The 1975 ชวนแหกปาก ดำดิ่ง และเปลี่ยนโลกไปพร้อมกัน ในทัวร์คอนเสิร์ตล่าสุด
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ 4 หนุ่มจากเกาะอังกฤษ The 1975 มาเยี่ยมเยือนเมืองไทยพร้อมคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบ และจากการสำรวจก็พบว่าความสนุก ความมันแบบกวน ๆ รวมไปถึงแสงสีเสียงบนเวทีที่ The 1975 สร้างสรรค์และวางแผนมาอย่างดียังอยู่ครบ เพิ่มเติมก็แต่เพลงที่มากขึ้น ข้อความที่ Matty Healy (ร้องนำ) และผองเพื่อนในวงอย่าง Adam Hann (กีตาร์) , Ross MacDonald (เบส) และ George Daniel (กลอง) ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่า เพลงใหม่ล่าสุดที่เพิ่งปล่อยออกมาไม่นานมานี้ก็ชวนให้แฟน ๆ โยกหัว ตะโกนแหกปากเสียงดังมากขึ้นด้วย
SINGHA CORPORATION PRESENTS THE 1975 LIVE IN BANGKOK โดยผู้จัด VIJI Corp เป็นคอนเสิร์ตครั้งที่ 2 ในเมืองไทย ของ The 1975 ที่ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม แม้ว่าจะขยับสเกลสถานที่เป็น Thunder Dome เมืองทองธานีแล้ว แต่ด้วยฐานแฟนคลับในไทยที่ค่อนข้างแน่นหนา บัตรหมดเร็วมากจนผู้จัดเพิ่มรอบให้อีก 1 รอบ เป็นวันที่ 13-14 กันยายน 2562 บอกเลยว่าไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อย ๆ สำหรับวงอินดี้ร็อคตะวันตกในยุคปัจจุบัน
VIJI Corp
20.00 น. โดยประมาณ No Rome ศิลปินชาวฟิลิปปินส์แต่ทำเพลงอยู่ที่ลอนดอนเริ่มการแสดงในฐานะ supporting act เห็นตัวเล็ก ๆ ผมเขียว ๆ หน้าเอเชียแท้ ๆ แบบนี้ แต่เมื่อได้ฟังน้ำเสียงนุ่ม ๆ และสำเนียงอังกฤษของเขา ต้องยอมรับตรง ๆ เลยว่าเป็นศิลปินที่ทำเพลงได้ “หล่อ” มาก ด้วยสไตล์เพลงที่้เป็นอิเล็กทรอนิกส์ซินธ์ป็อปเหมือนกันกับ The 1975 และเป็นเด็กปั้นของ Matty Healy มาก่อน ทำให้ No Rome เริ่มเป็นที่รู้จักจากกลุ่มแฟนคลับ The 1975 แล้วค่อย ๆ กระจายวงกว้างไปสู่แฟนเพลงกลุ่มอื่น ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ และจากแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ อาร์แอนด์บีนุ่ม ๆ เย็น ๆ ฟังสบาย ละเมียดละมัย เชื่อว่าเขายังไปได้อีกไกลอย่างแน่นอน
อีกความแปลกใจสำหรับงานนี้ คือการได้เห็นศิลปินขึ้นแสดงบนเวทีก่อนกำหนด จากที่ทราบว่า The 1975 จะขึ้นเวทีตอน 21.30 น. แต่เพียง 21.20 น. กว่า ๆ เท่านั้น เสียงดนตรีสังเคราะห์ที่ค่อย ๆ เริ่มจากการคลอเบา ๆ จนนึกว่าเป็นการซาวด์เช็กของทีมงาน จนค่อย ๆ ขยายเสียงดังมากขึ้นเรื่อย ๆ ไฟบนเวทีกระพริบคล้ายหลอดไฟเสีย แต่ไม่ใช่เลย เพราะนี่คือการเปิดตัวศิลปินที่สุดแสนจะเท่ตามแบบฉบับของ The 1975 ต่างหาก ไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงไฟในฮอลล์ดับลง ตัวอักษรปรากฏขึ้นบนจอด้านหลังเวทีที่มีการเซ็ตฉากเป็นกรอบสีเหลี่ยมเหมือนหน้าปกอัลบั้ม The 1975 และ I Like It When You Sleep, for You Are So Beautiful yet So Unaware of It พร้อมกับการเปิดเพลง The 1975 เวอร์ชั่นอัลบั้ม A Brief Inquiry Into Online Relationships จากนั้นก็ปล่อยลูกบ้าไปกับเพลงชวนว๊ากอย่าง “People” ซิงเกิลแรกจากอัลบั้ม Notes on a Conditional Form ที่ปลุกพลังชาวร็อคให้ตะโกนแหกปากตาม Matty กันอย่างสนุกสนาน
เมื่อเครื่องเริ่มร้อน พวกเขาชวนแฟน ๆ เต้นกันต่อกับ “Give Yourself a Try”, “TOOTIMETOOTIMETOOTIME”, “She's American” ที่แฟน ๆ ร้องตามกันได้อย่างชัดเจน หนุ่ม Matty คว้าไมค์มาควงสายเล่น สลับกับทำหน้าทะเล้นไปมา ไหนจะถอดเสื้อแจ๊กเก็ตแล้วสลับมาเล่นกีตาร์บ้างประปราย หรือภาพน่ารัก ๆ ที่เขาหยิบหมวกมาสวมแล้วโยนให้คนดู แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นภาพ Matty เมามาย มือข้างขวาถือแอลกอฮอล์ มือซ้ายถือบุหรี่แต่อย่างใด แต่เชื่อว่าที่จิบอยู่ในขวดบนเวที หรืออาจจะก่อนเวที ในร่างกายของ Matty ต้องมีแอลกอฮอล์ไหลเวียนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
สิ่งที่แฟน ๆ The 1975 อาจจะเคยเห็นมาแล้ว แต่ก็ยังคงต้องตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็น คือ แสงสีบนเวทีที่แสดงวิชวลสวย ๆ ให้เราได้เห็นกันตลอดโชว์ เปลี่ยนสีและจังหวะไปตามอารมณ์ของแต่ละเพลงได้อย่างลงตัวจนอดชมไม่ได้บ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงเร็ว ๆ สนุก ๆ หรือเพลงจังหวะกลาง ๆ อย่าง “Sincerity Is Scary”, “It's Not Living (If It's Not With You)”, “Love Me”, “Loving Someone”, “A Change of Heart” หรือจะเป็นเพลงช้าที่แฟน ๆ รู้จักดีอย่าง “Robbers”, “fallingfallyou” และเพลงช้าสไตล์เรโทร ‘80s “I Couldn't Be More in Love” ก็ทำได้ดีและเพลิดเพลินจนลืมเวลาไปได้ง่าย ๆ
นอกจากจะชวน No Rome ขึ้นมาโชว์เพลง “Narcissist” ที่ featuring กับ The 1975 เพิ่มสีสันให้กับโชว์ได้อีกระดับแล้ว The 1975 ยังสลับเพลงที่มีจังหวะขึ้นมาอย่าง “I Like America & America Likes Me”, “Somebody Else” และ “Girls” ให้พวกเราได้โยกตามซ้ายขวากันไปทั้งฮอลล์ แต่เผลอแป๊บเดียว เพลงที่หลายคนรอคอยก็มาถึง “I Always Wanna Die (Sometimes)” เพลงเนื้อหาแสนเศร้าที่ได้ Matty และแฟนเพลงช่วยกันร้องตามกันกระหึ่ม พร้อมคำบอกเล่าจาก Matty ว่า เพลงนี้แม้ว่ามันจะเคยสนุกตอนแต่ง เศร้าตอนร้อง แต่ตอนนี้ทำอะไรเขาไม่ได้แล้ว ที่กังวลกันว่า Matty จะเสี่ยงซึมเศร้าหรือเปล่า ก็ขอให้ไม่เป็นอย่างที่คิดก็แล้วกัน
ว่าช่วงเมื่อกี้พีคแล้ว ช่วงที่เป็นไคลแมกซ์ของโชว์คือช่วงนี้ต่างหาก ช่วงที่วงเปิดเพลง The 1975 เวอร์ชั่นอัลบั้ม Notes On A Conditional Form ที่มันไม่ใช่เพลง แต่เป็น political statement ที่พูดถึงการช่วยกันเปลี่ยนแปลงโลกไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่คนใดคนหนึ่ง แต่ต้องร่วมด้วยช่วยกันคนละไม้คนละมือไปพร้อม ๆ กัน เชื่อว่าช่วงนี้ที่ใครก็ตามที่อ่าน message ที่วงนำเสนอผ่านแทร็กแทร็กหนึ่งในอัลบั้มที่อุทิศให้กับการขอให้ทุกคนที่ได้ยินร่วมพร้อมเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปพร้อมกัน ไม่ต้องรอให้ใครเริ่มก่อน เริ่มที่ตัวเอง ไหนจะประโยคที่บอกว่า “การทำดีที่สุดแล้ว อาจยังไม่พอ ถ้าเราทำอยู่คนเดียว” แต่ละประโยคทิ่มแทงใจและทำให้เราคิดได้ว่า สิ่งที่ The 1975 ให้กับแฟนเพลงไม่ใช่แค่เสียงเพลง หรือความเพลิดเพลิน แต่เขาได้ทำหน้าที่เป็น influencer ที่ดีในการนำเสนอ message ดี ๆ ชักจูงจิตใจแฟน ๆ ให้ร่วมกันทำสิ่งดี ๆ ไปด้วยกันอีกด้วย ยิ่งได้ “Love It If We Made It” มาต่อจาก statement นี้ ยิ่งทำให้สิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อมันชัดเจน และทรงพลังมากขึ้นไปอีก
สิ่งที่ชอบอีกเรื่องคือการจัดเพลงทั้ง 3 เพลงนี้อยู่ช่วงท้าย ทั้ง “Chocolate”, “Sex” และ “The Sound” เราจากลากันด้วยเสียงปรบมือตามจังหวะเพลง และการตะโกนร้องเพลงพร้อมไปด้วยกันทั้งฮอลล์ ทำให้โชว์นี้ปิดจบด้วยรอยยิ้ม และหัวใจที่พองฟู
หากมองข้ามถึงเสียงเบสที่แอบบวมไปบ้างเล็กน้อย และย่านเสียงแหลมจะล้นไปนิดในช่วงหลัง ๆ รวมไปถึงการแอบเนียนลืมเนื้อร้องเพลงของ Matty การเดินเข้าเดินออกจากเวทีเป็นว่าเล่นของ Ross โชว์ของ The 1975 ในครั้งนี้ก็ยังจัดว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ดีใจที่ได้มาดูงานหนึ่ง แสงสีเสียงที่ยังสร้างความประทับใจให้กับหลาย ๆ คน แดนเซอร์สาวสองคนที่เต้นแรงดีไม่มีตก การเอนเตอร์เทนแบบกวน ๆ ของ Matty รวมไปถึงการเพอร์ฟอร์มของวงที่เอาอยู่ทุกช่วงอารมณ์ไม่ว่าจะสนุกสนานจนโยกกันจนลืมตัว หรือพากันดำดิ่งเงียบกริบเรียกน้ำตากันไปทั้งฮอลล์ก็ทำได้ค่อนข้างดีถึงขั้นประทับใจ ไหนจะเซ็ตลิสต์ที่จัดหนักจัดเต็มกว่า 22 เพลงในเวลาราว 2 ชั่วโมง ไม่แปลกใจที่ The 1975 จะเป็นที่ชื่นชอบของใครหลาย ๆ คน และจะยิ่งชอบมากขึ้นหลังชมโชว์ในคืนนี้จบ
การเล่นกับวิชวลที่พวกเขาทำมาตลอดตั้งแต่ปกอัลบั้มแรกมาจนถึงการแสดงบนเวทีในอัลบั้มล่าสุด สอดคล้องกับการนำเสนอ message ผ่านตัวอักษรบนจอเวทีที่มักปรากฏคำ และข้อความต่าง ๆ เอาไว้เสมอไม่ใช่แค่เนื้อเพลง รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านี้เป็นความตั้งใจของวงที่ต้องการนำเสนอสิ่งที่พวกเขาต้องการจะสื่อถึงทุก ๆ คน รวมถึงประโยคเด็ดปิดท้ายโชว์ในค่ำคืนนั้นที่ยังคงเป็นความกวนตามแบบฉบับของพวกเขา ทำเอาเรายิ้มกว้างพร้อมปรบมือดัง ๆ ไล่ตามหลังคนที่เราเรียกว่า artists ได้อย่างเต็มปากเต็มคำทั้ง 4 คนที่เดินโบกมือหายเข้าหลังเวทีไปอย่างช้า ๆ พร้อมข้อความสุดท้ายที่พวกเขาฝากถึงพวกเราบนจอทางด้านหลัง
Rock n’ Roll
Is
Dead
God
Bless
The
1975
อัลบั้มภาพ 45 ภาพ