“Scrubb vs คั่นกู” ศิลปะแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกันอย่างไร “บอล ต่อพงศ์-JittiRain” จะมาเล่าให้ฟัง | Sanook Music

“Scrubb vs คั่นกู” ศิลปะแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกันอย่างไร “บอล ต่อพงศ์-JittiRain” จะมาเล่าให้ฟัง

“Scrubb vs คั่นกู” ศิลปะแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกันอย่างไร “บอล ต่อพงศ์-JittiRain” จะมาเล่าให้ฟัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ท่ามกลางความสำเร็จของซีรีส์ “เพราะเราคู่กัน 2gether the Series” หรือ “คั่นกู” ตัวละคร สารวัตร-ไทน์ ต่างก้าวเข้าไปอยู่ในใจของสาวๆ ทั่วประเทศ รวมไปถึงนอกประเทศเสียด้วยซ้ำ กลายเป็นปรากฏการณ์ที่วงการโทรทัศน์และซีรีส์วายต่างพูดถึง ทว่าสิ่งที่แอบซ่อนอยู่และน่าสนใจไม่น้อยไปกว่ากันก็คือ บทเพลงของวงดนตรี Scrubb ที่อยู่ในทุกอณูของเรื่องราว... อย่างหมดจด

หลายคนคงทราบกันแล้วล่ะว่า ผู้ประพันธ์อย่าง JittiRain ได้ใส่เพลงของ Scrubb ที่ประกอบไปด้วย 2 สมาชิกอย่าง เมื่อย-ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ (ร้องนำ) และ บอล-ต่อพงศ์ จันทบุบผา (กีตาร์) เอาไว้ในทุกตอนของ คั่นกู ตั้งแต่ตอนเป็นนิยายออนไลน์ ไล่เรียงมาจนถึงซีรีส์ที่ทุกคนได้รับชมกัน และกำลังจะอวสานในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

คำถามแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวก็คือ... ทำไมต้องเป็น Scrubb?

ScrubbScrubb

นั่นเป็นเหตุผลที่ Sanook Music อยากจะล้วงลึกย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของการที่เพลงของ Scrubb เจ้าของเพลงดังอย่าง “ทุกอย่าง”, “ใกล้”, “เข้ากันดี”, “คู่กัน” และอีกมากมาย นั้นอยู่เคียงคู่กับ คั่นกู มาตั้งแต่แรก แน่นอนว่าเราได้พูดคุยกับ JittiRain หรือ น้ำฝน-จิตติณัฏฐ์ งามหนัก สาวเหนือวัย 26 ปีที่รังสรรค์เรื่องราวสุดจิ้นนี้ออกมา แต่หากจะคุยโดยไร้เจ้าของบทเพลงของ Scrubb คงกระไรอยู่ เราจึงชวน บอล Scrubb มาร่วมวงสนทนา และนี่คือครั้งแรกที่เขาทั้งคู่ได้ยินเสียงกัน!

บอกตามตรงว่า ตลอดการสนทนานั้นเต็มไปด้วยมวลแห่งความอบอุ่น รอยยิ้ม จากการมอบแรงบันดาลใจให้แก่กันระหว่างคนสร้างศิลปะใน 2 แขนง จากเพลงสู่นิยาย ส่งต่อสู่ซีรีส์ และย้อนกลับมาที่ต้วเพลงอีกครั้ง และเราก็หวังว่าแรงบันดาลใจดีๆ ที่เกิดขึ้นในบทสัมภาษณ์นี้จะทำให้คนที่กำลังอ่านอยู่ได้ยิ้มตามไม่มากก็น้อย

 

[JittiRain] มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา กับการที่เราจะนำเพลงของศิลปินสักคนหรือสักวงแบบ “ยกชุด” มาไว้ในซีรีส์ หรือในบางทีเพลงก็เป็นสิ่งที่ดำเนินเรื่องราวด้วยซ้ำ... ทำไมเพลงของ Scrubb จึงต้องมาอยู่ใน เพราะเราคู่กัน?

JittiRain: จุดเริ่มต้นของนิยายเรื่องนี้ จริงๆ แล้วเราพยายามจะนำเสนอสิ่งที่จะเรียกว่าอะไรดี อย่างสมมติเราไปเจออะไรที่ดีมากๆ เช่น สถานที่ เพลง หรืออะไรต่างๆ เราอยากแนะนำให้คนอื่นได้รู้จักด้วย แต่บางทีมันอาจจะไม่เชื่อมโยงกับชีวิตเขา เขายังไม่อินกับมัน อาจจะไม่ได้ไปฟังเพลงตามหรือดูหนังเรื่องนั้นตาม เราเลยนำเสนอในรูปแบบของนิยาย แล้วค่อยต่อยอดไปสู่การฟังเพลงหรือดูหนังที่เราใส่เข้าไป ถามว่าทำไมต้องเป็นวง Scrubb ก็เพราะว่า Scrubb คือวงดนตรีวงเดียวที่เราตามมาอย่างยาวนาน และน่าจะเป็นวงเดียวด้วย ตั้งแต่มัธยมต้น มัธยมปลายก็ยังฟังอยู่ แล้วฟังหนักด้วย ฟังอย่างต่อเนื่อง จนมาถึงมหา’ลัย เราก็ฟังกับกลุ่มเพื่อนที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน แล้วก็รู้สึกว่า ถ้าเวลาผ่านไป แม้ว่าเราจะชอบเพลงใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมามากมาย สุดท้ายพอกลับมาฟัง Scrubb มันก็ยังคิดถึงทุกครั้ง เราชอบความรู้สึกนี้ ความรู้สึกที่ว่า ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังกลับมาคิดถึง เราเลยเลือก Scrubb ที่ให้ความรู้สึกนี้กับเรามาส่งต่อให้กับทุกคน

JittiRainJittiRain

[JittiRain] ย้อนกลับไปตอนมัธยมต้น อะไรที่ทำให้คุณคลั่งไคล้และหลงรัก Scrubb ได้มากถึงเพียงนี้?

JittiRain: น่าจะเป็นพี่สาว เขาชอบวงสไตล์แบบนี้ เขาเรียกว่าวงอินดี้ไหมนะ Scrubb, Groove Riders รุ่นๆ นั้น เราก็ฟังตามพี่

บอล Scrubb: ต้องขอบคุณพี่สาว (หัวเราะ)

[บอล Scrubb] เรียกว่า Scrubb ว่าวงอินดี้ได้ไหมครับ?

บอล Scrubb: ถ้าคำว่า Independent ของเราในที่นี้มันหมายถึงวิถีชีวิต แนวคิด การดำเนินชีวิต การสร้างสรรค์ หรือการนำเสนอผลงานในแบบที่เป็นตัวเราเอง เท่าที่ตัวเราสามารถทำได้ ก็คิดว่าใช่นะในคำถามที่ถามมา เพราะยุคนั้นมันก็มีทั้ง เบเกอรี่ มิวสิค, แฟต เฟสติวัล หรือนิตยสาร a day มันก็จะมีบริบท ไลฟ์สไตล์ ดนตรี ภาพยนตร์ หรืออะไรต่อมิอะไรที่ทำให้รู้สึกว่า มันมีคนที่ชอบไลฟ์สไตล์แบบนี้ วิถี DIY แบบนี้ การฟังทัศนคติวิธีคิดจากคนกลุ่มหนึ่งผ่านงานศิลปะตามชนิดที่แต่ละคนถนัดอยู่ แต่ทีนี้คนที่มีวิถีชีวิต มีต้นกำเนิด มีวิธีสร้างงานแบบนั้น เขาจะสามารถเติบโตและขยายงานของเขาไปสู่การเป็นเมนสตรีมหรือเป็นอะไรที่แมส ที่มีคนรู้จักมากมายขึ้นแค่ไหน เราว่ามันแล้วแต่ บางคนก็เลยจะงงว่า เอ๊ะ อันนี้อินดี้หรือแมส เพราะเขาดังแล้วนี่ ยกตัวอย่างคุณจิตติก็ได้ เราเชื่อว่าจิตติเริ่มต้นจากการที่ทำเพราะตัวเองชอบก่อน เขียนเพราะชอบ คิดว่า ฉันชอบเขียนเรื่องประมาณนี้ บรรยากาศแบบนี้ รู้สึกอินไปกับเรื่องแบบนี้ ฉันเลยอยากเล่า เบื้องต้นเรารู้สึกว่า จิตติคงคาดหวังว่า มันน่าจะมีคนที่คล้ายกับฉันสิ ชอบอะไรคล้ายๆ กัน แต่กลับกลายเป็นว่า เพราะเราคู่กัน ถูกขยายความ ถูกส่งต่อจนทุกวันนี้คนถามว่า “เพราะเราคู่กันเป็นอินดี้หรือเปล่า” ก็มีคนบอกว่า “อินดี้อะไร ดังจะตาย” แต่ถ้าย้อนกลับไปดูต้นกำเนิด จิตติเขาทำโดยที่ไม่ได้มองเรื่องเงินทองแต่แรก แล้ว Scrubb มันก็เป็นแบบนั้น เราแค่อยากพิสูจน์ว่า เฮ้ยมันต้องมีคนที่ใช้ชีวิตคล้ายๆ เรา ชอบอะไรแบบเรา และน่าจะนึกออกว่าสิ่งที่เรานำเสนอคืออะไร เพราะมันไม่ได้ตอบโจทย์ว่าด้วยเรื่องการที่เราจะไปทำมาค้าขายหรือสร้างรายได้แต่แรก แต่เป็นเหมือนการที่เราต้องการหาเพื่อนเพื่อแชร์ประสบการณ์สำหรับงานอะไรแบบนี้ มาเดินร่วมกัน ผมว่าจริตมันคือแบบนั้น แต่อยู่มาวันหนึ่ง เพราะเราคู่กัน เป็นนิยายที่แมสแล้ว คนรู้จักทั่วประเทศ Scrubb เป็นวงดนตรีที่โตแล้ว ไปมิวสิคเฟสติวัลได้ทุกที่ ซึ่งมันก็ไม่ได้เป็นเมนสตรีมจ๋าๆ แต่ว่ามันก็ไม่ใช่อินดี้แล้วนะ แต่มันตอบไม่ได้หรอกว่า ตัวงานศิลปะมันจะเดินทางไปถึงไหนและเมื่อไหร่

บอล Scrubbบอล Scrubb

[JittiRain] พอรู้แน่ชัดแล้วว่า เพลงของ Scrubb ต้องมาอยู่ในนิยาย เพราะเราคู่กัน คุณทำอย่างไรต่อ?

JittiRain: ลิสต์เพลงเลยค่ะ เพลงของ Scrubb ที่เราชอบมากๆ มีเพลงไหนบ้าง ซึ่งมันเยอะมาก เป็นสิบๆ เพลง (หัวเราะ) แล้วเราก็จะเอาแต่ละเพลงมาจัดลำดับความสำคัญว่า เราอยากได้เพลงไหนก่อนหลัง จากนั้นค่อยเขียนเนื้อเรื่อง ใส่เรื่องราวลงไป มันค่อนข้างพิเศษนิดนึง เพราะวิธีปกติเราจะมีพล็อตเรื่องหรือไม่ก็กำหนดคาแรกเตอร์ตัวละครมาก่อน แต่คราวนี้เพลงมาก่อน ซึ่งมันช่วยให้เราดีไซน์ฉากต่างๆ หรือบางทีเขียนๆ ไปแล้วเรารู้สึกว่า เพลงนั้นของ Scrubb เข้ากับฉากนี้มาก แต่มันยังไม่ได้อยู่ในลิสต์ ก็เอามาใส่เพิ่มทีหลัง

บอล Scrubb: ซึ่งอันนี้เรากับเมื่อยปลื้มมาก (หัวเราะ) ถ้าโดยปกติก็คงจะคิดว่า น้องเขาเขียนเรื่องมาเสร็จแล้วเห็นว่าเพลงเราเหมาะ แล้วค่อยเอาเพลงไปประกอบ ซึ่งอันนี้ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดามากๆ แต่พอมารู้ทีหลัง ซึ่งจริงๆ ได้ยินวันนี้วันแรกเลยล่ะว่า น้องฟังเพลงเรา แล้วน้องเอาเพลง “ใกล้” มาตั้งไว้ก่อน แล้วเอาเพลงอื่นมาเรียงซีเควนซ์ เป็น map คร่าวๆ แล้วก็ค่อยเขียนเรื่องลงไป ให้เพลงเป็นตัวนำทางไปด้วยกัน ประสานไปด้วยกัน คือเรารู้สึกว่า บางทีเรายังไม่ให้ความสำคัญกับเพลงเราเท่ากับที่จิตติให้ความสำคัญเลย (หัวเราะ) เรารู้สึกดีมาก เป็นสิ่งที่เรารู้สึกว่า เรานับถือ เราเคารพในสิ่งที่จิตติทำมาก มันคือความใส่ใจมาก รักเพลงเราเหมือนกับที่เรารัก อันนี้เป็นความประทับใจส่วนตัวที่อยากจะขอบคุณน้องจิตติมาโดยตลอด เพราะคนที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแบบนี้ได้ เขาต้องรักในสิ่งนั้นมากเลยนะ

[บอล Scrubb] ฟังเมื่อสักครู่นี้เราขนลุกเลยนะ รู้สึกว่ามันต้องอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ความรัก” และ “Passion” อย่างสูงเลยเช่นกัน

บอล Scrubb: เราเคยคุยกับเมื่อยนะว่า เราก็เคยได้ยินคนอื่นเล่ามาเยอะนะ แต่เราเพิ่งเข้าใจจริงๆ วันนี้ว่า เวลางานศิลปะมันส่งแรงบันดาลใจเพื่อไปสร้างงานศิลปะในหมวดอื่นนั้นมันเป็นอย่างไร มันเป็นเรื่องที่ส่งต่อไปได้จริงๆ นะ เหมือนเรารู้ว่าเราโตมากับอะไร เรารับแรงบันดาลใจมากับอะไร แล้วพอวันนี้มันเกิดขึ้นกับเรา กับ Scrubb มีคนเอางานของเราเข้าไปอยู่เป็นส่วนหนึ่งในงานของเขา แล้วก็สร้างเป็นงานอีกชิ้นขึ้นมา แล้วมันก็เกิดสังคมกลุ่มใหญ่ขึ้นมาตรงจุดนั้น แล้วมันก็ย้อนกลับมาหา Scrubb ด้วย มันเป็น miracle หนึ่งที่รู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก

JittiRain: จริงๆ ตอนเริ่มเลยมันมีราวๆ 14-15 เพลงค่ะ แต่ก็มีบางเพลงที่หยิบเข้าหยิบออก อย่างเราชอบเพลง “พอ” มาก

บอล Scrubb: จริงปะ?

JittiRain: จริงค่ะ

บอล Scrubb: นั่นคือเพลงแรกในชีวิตที่เราแต่งเองได้

JittiRain: (หัวเราะ) เซอร์ไพรส์มาก คือเราอยากเอาเพลง “พอ” มาใส่ในคั่นกูมาก แต่เราดันเอาไปใส่ในนิยายเรื่องก่อนหน้านั้นเพราะรู้สึกว่ามันเข้ากับเพลง “พอ” มากๆ พอจะใส่เพลงนี้ซ้ำลงไปในคั่นกูอีกมันคงไม่เวิร์กเท่าไหร่ ก็เลยเอาเพลงอื่นมาใส่แทน

[บอล Scrubb] คิดว่าอะไรในเพลงของ Scrubb ที่ทำให้คนๆ หนึ่งชื่นชอบแล้วก่อเกิดเป็นงานศิลปะที่มีคนติดตามมากขนาดนี้?

บอล Scrubb: ท้ายที่สุดผมไม่รู้เลยว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ เรารู้สึกว่ามันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่สามารถใช้แผนธุรกิจใดๆ สร้างขึ้นมาได้ แค่รู้สึกว่ามันเป็นความ pure ความบริสุทธิ์ของแรงบันดาลใจระหว่างคนๆ หนึ่งกับอีกคนๆ หนึ่งแค่นั้นเอง แต่ถ้ามองลงไปในรายละเอียด มองจากเพลงที่จิตติฟังหรือได้รับแรงบันดาลใจในช่วงนั้นมันค่อนข้างชัดเจนว่า มันก็เป็นแรงบันดาลใจที่เรารับมาจากที่อื่นอีกที รับมาจากเพื่อนๆ พี่ๆ ศิลปินคนอื่น จากหนังสือที่เราอ่าน จากสังคมที่เราอยู่ จากช่วงเวลาต่างๆ ที่เราได้ไปพบเจอผู้คน ที่มันเข้ามากระทบใจเรา แล้วเรายืนยันเหมือนเดิมทุกครั้งคือ Scrubb ไม่ใช่คนเก่ง เพียงแต่เรารู้สึกว่าเวลาเราเล่นดนตรีแล้วเราชอบ เรามีความสุขกับมัน แล้วเราก็เริ่มสร้างงานในแบบของเราเองได้ งานของ Scrubb ไม่เคยมีงานกู้ชาติ ไม่ใช่งานเพื่อคนจำนวนมาก ไม่ใช่งานสร้างแรงบันดาลใจ ไม่ใช่งานไปช่วยชีวิตคน หรืองานที่พูดอะไรเพื่อส่งแรงกระเพื่อมหรือผลลัพธ์ขนาดใหญ่ได้ งานของ Scrubb โดยเฉพาะช่วงยุคแรกๆ มันคือสมุดบันทึก มันคือไดอารี มันคือช่วงเวลาใดช่วงเวลาหนึ่งที่คนกลุ่มหนึ่ง อาจจะสองคน สามสี่ห้าคน หรือมีเพื่อนของเราในช่วงเวลานั้นเข้ามาประกอบ แล้วเราก็บันทึกช่วงเวลาเหล่านั้นมาใส่ในเพลง แล้วเราไม่ได้สร้างเพลงจากการสร้างเรื่องขึ้นมาว่า ฉันรักเธอ เธอรักเขา เรารักกัน เราไม่ได้บอกว่าวิธีนี้มันผิดนะ จริงๆ เป็นวิธีของคนที่เก่งด้วยซ้ำ เพียงแต่ Scrubb เป็นแบบนั้นไม่ได้ เราเล่นกีตาร์ได้แค่นี้ เมื่อยจับคอร์ดได้แค่ประมาณนี้ เรามีข้อจำกัดอยู่ แต่มันมีความเรียบง่ายอยู่ มันมีความเป็นตัวตนในการเล่าเรื่องของเมื่อยอยู่สูง มีตัวตนในการเล่าเรื่องผ่านดนตรีของเราอยู่ในนั้น มันคงเป็นเพราะ “ความจริง” ที่เกิดขึ้นนั่นแหละ แล้วเรื่องเวลาก็สำคัญนะ

[บอล Scrubb] หมายถึงช่วงเวลา ช่วงอายุในการฟังเพลงหรือเปล่า?

บอล Scrubb: ประมาณนั้น เคยมีคนเดินมาบอกว่า “เพลงบางเพลงของพี่หนูไม่เข้าใจนะ แต่พอหนูโตมาแล้วไปใช้ชีวิต ไปเจอชีวิตจริงๆ เพลงบางเพลงมาฟังอีกทีโคตรเข้าใจเลยว่ามันคืออะไร” หรือบางคนมาบอกว่า เขาฟังเพลง “ลม” ตอนแรกๆ รู้สึกเฉยๆ แต่พอเติบโตมาทำงานมีครอบครัว มีหน้าที่ในชีวิต เขาฟังเพลง “ลม” แล้วร้องไห้ทุกครั้งเลย (หัวเราะ) คือเหมือนว่าเพลงบางเพลงมันต้องเก็บ เพื่อให้มันผ่านช่วงเวลานั้นไป อย่างถ้าเราเล่าเรื่องนี้ตอนเราอายุ 28 หรือ 30 น้องๆ อายุ 18 อาจจะไม่เข้าใจหรอก ช่วงของวัยมันอาจจะรับรุ้ความรู้สึกของช่วงเวลาและบรรยากาศนั้นๆ ได้ไม่เท่ากัน เพราะงั้นผมเลยคิดว่า Scrubb มันคงเป็นเพลงที่เป็นเรื่องของบริบท มิติ เวลา ผู้คน สถานที่ อีกอย่างคือเมื่อยเป็นคนเขียนเนื้อร้องที่ไม่เคยสรุปคำตอบให้ใคร เมื่อยจะเล่าแค่ประมาณว่า เกิดอะไรขึ้นในเพลงนั้น แต่เมื่อยไม่เคยสรุปว่า ฉันทำแบบนี้ เพลงนี้คำตอบมันคือเรื่องนี้ เพลงนี้ทุกคนไปทางนี้สิ เชื่อฉันเถอะ ไม่มีอะไรแบบนี้ เพราะเมื่อยเชื่อแค่ว่า ทุกคนอาจจะมีโอกาสได้สัมผัสบรรยากาศแบบนั้น แต่ว่าตอนจบของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันหรอก เราไม่รู้ว่าจิตติรู้สึกอย่างนี้หรือเปล่านะ เราแชร์ในมุมที่รู้สึกว่า เพลงมันมีปลายเปิดของมันอยู่ แล้วมันก็เป็นสมุดบันทึกของเราเหมือนกัน อาจจะเปิดไปเทียบแล้วไปเจอสมุดบันทึกเดียวกับของจิตติไหม

JittiRain: คือเรื่องราวในเพลงของ Scrubb มันเชื่อมโยงกับชีวิตเราแหละค่ะ เหมือนที่พี่บอลบอกว่า ในแต่ละช่วงวัยเราก็เจออะไรมาไม่เหมือนกัน เพลงๆ อาจจะคลิกเราในช่วงเวลาหนึ่ง แต่กับอีกเพลงอาจจะไปอินตอนที่เราอายุเยอะขึ้นก็ได้ ทั้งตัวจิตติเอง รวมถึง เพราะเราคู่กัน มันเป็นอารมณ์นั้นแหละ ตอนเด็กๆ เรายังไม่ค่อยเข้าใจหรอก

บอล Scrubb: ยังเคยคุยกับเมื่อยเล่นๆ เลยครับว่า ในแง่ส่วนตัว เมื่อยรู้สึกว่า อาจจะไม่ได้เป็นคนที่อินกับเพลง “ใกล้” เหมือนแต่ก่อนแล้ว หรือแม้กระทั่งเพลง “ทุกอย่าง” เพราะทุกวันนี้เราก็โตมาเป็นคนอีกแบบหนึ่ง เรามีแฟน เรามีคนที่ดูแลเรา เรามีครอบครัว สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่มันไม่ได้หมายความว่า เราเลิกรักหรือเราไม่ได้ชอบมันนะ เพราะอย่างไรมันก็ยังเป็นลูก เป็นงานของเรา แต่เรารู้สึกว่า เราอินมันน้อยกว่าเพลงที่เราเพิ่งเขียนเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว เพราะนั่นมันคือชีวิตเราในขณะนั้นมากกว่า เคยคิดว่ากันขนาดที่ เฮ้ยหรือเราไม่เล่น “ทุกอย่าง” กันดีไหมวะ (หัวเราะ) แต่พอมานั่งนึกว่า ถ้าเราไม่เล่นแล้วใครจะเล่น บางคนเขามา เขาก็ต้องอยากมาฟังเราร้องเราเล่นอยู่แล้ว มันก็คือลูกของเราแหละ ถ้าใครสังเกตเวลามาดูโชว์ของ Scrubb จะรู้ว่า เราพยายามจะหยิบเพลงของทุกๆ ชุดในทุกๆ ช่วงเวลามาเล่น ทุกอัลบั้มมันจะมีตัวแทนของมันอยู่ และคุณอาจจะมีประสบการณ์ร่วมหรืออาจจะชอบเพลงใดเพลงหนึ่ง แล้วมันจะมีโซ่ที่มาเกี่ยวพาเรากลับไปฟังเพลงที่มันอยู่ก่อนหน้านี้หรือหลังจากนี้ไปเอง

JittiRain: ใช่ๆ บางทีจิตติก็รู้สึกว่า งานในอดีตของเราถ้าย้อนเวลากลับไปได้ เราอาจจะไม่ได้เขียนแบบนี้ก็ได้นะ เพราะในวัยที่เติบโตขึ้น เราไปเจอโลก เจอสังคม เจออะไรใหม่ๆ มากมาย แล้วเราหยุดอินกับมันไปแล้ว อย่างพาร์ตของคั่นกูก็มีหลายพาร์ตที่รู้สึกว่า ถ้ามันถูกเขียนขึ้นตอนเราโตแล้ว เราคงไม่เขียนมันออกมาในรูปแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ได้หมายความว่า ณ ช่วงเวลานั้นเราไม่อินกับมันนะ เพียงแต่ปัจจุบันเรามีสิ่งที่เราอินและสิ่งที่เราเป็นมากกว่าในอดีตแค่นั้นเองค่ะ

เมื่อย Scrubbเมื่อย Scrubb

[บอล Scrubb] แต่ใช่ว่าเพลงของ Scrubb จะถูกนำมาใช้เพียงแค่ เพราะเราคู่กัน เพราะซีรีส์เรื่องอื่นหรือแม้กระทั่ง opv ซึ่งเป็นคลิปที่แฟนคลับทำขึ้นมาก็ใช้เพลงของ Scrubb เยอะอยู่เหมือนกัน?

บอล Scrubb: โดยส่วนตัวเรามองว่าวงดนตรีวงหนึ่งที่มีอายุวงนานๆ มันจะมีเป็นช่วงอายุ มี first wave มี second wave แล้วก็ถึงเวลาที่วงจะเก็บเกี่ยว ซึ่ง wave หนึ่งอาจจะเป็นช่วงเวลาสัก 8-10 ปี ปกติถ้าโชคดีทำงานได้ใน first wave คุณก็จะมีแฟนอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง ถ้าโชคดีกว่านั้นคุณทำเพลงต่อเนื่อง ก็อาจจะเกิด second wave ซึ่งจะกินเวลาอยู่ที่ 16-20 ปี ซึ่งถือว่ายาวนานมากสำหรับวงดนตรีวงหนึ่ง หลังจากนั้นวงอาจจะไม่ได้สร้างผลงานใหม่ แต่ยังมีแฟนเก่าตามอยู่ ซึ่ง Scrubb เป็นอย่างนั้นนะ คลื่นลูกแรกก็จะเป็นเพลงพวก “ทุกอย่าง”, “ใกล้”, “คู่กัน” คลื่นลูกที่สองก็จะเป็นพวก “เข้ากันดี”, “เก็บไว้กับเธอ”, “เธอหมุนรอบฉัน ฉันหมุนรอบเธอ”, “คำตอบ”, “รอยยิ้ม” ซึ่งโดยอายุวงจริงๆ ตอนนี้ถือว่าเราอยู่ในปลายของ second wave แล้ว ซึ่งเราก็มีความสุขกับมันอย่างเต็มที่ แล้วก็คิดว่าคงจะพยายามทำงานไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้คาดหวังว่ามันจะเติบโตหรือจะต้องเป็นที่รู้จัก ได้รับความนิยม คือเราข้ามมุมนั้นไปแล้ว แค่จะทำอะไรที่เหลืออยู่ในสิ่งที่เราชอบต่อจากนี้อย่างมีความสุข เฝ้ามองมัน มองเห็นวง Scrubb เคลื่อนไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่สมควรของมัน อันนี้มองอย่างเป็นกลางจริงๆ นะ (หัวเราะ) แต่พอเกิด เพราะเราคู่กัน มีนิยาย มีซีรีส์ขึ้นมา เพื่อนหลายคนหรือคนที่อยู่ในธุรกิจดนตรีก็บอกว่า มันเหมือนสร้าง third wave ให้วง Scrubb ขึ้นมา โดยที่จริงๆ แล้วมันมีโอกาสหรือน้อยวงมากที่จะเกิดสิ่งนี้ขึ้น โดยเฉพาะ Scrubb ถ้าว่ากันตรงๆ เราไม่ได้อยู่ในวิถีที่มันควรจะมีเป็น wave แบบนี้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้อยู่ดีๆ กลายเป็นว่า ทุกคนพูดเหมือนกันว่า Scrubb เริ่มต้นนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง โดยมีแฟนเพลงเด็กๆ อายุ 13 อายุ 15 อายุ 18 เคยมีคนบอกเราว่า “ถ้าคุณชนะใจ gen Y หรือ gen Z ได้ เขาจะรักคุณมาก แล้วเขาจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ” หรือ “พี่รู้ไหมว่า พี่โชคดีมากๆ ที่เพลงของพี่มันถูกรักโดยเจเนอเรชั่นนี้ เพราะส่วนหนึ่งเขารักพี่อยู่แล้ว แต่การที่พี่ชนะใจพวกเขาได้โดยที่มีระยะห่างของช่วงอายุมากพอสมควร พี่จะได้รับสิ่งที่ไม่เคยได้รับอีกเยอะมาก” แล้วมันก็เป็นอย่างนั้นในโซเชียลจริงๆ ที่ทุกคนเห็นจาก opv หรือ แฟนอาร์ต สิ่งที่เรากับเมื่อยรู้สึก respect มากก็คือ เรารู้สึกว่ามันสร้างอะไรหลายๆ อย่างให้เรา ซีรีส์ เพราะเราคู่กัน ทำให้เราได้รีเฟรชการทำงานของตัวเอง รีเฟรชบรรยากาศที่เราได้ทำเพลงตอนแรกๆ มีน้องอายุ 13 ขวบแชตมาบอกเราว่า “หนูยังไม่เกิดเลยตอนสมัยเพลง ทุกอย่าง” (หัวเราะ) ยอดสตรีมมิงในต่างประเทศก็ขึ้นสูงมาก ขึ้นมา 200% อย่างนี้ ซึ่งเรากล้าพูดนะว่ามันไม่ได้มาจากพวกเราเลย แต่พอมันมีวรรณกรรม มีงานของจิตติที่เราแรงบันดาลใจไปทำต่อ แล้วมันก็ได้รับความนิยม มันเหมือนว่าซีรีส์เอาเจเนอเรชั่นมาต่อกันกับตัวผลงานน่ะครับ มันพาเสียบปลั๊กวนลูปในแบบที่ว่า เราเล่นดนตรี จิตติชอบเพลงที่เราเล่น วันหนึ่งจิตติไปเขียนฟิกชั่น วันหนึ่งคนที่สำนักพิมพ์ขอมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ วันหนึ่งคนที่อยู่ฝั่งทีวีรู้สึกอยากเอามาทำเป็นซีรีส์ พอซีรีส์ประสบความสำเร็จ คนฟังก็กลับไปฟังเพลงใหม่ มันเป็นวงกลมที่ใหญ่มากเลยนะ

[JittiRain] นอกจากเรื่องเพลงของ Scrubb แล้ว คุณยังแอบซ่อนเรื่องราวอื่นๆ ของ Scrubb ไว้ในตัวละครและเรื่องราวของ เพราะเราคู่กัน อีกเพียบ?

JittiRain: คือพอเราเขียนไปเรื่อยๆ เรารู้สึกว่า การที่เราแค่ใส่เพลงมันอาจจะทำให้คนยังไม่ได้อินมากนัก เราเลยอยากใส่ตัวตนหรืออะไรบางอย่างของ Scrubb ลงไปเพิ่มเติมอีก เหมือนเวลาไปดูหนังแล้วเราจะตามหา Easter Egg ต่างๆ มันจะสนุกมากเวลาเราตามหาว่ามันอยู่ตรงไหน มันคืออะไร ในนิยายก็เหมือนกันค่ะ คือนอกจากที่ทุกคนจะได้อินได้ฟังเพลงของ Scrubb แล้ว ก็ยังจะได้ตามหาอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับ Scrubb ด้วย อาจจะรู้หรือไม่รู้ก็ได้ แต่เรารู้สึกว่าการใส่มันลงไปมันคือการใส่ความชอบของเราลงไปด้วย เราไม่ได้อยากเก็บทุกอย่างไว้คนเดียว อยากแชร์ทุกอย่างที่เราอินให้กับทุกคน มันก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ว่า ทำไมสารวัตรไม่มีชื่อเล่น เหมือนกับที่จริงๆ แล้วพี่เมื่อยไม่มีชื่อเล่น ทำไมชื่อวงดนตรีของตัวเอกถึงเป็นชื่ออัลบั้มของ Scrubb ทำไมบางเหตุการณ์ในเรื่องถึงต้องเป็นเพลง “ใกล้” ทำไมทุกคนถึงรู้จักตัวละคร ไทน์ ในชื่อเพลงของ “รอยยิ้ม” หรือทำไมต้องเป็นศิลปากรที่วง Scrubb เรียนตอนมหา’ลัย

บอล Scrubb: มันต้องเป็นคนอ่านหนังสือประวัติของวงแล้วถึงจะรู้อะไรอย่างนี้ (หัวเราะ) เอ... หรือจิตติอยู่บ้านใกล้ๆ กับเรา (หัวเราะ) แล้วอย่างเมื่อยเขาจะเป็นคนนิ่งๆ พอได้ฟังอันนี้เขาก็ยิ้มๆ แต่ผมรู้นะว่าเขาก็ดีใจแหละที่มีคนเห็นความสำคัญของเขา เรารู้สึกว่าจิตติใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้มาก เราเชื่อว่าต่อให้เมื่อยที่ไม่ค่อยแสดงออก เขาได้เห็นได้อ่าน เขาได้ยินบางอย่างมา อย่างน้อยเขาก็คิดแหละ (หัวเราะ)

สารวัตร-ไทน์ จากซีรีส์ คั่นกูสารวัตร-ไทน์ จากซีรีส์ คั่นกู

[JittiRain] จำวันที่ได้คุยกับผู้ชายที่ชื่อ “บอล Scrubb” ครั้งแรกได้ไหม?

JittiRain: ครั้งแรกน่าจะคุยผ่านแชตก่อน นี่คือครั้งแรกที่เราได้ฟังเสียงกันจริงๆ จำได้ว่าแชตตอนนั้นคือตื่นเต้นมาก วิ่งรอบบ้านเลย

บอล Scrubb: (หัวเราะ) ตอนนั้นเราพิมพ์ไปในอินบ็อกซ์ของจิตติประมาณว่า ตกลงกันเรียบร้อยแล้วนะ หลังจากที่ทางช่องเขาดีลอะไรกันเรียบร้อย คือจริงๆ ถ้าจำไม่ผิด เคยมีคนพยายามทำ เพราะเราคู่กัน ให้เป็นซีรีส์มานานมากแล้ว แต่ด้วยเรื่องของระยะเวลา เงื่อนไขต่างๆ นานา ทั้งเรื่องอัลบั้ม คอนเสิร์ตใหญ่ พอเสร็จตรงนั้นทางค่ายผมก็แจ้งว่า เขายังรออยู่จนถึงทุกวันนี้ เราก็เลย เอ๊ะ จริงหรือ ยังรออยู่อีกหรือ แล้วก็มีการมาพรีเซนต์ว่า เรื่องราว บท ที่มา มันเป็นแบบนี้ แล้วซีรีส์มันจะสร้างไม่ได้ถ้าเพลงไม่ได้มาอยู่ร่วมกัน เพราะมันอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่แรก เราก็เฮ้ย รายละเอียดมันเป็นอย่างนี้เลยเหรอวะ คือไม่ได้ตกใจว่าเพลงเยอะนะ แต่รู้สึกว่า ทุกเพลงมันอยู่ในบทหมดเลยนี่หว่า มันมีที่มาที่ไปเชื่อมโยงหมดเลย เราก็เลยเอาไปเล่าให้เมื่อยฟัง เมื่อยก็บอกว่า “จริงเหรอพี่ มีคนให้ความสำคัญกับเพลงเราขนาดนั้นเลยเหรอวะ” (หัวเราะ) ท้ายที่สุดเราก็พูดได้เต็มปากว่า ถ้าเราจะอนุญาตเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องตัวเงิน ไม่ใช่ว่าเพลงเราจะดังกว่านี้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าซีรีส์จะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่ที่เราอนุญาตให้ใช้เพลงของ Scrubb เพราะเราอยากขอบคุณคนเขียน อยากขอบคุณจิตติที่เขาให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นมามาก เขาเอาเราไปอยู่ในชีวิต ในผลงานของเขาด้วย เราก็เลยอินบ็อกซ์ไปขอบคุณจิตติว่า เราโอเคหมดทุกอย่างแล้วนะ ดีลเรียบร้อยหมดแล้ว เดี๋ยวซีรีส์มันคงได้ถ่าย แล้วก็ขอบคุณน้องอย่างเป็นอย่างทางการว่า ขอบคุณมากที่เห็นความสำคัญ ใส่ใจและชอบเพลงเราขนาดนี้

JittiRain: เสริมพี่บอลนิดนึงค่ะ คือตอนที่มีคนติดต่อมาว่าจะทำซีรีส์ เรารีเควสต์ไว้ว่า เราไม่เอาเพลงของคนอื่นนะ แล้วเรารู้สึกว่าคนอ่านเองก็คิดเหมือนกัน เราอยู่ตรงนี้ได้ก็เพราะ Scrubb ถ้าไม่ใช่ Scrubb ก็ไม่อยากให้มีซีรีส์เลยดีกว่า นักแสดงคาแรกเตอร์ไม่ตรงไม่มีปัญหา การปรับเปลี่ยนบทใดๆ ไม่มีปัญหา เพราะเราเข้าใจว่าหนังสือกับซีรีส์มันมีเสน่ห์ที่แตกต่างกันไปอยู่แล้ว แล้วเราก็อยากเห็นมุมมอง การนำเสนอที่แตกต่าง แต่สิ่งเดียวที่ขอเลยก็คือ ต้องเป็นเพลงของ Scrubb เท่านั้น เราคิดภาพไม่ออกเลยนะว่า ถ้า เพราะเราคู่กัน มีเพลงของวงอื่นประกอบอยู่ในนั้นเต็มไปหมด แต่ว่าไม่มี Scrubb อยู่ในนั้นสักเพลง มันจะเสียใจขนาดไหน แล้วมันจะเป็นอย่างไร

บอล Scrubb: น้ำตามา

[JittiRain] ณ ตอนนี้ตัวซีรีส์ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง และเพลงของ Scrubb ก็ไปอยู่ในซีรีส์จริงๆ รู้สึกอย่างไรบ้าง?

JittiRain: โอ้โห มัน complete มากเลยค่ะ อย่างที่บอกไปว่าจุดเริ่มต้นของคั่นกูมันเกิดจากเพลงของ Scrubb ซึ่งตอนแรกมันเป็นกระแสที่เฉพาะกลุ่มมากๆ ด้วยความที่เป็นวายด้วย แต่พวกเขาก็ได้มาคุยมาฟังเพลงของ Scrubb กัน จนไปเจอที่คอนเสิร์ตของ Scrubb กลายเป็นเพื่อนกันก็มี จากสังคมเล็กๆ ตรงนั้น แล้วพอวันหนึ่งมีซีรีส์ มันกว้างมากขึ้น เรายิ่งดีใจใหญ่เลย มันเกินเป้าหมายในจุดแรกไปแล้ว

บอล Scrubb: หรืออย่าง Scrubb ปกติก็จะมีแฟนอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ จีน ไต้หวัน ฮ่องกง แถวๆ นี้ ล่าสุดอยากเปิดอีเมลให้ดูมาก คือเพลง “คู่กัน” ติดชาร์ตเพลงประเทศเอสโตเนียไปแล้ว เป็น Top 200 มั้ง เอ... เอสโตเนียมันอยู่ตรงไหนวะ (หัวเราะ) แล้วก็จะมีประเทศอย่างเม็กซิโก ฝรั่งเศส บราซิล

[บอล Scrubb] ต่อจากนี้ทิศทางของ Scrubb จะเป็นอย่างไรต่อ?

บอล Scrubb: คือเรากับเมื่อยก็คุยกันอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว อย่างตอนต้นปีที่ผ่านมา Scrubb ปล่อยเพลง “ธรรมดา” ออกมา เป็นเพลงที่คุยกันว่า ไม่รู้หรอกว่ามันจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า แต่มันเป็นเพลงที่เรากับเมื่อยรักมาก แล้วอยากเล่นมาก เพราะรู้สึกว่ามันเป็นตัวเราชีวิตเราที่โตมาแบบนี้จริงๆ คือเรารู้สึกว่าตัวเราและเพลงของ Scrubb มันธรรมดามาตลอด ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรือดีกว่าชาวบ้านเลย แต่สิ่งที่เราทำอยู่นั้นน่ะ มันคือชีวิต มันคือตัวของพวกเราจริงๆ มันเป็นสิ่งที่เราตั้งใจ แค่นั้นเลย สิ่งที่ Scrubb ทำได้ดีที่สุดคือการทำเพลง บันทึกช่วงเวลาของเราไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เรายังมีแรง มีโอกาสก็ออกไปเล่นดนตรี ซึ่งเรากล้าพูดเลยว่า ถ้าจบโควิดเราน่าจะได้ไปเล่นดนตรีมากขึ้นกว่าเดิมอีกจากจิตติและเพราะเราคู่กัน อันนี้ก็ต้องขอบคุณ ซึ่งก็คงเป็นเรื่องที่ต้องพยายามตั้งใจทำให้มันดีมากขึ้น

[บอล Scrubb] พอไปอยู่ในซีรีส์ คุณชอบเพลงไหนของตัวเองเป็นพิเศษบ้างไหม?

บอล Scrubb: ตอนนี้มันมีเพลงต่างๆ ที่ดังอยู่ในซีรีส์ตอนต่างๆ เยอะมาก แต่ที่นึกถึงมากๆ จะมี 2 เพลง เพลงแรกคือ “Inchan Tree” นึกถึงที่เราพูดว่า ไม่ว่าอะไรมันจะเปลี่ยนไป ไม่ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น มันจะดีหรือร้าย มันก็ยังมีเราที่เหมือนคอยนั่งมองสิ่งที่มันกำลังเกิดขึ้น สิ่งที่มันกำลังผ่านไป มองสิ่งแวดล้อม มองสังคมที่เรารัก คือมันเป็นการมองอย่างเข้าใจ ทุกข์สุขเศร้าเสียใจก็อยู่กับมันในทุกช่วงเวลา อีกเพลงคือ “เพลงนั้นยังอยู่” ที่บอกว่า ไม่ว่าเพลงจะผ่านไปแค่ไหน อะไรก็แล้วแต่ เวลาเราฟังเพลงๆ หนึ่งขึ้นมา เหมือนจะมีใครสักคนที่อยู่ในเพลงหรือช่วงเวลาเหล่านั้น เหมือนกับว่าซีรีส์ก็มา remind ให้เราได้กลับมาฟังเพลงนู้นเพลงนี้ ผ่านไปอีก 10 ปี พอเราได้ฟังเพลงนี้ก็จะนึกขึ้นมาได้ว่า เมื่อ 10 ปีที่แล้วมันเคยมีซีรีส์เรื่องนี้นะ มีคนชอบกันมากเลย มันสนุกมากเลย ได้ร้องเพลงกันด้วย เรารู้สึกว่าบรรยากาศนี้มันน่ารัก อยากให้อยู่กับเราไปนานๆ

อัลบั้มภาพ 48 ภาพ

อัลบั้มภาพ 48 ภาพ ของ “Scrubb vs คั่นกู” ศิลปะแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกันอย่างไร “บอล ต่อพงศ์-JittiRain” จะมาเล่าให้ฟัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook