“DABOYWAY” กับชีวิตในวันที่การทำงานหนักไม่ใช่คำตอบของทุกสิ่ง
10 ปีที่ผ่านมา แฟนๆ ได้รู้จัก DABOYWAY (เวย์-ปริญญา อินทชัย) ในฐานะแร็ปเปอร์จากวง Thaitanium ซึ่งเคยทำงานกับกลุ่ม AA Crew และศิลปินเดี่ยวที่มีผลงานออกมาหลากหลายชิ้น ซึ่งทำให้หลายคนยกให้เขาเป็นหนึ่งในตำนานวงการฮิปฮอปไทย
แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น เวย์ คือศิลปินที่เรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อโปรเจกต์ ซึ่งเขามีธุรกิจร้านตัดผม Never Say Cutz ที่มีหลายสาขาทั่วกรุงเทพ แบรนด์เสื้อผ้า NVSC รวมไปถึงการทำรายการออนไลน์อย่าง Intachai House และ 16 Bars Thailand และที่ผ่านมาเขาก็ได้มีผลงานการแสดงในภาพยนตร์อย่าง Choice คู่ซี้ดีแต่ฝัน ออกมาด้วย
และในปี 2019 DABOYWAY ก็ได้กลับมาพร้อมความท้าทายบทใหม่ ด้วยการรับหน้าที่เป็นผู้บริหารค่าย Def Jam Recordings ที่เพิ่งมาเปิดสาขาในประเทศไทย โดยค่าย Def Jam เองเป็นต้นสังกัดของศิลปินระดับโลกอย่าง Justin Bieber, Big Sean และ Nas ซึ่งเวย์จะได้ทำงานกับ พอล สิริสันต์ กรรมการผู้จัดการค่ายเพลง Universal Music Thailand ที่ชักชวนเขามาร่วมโปรเจกต์ >> "เวย์ Thaitanium" นั่งแท่นผู้บริหารค่าย! เปิดตัวเพลง "วันอะไร" จากอัลบั้มเดี่ยวชุดใหม่
โดยหลังจากที่ปล่อยเพลง "วันอะไร" ที่พูดถึงเรื่องการทำงานหนักออกมา และเพลง "GANGSH!T" ซึ่งเน้นสื่อสารวัฒนธรรมฮิปฮอปไทย ทาง Sanook! Music ก็มีโอกาสได้พูดคุยกับเวย์เรื่องการเป็นผู้บริหารค่ายเพลง ทิศทางการทำงาน และบทเรียนที่เขาได้รับในวันที่ก้าวเข้ามารับตำแหน่งใหม่
ทำไมคุณถึงได้เข้ามาทำงานในฐานะผู้บริหารค่าย Def Jam Recordings?
เมื่อปีที่แล้วผมมีคำถามกับตัวเอง คือการทำงานของผมมันถึงเพดานแล้ว แต่ผมอยากจะไปต่ออีกขั้นหนึ่ง ก็พยายามหาคำตอบว่าจะทำอะไร จะทำเพลงสากลหรือทำเพลงไทย หรือว่าผมจะต้องย้ายไปอยู่อเมริกา ตอนนั้นผมทำทุกอย่างเลย ถึงขั้นหาคนปรึกษาเกี่ยวกับธุรกิจและการทำงาน มันก็ได้คำตอบมาหลายอย่าง หลังจากนั้นก็เลยติดต่อไปค่ายเพลงต่างประเทศ และโชว์ผลงาน ซึ่งเขาก็ถามกลับมาว่าอะไรคือเป้าหมายของผม ซึ่งตอนนั้นก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ เพราะผมแค่อยากทำสิ่งที่ตัวเองรักต่อไปเรื่อยๆ แต่ทำให้ดีขึ้น หลังจากนั้นพอกลับมา ก็มีที่ปรึกษามาบอกให้ผมตั้งเป้าหมาย ให้คิด 20 เป้าหมายของตัวเองว่าต้องการอะไร และหลังจากนั้น พอล สิริสันต์ กรรมการผู้จัดการค่ายเพลง Universal Music Thailand ก็ติดต่อมา ก็ได้พูดคุยว่าจะทำโปรเจกต์อะไรกัน พอผมเล่าสิ่งที่อยากทำ เขาก็บอกว่า 'นั่นคือสิ่งที่ผมอยากทำเหมือนกัน' และหลังจากนั้นไม่นานพอลก็บอกว่าจะเอาค่าย Def Jam Recordings มาทำที่ไทยครับ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณมองว่าการทำงานถึงเพดาน?
ผมเน้นทำเพลงภาษาอังกฤษ มันก็ทำให้ผมกังวลว่าคนไทยจะฟังไหม ตอนนั้นถึงกับคิดว่าควรจะย้ายไปอยู่อเมริกาไหม คือไม่รู้ว่าจะทำอะไรกับอาชีพตัวเอง มันเหมือนวิ่งอยู่กับที่ ผมอยากให้ผลงานมันไปไกลกว่านี้ แต่พอลองเริ่มตั้งเป้าหมายว่าผมอยากมีทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองในหลายๆ เมือง มีเพลงติดชาร์ต Billboard ที่อเมริกา หรือได้รางวัล Grammy Awards มันก็ทำให้ผมรู้ว่าต้องทำอะไร คือตอนนี้ผมก็มีงานจ้างอยู่ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่จริงๆ แล้วผมอยากมีทัวร์คอนเสิร์ตเดี่ยวของตัวเองในหลายๆ เมือง แต่มันเป็นสิ่งที่หลายคนเขาไม่ทำกัน เพราะศิลปินไทยส่วนใหญ่จะต้องมีงานติดต่อเข้ามา ถึงจะไปแสดงกันครับ
บทบาทในการทำงานของคุณกับค่าย Def Jam Recordings มีอะไรบ้าง?
งานของผมก็มีการดูแลศิลปิน และเซ็นสัญญาศิลปิน แล้วก็ทำเพลงของตัวเองออกไปครับ ก็ร้องเพลงภาษาอังกฤษไป ตอนนี้รู้แล้วว่าอยู่เมืองไทยก็ทำเพลงสากลแบบที่อยากทำได้ คือความสำเร็จที่นี่มันก็ทำให้ผมได้ไปเล่นเฟสติวัลต่างประเทศ ได้ร่วมงานกับ Snoop Dogg มันทำให้ผมรู้ว่าจริงๆ แล้ว ทุกวันนี้มันก็มีอะไรใหม่ๆ ให้ผมได้ทำทุกวัน พอมองแบบนี้ผมก็รู้สึกสบายกับการทำงานมากขึ้น ก็คือเน้นปล่อยเพลงสากลและให้มันทำงานไปครับ แต่ก็ต้องมีแพลนการโปรโมทของตัวเอง
ทำไมคุณถึงตัดสินใจปล่อยเพลง "วันอะไร" เป็นเพลงแรกกับทาง Def Jam Recordings?
ผมอยากให้ทุกคนเห็นว่านี่คือ DABOYWAY ที่โตขึ้น คือผมก็ยังมีปาร์ตี้อยู่ แต่นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนเคยฟังแล้ว อย่างในเพลง "ทะลึ่ง" มันทำไปแล้ว ก็อยากให้เห็นชีวิตในมุมบ้างาน ที่ทำจนลืมวันลืมคืน คือตารางชีวิตผมบ้ามาก ขึ้นเครื่องบินไปแสดงที่ต่างๆ และกลับมาหาลูก คือมันวนไปมาแบบนี้ บางทีไม่รู้ว่าวันนี้วันอะไร ผมเป็นคนบ้างานนะครับ คือตอนอายุ 30 นี่ผมทำทุกอย่าง แต่ตอนนี้ก็เริ่มเลือกว่าอะไรคือสิ่งที่จะทำจริงๆ และตัดสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องออกไป อย่างตอนนี้แบรนด์เสื้อผ้าก็ไม่ทำแล้ว พยายามเน้นครอบครัว ร้านตัดผม และ เพลง เน้นแค่ 3 สิ่งนี้และทำไปตลอด จะไม่ทำอะไรที่เสียเวลา คือสมัยก่อนนี่อยากทำทุกอย่างแม้แต่ไปสร้างหนัง และสร้างตึกของตัวเอง แต่ตอนนี้มันถึงเวลาหยุด คือเป็นเจ้าพ่อโปรเจกต์ที่ต้องฉลาดในการทำงานของตัวเอง มันก็กลับมาเน้นที่ครอบครัว ร้านตัดผม และ เพลง
ในมุมมองของคุณ ศิลปินจะได้อะไรถ้าทำงานหนัก?
การทำงานหนักจะทำให้ศิลปินเก่งขึ้น อย่างถ้าดีดกีตาร์ทุกวัน ซ้อมทุกวัน ก็จะดีขึ้นและเก่งขึ้น คือถ้าเราทำสิ่งที่รักบ่อยๆ มันก็จะดีขึ้น อย่างผมเองทำ Thaitanium นี่ก็มีช่วง 5 ปีแรกที่ไม่มีเงิน ก็โดนที่บ้านด่าว่าทำไมถึงยังกลับมาทำเพลงที่ไทย แต่ตอนนั้นก็มีอะไรบางอย่างบอกให้ผมทำต่อไป และสุดท้ายมันก็ออกมาเป็นอย่างที่ทุกคนเห็นครับ คืออยากให้ทำงานหนักไปเรื่อยๆ ถ้าเรายอมแพ้มันก็เหมือนเราล้มเหลว เพราะบางทีสิ่งที่เราต้องการมันอาจจะอยู่ไม่ไกลครับ บางทีมันก็อีกนิดเดียว
จากจุดเริ่มต้นที่ไม่ง่ายในอดีต คุณคิดไหมว่าตัวเองจะกลายเป็นศิลปินแถวหน้าอย่างทุกวันนี้?
ผมเองเชื่อว่าตัวเองต้องมาถึงจุดนี้ครับ ฮิปฮอปมันผลักดันวัฒนธรรมทั่วโลก ทั้งแฟชั่น กีฬา ทุกๆ อย่างมันมีกลิ่นอายฮิปฮอปทุกๆ ที่ ผมว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองรักแบบนี้ เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะไปทำอะไรแทน ก็อยากให้ทุกคนทำสิ่งที่รักไปเรื่อยๆ และตั้งเป้าหมาย อย่าอยู่แค่ในคอมฟอร์ทโซนของตัวเอง
ก่อนหน้าที่จะมาจริงจังเรื่องการตั้งเป้าหมาย อะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณมีพลังในการทำสิ่งใหม่ๆ ?
ผมไม่อยากอยู่กับที่ครับ ผมอยากหาอะไรทำไปเรื่อยๆ ก็ต้องทำสิ่งที่เราชอบและพัฒนามันไป อย่างผมมองว่าอัลบั้มนี้ดีแล้ว อัลบั้มต่อไปต้องดีขึ้นไปอีก ต้องมีเพลงดีกว่าเดิม ผมจะไม่ทำเพลงอย่าง "ทะลึ่ง" ไปทุกอัลบั้ม คือผมจะมีแรงขับเคลื่อนในตัวเองตั้งแต่เด็กว่าเราสามารถพัฒนาไปได้ เวลาผมกลัวว่าจะทำเพลงดีๆ ไม่ได้ มันก็จะมีเสียงในใจที่บอกว่าผมทำได้แน่นอน และผมก็เชื่อว่าเราทำอะไรดีๆ ออกไปก็จะได้อะไรดีๆ กลับมาครับ
ตอนนี้คุณมองหาอะไรในตัวศิลปินใหม่ ที่จะเข้ามาใน Def Jam Recordings?
"Authentic" ครับ ก็คือความเป็นตัวจริงครับ อยากหาตัวจริงที่มีเรื่องเล่าในแบบของเขา และช่วยผลักดันเขา ขอให้เขามีแพลน และเราจะช่วยให้เขาทำแพลนนั้นให้เป็นจริง คือผมนึกถึงตัวเองที่ไม่มีแพลน ที่ตอนนั้นทำไปเรื่อยๆ แต่ลืมไปว่าสิ่งที่ทำมันเป็นธุรกิจ มันต้องมี Business Plan ไม่ใช่แค่คิดว่าเราดังอย่างเดียว คือทุกวันนี้ผมเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ที่ผ่านมาผมเคยสับสนเรื่องนี้ แต่พอมีแผนการทุกอย่างก็ชัดเจน ก็อยากขอบคุณตัวเองที่ยังเปิดรับอะไรใหม่ๆ
ในตอนนี้อะไรคือสิ่งที่คุณคิดว่าแร็ปเปอร์รุ่นใหม่ควรที่จะมี?
ผมว่าตอนนี้วงการมันดีมากแล้ว แต่อยากให้ศิลปินทำอัลบั้มมากขึ้น จะได้รู้ว่าตัวจริงแต่ละคนเป็นอย่างไร ผมอยากให้ทุกคนได้เรียนรู้ธุรกิจ การแต่งเพลง และการเอาเพลงลงระบบต่างๆ อยากให้ทุกคนเข้าใจและพัฒนาไปด้วยกัน คือเวลาเราเขียนอะไรเราก็เป็นเจ้าของสิ่งนั้น ไม่อยากให้มีเหตุการณ์ที่ศิลปินโดนเอาเปรียบในเรื่องของงานลิขสิทธิ์ อย่างถ้าเราเป็นวิศวกรก็ต้องเข้าใจงานทั้งหมด ไม่อยากให้ทุกคนทำเพลงและอัปโหลดไปแล้วจบ ถ้าเราเข้าใจธุรกิจและกฎหมายต่างๆ แล้วเราก็จะอยู่ในวงการได้ครับ
สุดท้ายนี้คุณตั้งเป้าหมายในการเป็นผู้บริหารค่ายเพลงอย่างไร?
ผมอยากพาศิลปินตัวจริงมาอยู่ในวงการ และตามหาแร็ปเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่คนต่อไป และผลักดันวัฒนธรรมที่เรารักไปข้างหน้า เดี๋ยวนี้ประเทศเพื่อนบ้านเขาก็เริ่มรู้จักศิลปินฮิปฮอปไทยมากขึ้น เหมือนเราเข้าไปอยู่ในเรดาร์พวกเขา ผมก็อยากให้มันอยู่แบบนี้ต่อไป อย่างผมไปรายการก็เห็นว่าฮิปฮอปมาไกลมาก มันเติบโตมาก ก็ดีใจที่ MTV สนใจฮิปฮอปในเอเชีย ก็ดีใจว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นสักทีครับ
นอกจากการทำงานในฐานะผู้บริหารค่ายเพลง Def Jam Recordings เร็วๆ นี้ DABOYWAY ก็มีแพลนที่จะปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรกกับทางค่าย Def Jam Recordings ซึ่งแฟนๆ สามารถติดตามข่าวความคืบหน้าได้ที่ Sanook! Music
ขอบคุณสถานที่ SIRI House - สิริเฮาส์
>> "DABOYWAY" ดึง 4 แร็ปเปอร์ เติมความเดือดเพลงใหม่ “GANGSH!T"
>> เวย์ Thaitanium ควง "คิมเบอร์ลี่" ตะลุยปาร์ตี้ในเอ็มวีอินเตอร์ "Same Thing (Every Night)"
>> "DABOYWAY" เผยเหตุผลที่ไม่ร่วมรายการแร็ปทางทีวี หลังเปิดตัวโปรเจกต์ "16 Bars Thailand"
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ