร์เคิลพิท กระโดดสุดตัวกันอย่างไม่หยุดหย่อนจนสิ้นเสียงโน้ตตัวสุดท้าย
ยังคงนับถือในความกล้าหาญของ Bomb at Track ในฐานะคนดนตรีรุ่นใหม่ที่อยากบอกเล่าความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคมผ่านบทเพลงและดนตรีของพวกเขาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา จนมาสู่คอนเสิร์ตใหญ่ที่พวกเขาก็ยังเน้นย้ำในแมสเสจสำคัญนี้ ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ กับศิลปินในยุคสมัยนี้ที่ตรงไปตรงมาในการนำเสนอ แม้จะก้าวเข้าสู่ระบบค่ายเพลง แต่ตัวตนของวงดนตรีวงนี้ก็ยังคงชัดเจนไม่เปลี่ยน
ทว่าหากจะกล่าวถึงภาพรวมของ Bomb at Track Concert “ถ้าไม่ได้ยิน ก็ต้องตะโกน” ก็อาจยังมีความไม่ลงตัวในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะเรื่องของซาวด์ที่เรารู้สึกว่าหนักแน่นและดุดันได้มากกว่านี้ โดยเฉพาะช่วงแรกของโชว์ที่ค่อนข้างเบาบางจนแทบไม่รู้สึกว่าเป็นคอนเสิร์ตวงร็อคในบางช่วงบางตอน สวนทางกับระบบแสงที่จัดจ้านจี๊ดจ๊าด ดูเข้ากับท่วงทำนองอันเร่งเร้าของแต่ละแทร็คได้อย่างยอดเยี่ยมทีเดียว
แน่นอนว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับสมาชิกวงเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากได้เกิดขึ้น แต่โชว์โดยรวมยังมีความขาดๆ เกินๆ อยู่พอควร ไม่ว่าจะเป็นความไม่ต่อเนื่องที่มีสิ่งที่มาคั่นอยู่หลายช่วงตอน ทำให้พอจะพีคขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกนั้นก็ถูกตัดขาดไปเสียดื้อๆ สไลด์ที่บอกเล่าเรื่องราวของวง ตัวอักษรก็มีความผิดพลาด สระลอย หรือแม้แต่การเรียงซีเควนซ์ การเรียงเพลงที่เรารู้สึกว่ายังบอกเล่าเรื่องราวได้ไม่ลื่นไหลสักเท่าไหร่
แต่ทั้งหมดทั้งมวลคงเป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ Bomb at Track ยังคงต้องเก็บสะสมชั่วโมงบินกันต่อไปเรื่อยๆ เพื่อโชว์ที่เด็ดขาด คมทุกเม็ด ทุกองค์ประกอบ ซึ่งการออกมาตะโกนอย่างเต็มตัวครั้งแรกในครั้งนี้ พวกเขาก็ใส่เต็มไม่มียั้งสมกับเป็นวัยรุ่นยุคใหม่ที่กล้าลงมือทำอย่างเป็นจริงเป็นจังในสิ่งที่พวกเขาคิด... และรู้สึก
และประโยคที่สุดท้ายที่พวกเขาตะโกนก้องบนเวทีว่า “จดจำเอาไว้ให้ดี พวกกู Bomb at Track” คงเป็นสิ่งที่วงดนตรีวงนี้อยากสื่อสารออกไปมากที่สุด ว่าในวงการเพลงบ้านเรายังมีวงที่ยึดมั่นในสิ่งที่ต้องการจะเล่าในแบบฉบับของตนเองที่ชื่อ Bomb at Track อยู่
Story by: Chanon B.
Photos by: Wayfer Records
อัลบั้มภาพ 48 ภาพ