Tell Me What You Saw + Hello Dracula: เส้นทางการแสดงของสองสาวเกิร์ลเจน โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
ข่าวลือเรื่องการกลับมารวมตัวกันของสาวๆ วง Girls’ Generation มีมาให้แฟนคลับหวังแบบลมๆ แล้งๆ อยู่แทบทุกสามเดือน แต่หากมองตามความจริงแล้วก็ดูเป็นไปได้ยาก เพราะแต่ละคนล้วนมีกิจกรรมเดี่ยวของตัวเอง แทยอนออกอัลบั้มและทัวร์คอนเสิร์ตอย่างต่อเนื่อง, ยุนอาปีที่แล้วเล่นหนังเรื่อง Exit ส่วนปีนี้จะมีละครใหม่, ฮโยยอนหันไปเอาดีด้านการเป็นดีเจ ส่วนยูริกับซันนี่อาจจะเงียบไปแต่ก็ปรากฏตัวตามรายการวาไรตี้บ้าง
อีกฝั่งหนึ่งเป็น 3 สาวที่ไม่ได้ต่อสัญญากับค่าย SM Entertainment ด้านทิฟฟานี่เอาดีกับการบุกตลาดอินเตอร์ ส่วนซูยองกับซอฮยอนเน้นเล่นละครโทรทัศน์ ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญว่าในช่วงเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมทั้งสองมีละครออนแอร์พร้อมกันพอดี ว่าแล้วผู้เขียนจึงขอกล่าวถึงสักหน่อย ถือว่าเป็นการแก้ขัดความคิดถึงต่อวง Girls’ Generation แล้วกัน
สำหรับซูยองเรามักมีภาพจำของเธอในฐานะสาวผมสั้นที่สูงกว่าเพื่อนในวง หน้าตาอาจไม่ได้สวยปิ๊งตามฉบับเคป๊อป แฟนๆ เลยตั้งฉายาเธอว่า "ป้าหยอง" บ้างก็แซวว่าเธอคือ "คนไทยเกิร์ลเจน" (เพราะบางมุมเธอหน้าเหมือนนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ต่าย-อรทัย) แต่ช่วงหลังมาซูยองสวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา และเธอยังได้รับบทนำในซีรีส์ทางช่อง OCN เรื่อง Tell Me What You Saw
ใน Tell Me What You Saw ซูยองรับบทตำรวจบ้านนอกที่มีความทรงจำแบบภาพถ่าย (Photographic memory) นั่นทำให้เธอได้เข้าไปพัวพันกับคดีฆาตกรรมสุดโหด ความพิเศษของละครเรื่องนี้คือซูยองมีฉากที่ต้องเจอศพ เจอเลือด ลุยท่อระบายน้ำ และที่สำคัญคือหน้าสดทั้งเรื่อง จนคนดูแซวกันว่าสดกว่านี้ก็ปลาในตลาดแล้วล่ะจ้า
ด้านทักษะการแสดงของซูยองก็ถือว่าน่าทึ่ง มีฉากดราม่าหนักหน่วงหลายฉากที่เธอได้โชว์ฝีมือ โดยเฉพาะฉากสุดพีคที่ซูยองเผชิญหน้ากับคนที่ฆ่าแม่ของเธอ เป็นฉากที่เธอต้องแสดงทั้งความโกรธ ความแค้น ความเสียใจ และความเป็นตำรวจออกมาพร้อมกันจนทำเอาผู้ชมขนลุก ส่วนนักแสดงนำคนอื่นๆ ก็ล้วนทำได้ดี ไม่ว่าจะจางฮยอกในบทนักสืบผู้มีปมฝังใจ หรือตัวละครตำรวจหญิงสุดแกร่งที่แสดงโดยจินซอยอน
ทว่าน่าเสียดายว่า Tell Me What You Saw เป็นทริลเลอร์ที่ไม่ได้เลือกทาง "สมจริง" แต่เน้นความ "ขี้โม้" และ "เวอร์" เป็นส่วนใหญ่ หลายฉากของละครจึงดูไม่น่าเชื่อถือนัก ทั้งความฉลาดเกินตัวของตัวละคร การนำเสนอตัวร้ายในแบบพวกโรคจิตหลุดโลก หรือกระทั่ง Photographic memory อันเป็นคอนเซ็ปต์หลักของซีรีส์ก็เป็นสิ่งที่วงการวิทยาศาสตร์ไม่ยอมรับสักเท่าไร
อย่างไรก็ดี ถ้าทนกับความลำไยต่างๆ ได้จะพบว่าซีรีส์นำเสนอประเด็นที่น่าสนใจไว้สองประการด้วยกัน อย่างแรกคือคำถามคลาสสิกของหนังแนวฆาตกรรมประเภทว่าฆาตกร "เกิด" มาเป็นฆาตกรหรือค่อยๆ "กลาย" เป็นฆาตกร (หรือข้อถกเถียงที่เรียกว่า Nature vs. Nurture) ส่วนอีกประเด็นคือเรื่องของ "การมอง" ตามชื่อเรื่อง โดยพระเอกกล่าวไว้ว่าคนส่วนใหญ่มองเห็นแต่สิ่งที่ตัวเองอยากเห็นเท่านั้น หากเรามองว่าตัวเองชั่วร้าย เราก็จะกลายเป็นคนแบบนั้น นั่นเป็นสาเหตุที่หลายคนเลือกเส้นทางของการเป็นฆาตกรต่อเนื่อง
ส่วนน้องเล็กของ Girls’ Generation อย่างซอฮยอนมีผลงานเรื่อง Hello Dracula ละครสั้นสองตอนทางช่อง JTBC เธอรับบทเป็นแอนนา คุณครูสาวที่เก็บงำความลับว่าตัวเองเป็นเลสเบี้ยนกับแม่และผู้คนทั้งโลก ขณะเดียวกันยังมีเรื่องราวของนักดนตรีสาว (อีจูบิน) ผู้ยังไม่มูฟออนจากแฟนเก่า และเด็กประถม (โกนาฮี) ที่ต้องแยกจากกับเพื่อนสนิทเพราะบ้านถูกไล่ที่
หากติดตามการแสดงของน้องซอมาบ้างจะทราบดีว่าบทหญิงสาวแสนเศร้าเป็นงานถนัดของเธอ (อย่างเช่นละครดราม่าหนักมากกกเรื่อง Time) ตัวละครแอนนาใช้ชีวิตแบบคนตายซากไร้วิญญาณ มีประโยคหนึ่งจากละครที่เศร้ามากคือตอนแอนนารำพึงกับตัวเองว่าการยิ้มโดยปราศจากความรู้สึกเป็นเรื่องที่เธอชินชาไปแล้ว แต่นอกจากน้องซอแล้ว นักแสดงคนอื่นก็เล่นดีเช่นกัน ทั้งอีจูบินกับฉากง้อแฟนเก่าแบบยอมทุกอย่างจนคนดูจะร้องไห้ตาม ส่วนน้องโกนาฮีก็เล่นได้น่ารักน่าชังไม่แก่แดดจนเกินไป
ส่วนชื่อเรื่องที่ว่า Hello Dracula มีการเฉลยตอนหลังว่าแดรกคูลาหมายถึงสิ่งที่คนเรารู้ว่ามีอยู่แต่ทำเป็นมองไม่เห็น เช่นเดียวกับตัวละครแอนนาที่เก็บซ่อนเรื่องเพศสภาพและเลี่ยงการคุยเปิดใจกับแม่ ถึงกระนั้นละครเรื่องนี้เป็นนิมิตหมายอันดีว่าสังคมเกาหลีเริ่มเผชิญหน้ากับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น เพราะการนำเสนอเรื่องเลสเบี้ยนเป็นสิ่งที่แทบไม่ปรากฏในละครโทรทัศน์ (คิดดูแล้วกันว่าหนังเลสเบี้ยนเต็มๆ ของเกาหลีคือ A Girl at My Door ซึ่งเพิ่งจะออกฉายปี 2014 นี่เอง)
โลกที่แอนนาไม่ต้องใช้ชีวิตหลบๆ ซ่อนๆ คงอาจไม่มาถึงในเร็ววันนี้ แต่ Hello Dracula ก็เป็นหนึ่งในก้าวเล็กๆ ของประเทศเกาหลี แม้จะเป็นการก้าวที่ช้าไปมากก็ตาม