คุยกับ “Jeremy Zucker” ถึงเพลงอกหักอันสวยงามจากอัลบั้มเต็มชุดแรก "love is not dying"
เกิดกระแสความฮอตดังไกลข้ามประเทศ หลังจากที่ศิลปินอินดี้ป็อประดับโลกอย่าง Jeremy Zucker เจ้าของเพลงดัง “comethru” ที่มียอดสตรีมกว่าพันล้านครั้ง ได้ปล่อยผลงานอัลบั้มแรก love is not dying ออกมาให้แฟนเพลงได้ฟัง และยังได้รับฟีดแบ็คที่ดีจากสื่อมวลชนต่างประเทศ รวมไปถึงสื่อมวลชนในประเทศไทยให้การต้อนรับศิลปินหนุ่มหน้าหวานคนนี้อย่างอบอุ่น ผ่านงาน Jeremy Zucker – love is not dying Press Conference เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา
Jeremy Zucker ลงลึกถึงการทำงานเบื้องหลังด้วยตนเอง ตั้งแต่แต่งเนื้อร้อง ทำนอง และการนั่งโปรดิวซ์เพลงเอง ทั้ง 15 เพลงในอัลบั้ม ทำให้สื่อมวลชนที่ได้เข้าฟังงานแถลงข่าวในครั้งนี้ ทึ่งในความสามารถของเขา บวกกับรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ เฟรนลี่ ขี้เล่น ที่ทำให้สื่อไทยในบ้านเราหลงเสน่ห์ของเขาทันที ตั้งแต่เริ่มพูดคุย บรรยากาศในการแถลงข่าวสื่อมวลชนประทับใจในความเป็นกันเองของศิลปิน Jeremy Zucker สลับกันยกมือถามคำถามแบบเจาะลึก เพื่อให้ได้รู้จักตัวตนของ Jeremy Zucker มากขึ้น
“comethru” เป็นเพลงสร้างชื่อเสียงให้กับคุณเป็นอย่างมาก จากยอดสตรีมกว่า 1 พันล้านครั้ง ชีวิตของคุณหลังจากนั้นเปลี่ยนไปบ้างหรือไม่?
Jeremy: เปลี่ยนไปมากเลยครับ ก่อนปล่อยเพลง “comethru” ผมไม่รู้เลยว่ามันจะเวิร์คไหม ไม่รู้เลยว่าจะได้ทัวร์รอบโลกแบบนั้น และยังได้ทำเพลงต่ออีกนานขนาดนี้ เพลงนี้เป็นที่รู้จักในต่างประเทศค่อนข้างมากด้วย เลยทำให้ผมรู้ว่า นี่คือสิ่งที่ผมต้องการทำจริงๆ ไม่ใช่อะไรที่ผมจะทำแค่ช่วงสั้นๆ แต่ผมจะอยู่บนถนนสายนี้ไปอีกนาน อีกสิ่งที่เปลี่ยนไปมากๆ ในชีวิตคือโอกาสที่ผมได้ทัวร์ต่างประเทศ โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว (2019) แฟนเพลงให้การตอบรับดีมาก ไม่คิดมาก่อนว่าจะได้รับความรักมากขนาดนี้จากแฟนๆ ในประเทศที่ผมยังไม่เคยไปมาก่อน ผมเลยรอไม่ไหวที่จะได้กลับไปหาทุกๆ คนอีกเร็วๆ โดยรวมคือเพลงนี้เปลี่ยนชีวิตผมมากจริงๆ ครับ หวังว่าผมจะมีเพลงฮิตอีกสักเพลงนะ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร ยังไง “comethru” ก็ยังเป็นเพลงที่สุดยอดสำหรับผมอยู่ดี
love is not dying เป็นอัลบั้มเต็มชุดแรกของคุณ ที่คุณเขียนเพลงทั้งหมด 13 เพลงในสตูดิโอที่ Brooklyn ช่วยเล่าถึงช่วงที่ทำอัลบั้มนี้ให้ฟังหน่อย
Jeremy: ผมเริ่มเขียนเพลงในอัลบั้มนี้ตั้งแต่ช่วงทัวร์ตามที่ต่างๆ ไม่แน่ใจว่าเพลงแรกที่เขียนคือ “always, i’ll care” หรือ “julia” เขียนตอนกลับมาจากช่วงที่เป็นศิลปิน headline ทัวร์อเมริกาครั้งแรก แล้วก็เริ่มเขียนเพลง “somebody loves you” แล้วก็ไปทัวร์ที่ยุโรป แสดงโชว์ในเทศกาลดนตรีฤดูร้อน จากนั้นก็ไปทัวร์ที่เอเชีย แล้วก็กลับบ้าน ทำอัลบั้มต่อจนจบครับ ขั้นตอนการทำงานจะแบ่งเป็น 2 อย่าง ผมเขียนเพลงเสร็จไปครึ่งอัลบั้มตอนจบทัวร์แรก แล้วก็มาต่ออีกครึ่งหนึ่งที่เหลือหลังจากทัวร์จบอีกที การทำเพลงสำหรับผมยังถือว่ามันยังใหม่มาก การได้เจอกับแฟนๆ ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จแล้ว พอผมได้พลังจากแฟนเพลงทำให้ผมมีความมั่นใจมากขึ้น และเริ่มทำเพลงต่อตามสไตล์ และสัญชาตญาณของตัวเอง ลองก้าวเข้าไปในความเสี่ยง ไม่กลัวที่คนจะมองว่าผมทำเพลงแตกต่างออกไปจากเดิม ซึ่งผมโอเคที่จะได้ยินอย่างนั้นเพราะผมทำเองหมดทุกอย่าง มีแค่ผมกับคอมพิวเตอร์ แต่งเพลง ร้องเองทั้งหมด และผมสนุกกับขั้นตอนนี้มากๆ
คอนเซปต์ของอัลบั้ม love is not dying เป็นอย่างไร
Jeremy: ไอเดียของอัลบั้มนี้มาจากความรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังแย่ลงเรื่อยๆ แต่มันยังมีความสวยงามของมันก่อนที่ทุกอย่างพังทลายลงไปทั้งหมดครับ
3 คำที่อธิบายถึงอัลบั้ม love is not dying ได้ดีที่สุด
Jeremy: ผมขอเลือกเป็น beauty (สวยงาม), crashing (เสียงชน,สมบูรณ์) และ hope (ความหวัง) ครับ
ถ้ามีเพื่อนที่เพิ่งอกหักมา จะมอบเพลงไหนในอัลบั้ม love is not dying ให้เพื่อนฟัง
Jeremy: ขึ้นอยู่กับว่าผมอยากให้เขารู้สึกดีขึ้น หรือให้จมดิ่งไปกับอารมณ์อกหักให้เต็มที่นะครับ จริงๆ “julia” น่าจะเป็นเพลงที่ตรงกับอารมณ์อกหักมากที่สุด เป็นเพลงที่พูดถึงการพยายามก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายตอนที่มีปัญหาความสัมพันธ์ต่างๆ และมองหาเรื่องดีๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ถ้าอยากจะดำดิ่งกับความรู้สึกเศร้าๆ ต่อไปก็แนะนำ “fullstop” หรือ “hell or flying” ครับ
เลือกเพลงที่อยากมอบให้กับแฟนๆ ในช่วงกักตัวจากโควิด-19
Jeremy: ผมคงเลือกเพลง “always, i’ll care” ให้กับทุกคนครับ เพราะช่วงนี้เป็นช่วงที่อยากให้ทุกคนรู้เอาไว้ว่ายังมีคนที่ยังรัก และเป็นห่วงคุณอยู่เสมอ เป็นเพลงที่มีความหมายดี และน่าจะเป็นเพลงที่ทำให้คุณรู้สึกว่าคุณยังเป็นที่รักของคนอื่นๆ อยู่
ถ้าอยากร่วมงานกับศิลปินท่านอื่นในอนาคต คุณอยากร่วมงานกับใคร
Jeremy: ทุกครั้งที่มีคนถามคำถามนี้ ผมคิดไม่ค่อยออกเท่าไรว่าอยากทำงานกับใคร เพราะผมยังชอบทำงานคนเดียวอยู่ แต่ถ้าร่วมงานกับใครก็ได้ อาจจะเลือกเป็น The 1975 หรือ LANY คงจะเจ๋งมากๆ ครับ
ช่วงกักตัวจากโควิด-19 อย่างนี้อาจทำให้ศิลปินหลายคนต้องเผชิญกับช่วงเวลายากลำบาก รวมถึงปัญหาโรคซึมเศร้าได้ คุณผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างไร
Jeremy: มันเป็นเรื่องยากสำหรับทุกคนนะครับ เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่ผมก็ค้นพบบางอย่างที่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้น อย่างแรกคือหางานอดิเรกที่คุณชอบทำฆ่าเวลาไปได้เรื่อยๆ ผมก็มีอ่านหนังสือ ทำอาหาร ฟังเพลงก็ช่วยทำให้อารมณ์ดีขึ้น ลืมเรื่องราวแย่ๆ ไปได้บ้าง และการได้ออกไปข้างนอกบ้างก็ช่วยได้เหมือนกัน บางคนที่ไม่ต้องกักตัวก็สามารถใส่หน้ากากอนามัย รักษาระยะห่างจากคนอื่น แล้วออกไปเดินข้างนอกบ้างก็ได้ แบบนี้จะดีกว่าล็อคตัวเองอยู่ในห้องคนเดียวนานๆ
ฟังเพลงอัลบั้ม love is not dying ได้ที่นี่